หลี่ถิงถามกลับด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธปนเย้ยหยัน สายตากราดมองสองหนุ่มสาวที่เป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจก็มิปาน ก่อนจะเงยหน้าจ้องชายหนุ่มกลับโดยไร้คำว่าเกรงกลัว
หยางซานหลางถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก เมื่อถูกภรรยาย้อนถามมาเช่นนั้น ชายหนุ่มทำได้เพียงหายใจแรง ๆ และเพิ่มแรงบีบที่ต้นแขนของโม่ไป๋หลาน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งสมเพชจากภรรยา ส่วนจีกวานฮวาเองทำเพียงหลบสายตาซุกหน้าเข้ากับอกแกร่ง
หลี่ถิงมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาสมเพชจริงอย่างที่ชายหนุ่มคิด ก่อนที่เธอจะใช้มืออีกข้างแกะนิ้วที่ยังอยู่ที่ต้นแขนของตนออก หากคนที่ยืนตรงนี้คือโม่ไป๋หลาน นางคงช้ำใจเจียนตายที่ถูกสามีและน้องสาวหยามเกียรติถึงในเรือนหอ
ดีว่าตอนนี้เป็นเธอ..หลี่ถิง ซึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิดเดียว มีให้แค่ความรังเกียจก็ถือว่ามากพอแล้ว
“โม่ไป๋หลาน! นี่…เจ้ากล้าย้อนข้าหรือ” หยางซานหลางคำรามออก
มาด้วยความขุ่นเคือง
ในวันนี้ เขาเสมือนถูกภรรยาตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคำพูดที่เสียดแทงใจเขาและคนในอ้อมแขนจนมิเหลือชิ้นดี จากสตรีที่มักจะไม่เคยก้าวก่ายเรื่องใด ๆ ของเขา แล้วไยวันนี้ นางถึงได้หาญกล้าต่อกรด้วย
ในที่สุด หลี่ถิงก็เป็นอิสระจากมือหนา จึงเป็นโอกาสให้หรู่อี้รีบเข้ามากันผู้เป็นนายให้ออกห่างจากแม่ทัพหนุ่มในทันที
“ไม่เลยท่านพี่ ข้าหรือจะกล้า ในเมื่อนี่คือเรือนของท่าน ท่านจะทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ตัวข้าเป็นเพียงผู้อาศัยและเครื่องประดับเรือนเท่านั้น จะกล้าพูดอันใดได้ ต่อให้ท่านพาสตรีอื่นมาทำผิดศีลธรรมก็ตามที ตัวข้าจำต้องหูหนวกตาบอดไปเสีย หรือว่าไม่จริงเจ้าคะ”
สองสามีภรรยายืนจ้องหน้ากัน ไม่มีฝ่ายใดที่จะยอมหลบตาเลยแม้แต่น้อย จนคนที่อยู่ในอ้อมแขนของหยางซานหลางใช้มือบอบบางลูบเบา ๆ ที่อกแกร่งเป็นเชิงปลอบโยนเพื่อให้ชายหนุ่มใจเย็นลง ก่อนจะเอาหน้าออกห่างอกหนาเล็กน้อย ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองแม่ทัพหนุ่ม เป็นเวลาเดียวกับที่หยางซานหลางก้มลงดู ว่าไยหญิงสาวถึงได้ขยับกาย ทำให้ทั้งคู่สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
‘จะอ้วก…ทำเป็นละครน้ำเน่า’
หลี่ถิงแอบค่อนแคะอยู่ในใจ เธอเป็นนักแสดงมาก่อน สิ่งที่จีกวาน ฮวาทำมีเหรอที่เธอจะมองไม่ออกว่าเสแสร้งแกล้งทำ มารยาเหลือล้น
จริง ๆ ผู้หญิงยุคสมัยนี้“พี่ซานหลางเจ้าคะ พอเถอะเจ้าค่ะ พี่ไป๋หลานอาจตาฝาดไป กวานเอ๋อร์มิถือสาอันใดเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงพูดของจีกวานฮวาเบาหวิว เสมือนตัวนางยังคงตื่นกลัวกับ
เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง
มืออีกข้างของหยางซานหลางยกขึ้นเก็บปอยผมขึ้นทัดหูของจีกวานฮวา สร้างความเขินอายให้แก่หญิงสาวยิ่งนัก รอยยิ้มพึงใจของหยางซานหลางที่หมายจะประกาศชัดกับภรรยา ว่านางไร้ค่าเกินกว่าคนเช่นเขาจะใส่ใจ ต่างจากหญิงสาวในอ้อมกอดที่เขาพร้อมปกป้อง เรือนนี้เป็นที่ส่วนตัวจึงมิจำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดทั้งนั้น
“ใช่แล้ว น้องรัก เจ้ามิควรถือสาข้าที่ยังป่วยไข้อยู่ เพราะข้าเองก็มิถือสาที่เจ้ามาดูแลสามีแทนข้า เช่นนั้น เราไปกันเถอะหรู่อี้ หากอยู่นานจะขัดขวางคนเขาจะแสดงความรักต่อกัน มิต้องห่วงนะเจ้าคะ ท่านพี่ เดี๋ยวข้าจะสั่งให้ทหารยาม ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในเรือนจนกว่าข้าจะกลับมา”
หลี่ถิงหาได้รู้สึกเศร้าเสียใจกับภาพตรงหน้า เรียวปากงามเบะ
น้อย ๆ ก่อนจะจับจูงมือของหรู่อี้ เพื่อจะขอไปพบกับมารดาของหยางซานหลาง“จิตใจต่ำทรามยิ่งนัก”
หยางซานหลางหันมาตะคอกภรรยา แต่มีหรือคนถือดีเช่นหลี่ถิงจะยอม ใบหน้างามเชิดขึ้นไม่ยอมอีกฝ่ายเช่นกัน
“พวกท่านสิไร้ยางอายและต่ำทราม หรือคิดว่าสิ่งที่พากันกระทำอยู่ในตอนนี้ คือเรื่องที่ถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ หากเช่นนั้นก็หย่าข้าซะ แล้วแต่งกับนางไปเสีย มิใช่มาทำเรื่องผิดศีลธรรมต่อหน้าข้า แล้วยังว่าตนเองถูกต้องกันอีก ช่างทำตัวมิสมกับตำแหน่งผู้เป็นถึงแม่ทัพ แค่เรื่องในบ้านกับหัวใจตัวเองยังมิอาจบริหารให้ดีได้ ยังกล้าปกครองเหล่าทหารในกองทัพอีกหรือไร ส่วนเจ้า...น้องสาวพี่ หากอยากเป็นน้อย ไยมิบอกข้าแต่แรก ปล่อยเวลาให้ผ่านมาเนิ่นนานทำไมกัน หากเจ้าเอ่ยปากออกมา แค่บุรุษคนเดียว มีหรือ…พี่จะยกให้แก่เจ้าไม่ได้ บุรุษมิใช่อาหารที่จะทำให้ข้าอิ่มท้อง คนผู้เดียว ข้าจะอาวรณ์ไปไย ใช่ว่าทั่วทั้งแผ่นดินมิได้มีเพียงแม่ทัพหยางซานหลางที่หล่อเหลาแต่เพียงผู้เดียวเมื่อไหร่กันเล่า ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้เช่นกัน”
หยางซานหลางถึงกับรีบคลายแขนออกจากการโอบกอดจีกวานฮวา เขาไม่คิดว่าโม่ไป๋หลานจะหาญกล้าต่อว่าเขากับญาติของนางได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้ ซ้ำยังบอกว่านางมิเคยคิดเสียดายเขา และมีสิทธิ์ที่จะมองชายอื่น
หยางซานหลางถึงกับหูอื้อตาลายด้วยความโกรธถึงขีดสุด เมื่อถูกคนที่ขึ้นชื่อว่าภรรยามองข้าม แล้วยังกล้าชื่นชมชายอื่นต่อหน้าเขา
“โม่ไป๋หลาน ระวังปากของเจ้าหน่อย คิดจะกล่าวสิ่งใดออกมา ใช้สมองไตร่ตรองให้มากกว่านี้”
“ข้าหรือไม่ไตร่ตรองท่านพี่ ภรรยาที่ใจดีเช่นข้าจะหาได้จากที่ใดกัน แต่มิต้องกังวลไป เรื่องที่พวกท่านทำ ข้าจะเหยียบมันให้มิด”
มิพูดเปล่า มือบางดึงชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยให้พอเห็นปลายรองเท้าที่กำลังใช้มันจิกกดลงไปในดินเหมือนที่พูดไปแล้ว รอยยิ้มหยันปรากฏชัดเจนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“พี่ซานหลาง กวานเอ๋อร์ขอเถอะนะเจ้าคะ อย่าได้ทะเลาะกันอีกเลย”
เมื่อชายหนุ่มมิได้กอดนางแล้ว ทำให้ในใจมีความขุ่นเคืองโม่ไป๋หลานอยู่มาก
‘แก...นังปีศาจ’
ใบหน้าหวานมีอาการซีดเผือด เหมือนว่าร่างบอบบางของนางจะล้มลงเมื่อใดก็ได้ จีกวานฮวาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แท้จริงแล้วนางกำลังอับอายกับเรื่องที่โม่ไป๋หลานพูดเมื่อครู่นี้อยู่
“คนเช่นนางไม่มีอะไรดีพอที่พี่จะไปเสวนาให้มากความ ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นอันใดมากหรือไม่” หยางซานหลางเอ่ยเหน็บแหนมภรรยา และหันไปใส่ใจจีกวานฮวาแทน
“มันไม่มากไปหน่อยหรือซานหลาง กับสิ่งที่เจ้าพูดกับภรรยาตนเองแบนนี้ หรือว่าที่แม่ได้ยินมันเป็นแค่คำหยอกเย้ากัน”
เสียงดังมาจากด้านหน้าเรือน ซึ่งตอนนี้ผู้พูดเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่มิน้อยกับสิ่งที่มองเห็น ดวงตาหงส์หรี่ลงมองไปยังแขกของบ้าน ซึ่งนับวัน
จีกวานฮวาจะหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ในความคิดของเจ้าบ้านในเวลานี้“ท่านแม่! มีอะไรหรือขอรับ ถึงได้มาหาลูกแต่เช้าเช่นนี้ ไยมิให้คนมาตามเล่าขอรับ”
หยางซานหลางรีบดึงมือกลับจากการเกาะกุมมือของจีกวานฮวา หากเขาทำให้มารดาโกรธมากกว่านี้ ผู้ที่จะลำบากเห็นทีจะเป็นหญิงสาว ส่วนอีกคนเวลานี้ยืนอยู่ข้างมารดาของตนแล้ว พร้อมทำหน้าตายโสยิ่งนักในความรู้สึกของชายหนุ่ม
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ