เข้าสู่ระบบเซียงหรงพยายามกวาดตามองหาพี่หญิงรอง น้องสี่ ท่านพ่อ และพี่ชายใหญ่ ทว่ากลับมองไม่เห็นใครสักคนแม้เงา
“เป็นอะไรไป” เจ้าของร้านพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หรือเด็กสาวคนนี้จะพลัดหลงกับสาวใช้?
ประเดี๋ยวนะ...เด็กสาวผู้นี้มีเงินติดตัวมาหรือไม่ ได้ยินมาว่าพวกคุณหนูตัวน้อยเช่นนี้มักไม่ค่อยพกถุงเงิน เป็นหญิงรับใช้ต่างหากที่คอยดูแลชำระค่าสินค้าต่างๆ ให้พวกนาง...หากนางพลัดหลงกับสาวใช้และครอบครัวจริง เช่นนั้นความหวังที่จะได้เงินห้าตำลึงของตนคงหมดลงแล้ว! ไม่ถูก อย่าว่าแต่ห้าตำลึงเลย กับแค่เงินห้าอีแปะนางจะมีจ่ายให้หรือไม่ก็ยังไม่รู้!
เจ้าของร้านพลันหงุดหงิดขึ้นมา วันนี้ค้าขายไม่ดียังไม่พอ ยังถูกคุณหนูตัวน้อยไม่รู้ความจากเรือนใดก็ไม่รู้มาก่อกวนเช่นนี้อีก!
เขารีบเอ่ยเสียงแข็ง “คุณหนู จะไม่เอาถังหูลู่ทั้งหมดนี้แล้วก็ไม่เป็นไร ทว่าถังหูลู่ที่ท่านทำตกพื้นไม้นั้นเป็นของซื้อของขาย ท่านจะเก็บขึ้นมากินหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ทว่าท่านสมควรจ่ายค่าถังหูลู่ไม้นั้นมา” เจ้าของร้านแบมือ กระดิกนิ้ว เอ่ยเสียงขรึม “ข้าคิดค่าเสียหายกับค่าเสียเวลารวมทั้งหมดห้าอีแปะก็แล้วกัน! กับแค่เงินห้าอีแปะ อย่าบอกเชียวนะว่าคุณหนูเช่นเจ้าก็ยังไม่มี!”
เห็นเซียงหรงน้ำตาคลอเต็มนัยน์ตา เจ้าของร้านก็แน่ใจแล้วว่าตนเองคิดถูก
เจ้าของร้านสบถบ่นเสียงดัง “มารดามันเถอะ! หากไม่มีเงินติดตัวก็ไม่สมควรมาก่อกวนที่หน้าร้านของผู้อื่น หลอกล่อเอาถังหูลู่ที่เป็นของซื้อของขายจากคนยากจนหาเช้ากินค่ำเช่นข้า!”
ถูกเจ้าของร้านตวาดเสียงดัง เซียงหรงก็เสียขวัญ หลั่งน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เหนือกว่าความกลัว นาง...นางรู้สึกว่าตนเองก่อเรื่องเข้าแล้ว นาง...นางอาจทำให้จวนเฉินกั๋วกงต้องเสียชื่อ ทำให้ท่านพ่อของตนเองต้องอับอายขายหน้า!
จู่ๆ เจ้าของร้านขายถังหูลู่ทำเด็กสาวตัวน้อยร้องไห้ ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มของนางมีน้ำตาสีใสหลั่งเป็นสาย ทั้งดูน่าสงสารเห็นใจและงดงามราวกับภาพวาด
ธรรมดาแล้ว คนเรามักชมชอบสิ่งงดงาม และมีจิตใจเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายที่ดูอ่อนแอน่าสงสาร ยามนี้ต้องมาเห็นคุณหนูตัวน้อยที่งดงามถูกเจ้าของร้านร่างยักษ์ ใจจืดใจดำ ดุด่าว่ากล่าว พวกเขาต่างสงสารเห็นใจคุณหนูตัวน้อยเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนั้นเอง จอมยุทธ์ที่ยังหนุ่มแน่นในชุดสีขาวพิสุทธ์ก็ร่อนลงมาจากระเบียงชั้นสองของหออี้หลวน ร้านอาหารชื่อดังของเมืองหลวง
จอมยุทธ์ท่านนั้นเดินเข้ามาบังร่างเซียงหรงไว้ ส่งผ้าเช็ดหน้าให้นางเช็ดน้ำตา ยื่นเงินห้าอีแปะให้เถ้าแก่
“นี่เงินห้าอีแปะของเจ้า” เขายังหยิบถังหูลู่ไม้ใหญ่ที่ดูสะอาดสะอี่ขึ้นมาอีกหนึ่งไม้ กล่าวเสียงดัง “ถังหูลู่ร้านเจ้าไม้เดียวก็ราคาห้าอีแปะแล้ว? นี่ไม่นับว่าขูดรีดกันเกินไปงั้นรึ? ข้าจะเอาถังหูลู่ไม้นี้ไปด้วย หากห้าอีแปะนั้นไม่พอจ่าย เจ้าก็ตามไปเก็บเงินข้า หลี่จือหลิน ที่ตำหนักจวิ้นหวังก็แล้วกัน!”
ที่นี่มีแสงโคมเพียงสลัวๆ แต่แรกผู้คนจึงไม่ใคร่จะแน่ใจนัก ทว่าเพียงได้ยินคำว่าตำหนักจวิ้นหวัง และนาม ‘หลี่จือหลิน’ แต่ละคนรวมถึงเจ้าของร้านก็ล้วนคาดเดาได้ทันที
เป็นผู้แซ่หลี่ ในชื่อมีสองคำว่าจือหลิน ทั่วทั้งร่างสวมชุดขาวพิสุทธิ์เช่นนี้...เป็นวรยุทธเช่นนี้...ทั้งยังกล้าอ้างถึงตำหนักจวิ้นหวังอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้...
ไม่ผิดแล้ว...นี่ก็คือจวิ้นหวังจ๋างจื่อ!
โอ้ยหยา!
เจ้าของร้านที่เมื่อครู่ยังวางก้ามใหญ่โตพลันไหล่ตกมือไม้สั่น
เขาฝืนยิ้ม กล่าวออกมาเสียงเบา “เงินตั้งห้าอีแปะที่ไหนจะไม่พอ...อย่าว่าแต่ถังหูลู่สองไม้เลย หากจ๋างจื่อต้องการ ข้ายินดีมอบถังหูลู่เหล่านี้ให้ท่านทั้งหมดก็ยังได้!”
ร้านค้าทั้งหมดในแถบนี้ ล้วนเป็นของตระกูลจวิ้นหวังจ๋างจื่อผู้นี้ทั้งสิ้น กระทั่งที่ทางที่พ่อค้าอย่างตนตั้งแผงอยู่ในตอนนี้ ก็ยังได้มาด้วยการขอแบ่งเช่าที่ทางหน้าร้านของผู้เช่าอาคารร้านค้าจากตระกูลจวิ้นหวังรายหนึ่ง หากวันนี้มีเรื่องกับจวิ้นหวังจ๋างจื่อ ต่อไปภายภาคหน้า คงไม่มีเจ้าของอาคารร้านรวงใด ให้คนหาเช้ากินค่ำอย่างตนเช่าที่ทางมายืนค้าขายเช่นนี้แล้ว!
หลี่จือหลินแย้มรอยยิ้มที่ไม่พาดผ่านไปถึงดวงตา กล่าวเสียงขรึม
“ข้าที่ไหนจะต้องการถังหูลู่มากมายถึงเพียงนั้น ล้วนเป็นของซื้อของขาย เถ้าแก่ก็อย่าได้เกรงอกเกรงใจผู้อ่อนอาวุโสเช่นข้าเกินไปนัก”
จวิ้นหวังจ๋างจื่อกล่าวว่าตนเองอ่อนอาวุโส เรียกตัวเขาว่าเถ้าแก่ คนหาเช้ากินค่ำเช่นเขาที่ไหนเลยจะกล้ารับ!
เจ้าของร้านขายถังหูลู่รีบค้อมกายคำนับ “จ๋างจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว จ๋างจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว...” ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับกลัวว่าถ้าพูดน้อยเกินไป จะดูไม่จริงใจมากพอ
จัดการปัญหาตรงหน้าแล้ว ผู้ที่ถูกทุกคนรู้แล้วว่าเป็นจวิ้นหวังจ๋างจื่อ นาม หลี่จือหลิน ก็จูงมือเซียงหรงที่พยายามกลั้นน้ำตาสุดกำลัง เดินแหวกฝูงชนจากไปทันที
เซียงหรงแม้รู้ดีว่าไม่ควรเดินตามคนแปลกหน้าไปง่ายๆ ทว่า ฟังจากที่คนเหล่านี้เรียกขาน ไม่แน่ว่าพี่ชายท่านนี้จะเป็นบุตรชายของท่านลุงของนางที่เป็นจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อ ในเมื่อเป็นบุตรชายของท่านลุงของนางก็เท่ากับว่าคนผู้นี้เป็นพี่ชายของนางคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว...ตามเขาไปคงไม่ถึงกับเกิดเรื่องไม่ดีใด...
ที่จริงแล้วนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนักหรอก ว่าเรื่องไม่ดีที่ว่านั้นคืออะไร ทว่าพี่ซู่ซินเคยสอนนางไว้ว่าไม่ให้เดินตามคนแปลกหน้าไปง่ายๆ มิฉะนั้นอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ นางจึงจดจำไว้ในใจและระมัดระวังมาตลอด ก็นางน่ะ...เป็นเด็กดีนี่นา...
อืม...เดาว่าพี่ชายใจดีท่านนี้คงคิดจะพานางกลับไปส่งให้ครอบครัวกระมัง? เสี่ยวเซียงหรงเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรสักนิด การเดินผ่านผู้คนที่ล้วนหลีกทางให้อย่างใจดีจึงเป็นไปอย่างเงียบงัน
คาดไม่ถึงว่าเมื่อเดินมาถึงตีนสะพานที่ผู้คนไม่จอแจนัก พี่ชายท่านนี้จะหยุดเดิน ย่อตัวลงสบตานาง เขามองใบหูซ้ายของนางเล็กน้อย ไม่แน่ว่าจะมองแต้มไฝเม็ดเล็กสีชาดของนางที่น้อยคนนักจะสังเกตเห็น จากนั้นก็ไล้ปลายนิ้วสัมผัสกำไลหยกขาวโลหิตที่นางห้อยคอไว้ใต้เสื้อ ก่อนแย้มรอยยิ้มงดงามเจิดจ้า ส่งถังหูลู่มาให้ พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูยียวนกวนอารมณ์อย่างน่าประหลาด
“ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันจนได้...น้องสาวตัวน้อย...”
เซียงหรงงุนงง ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
พี่ชายท่านนี้...พี่ชายท่านนี้รู้ได้อย่างไรว่านางห้อยกำไลหยกขาวโลหิตไว้ใต้เสื้อ? หรือผู้เป็นวรยุทธก็ล้วนมีสายตาเฉียบคมเช่นนี้?
อา...คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง...?
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่ากำไลหยกขาวโลหิตที่ห้อยคอเอาไว้เกิดอุ่นวาบขึ้นมา...
ไม่ถูก ไม่ใช่กำไลหยกขาวโลหิตที่อยู่ใต้เสื้อ ที่อุ่นขึ้นคือหัวใจดวงน้อยในช่องอกนางต่างหาก
เอ...เพราะอะไรกันนะ?
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ...
จู่ๆ เซียงหรงก็เกิดนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้
ไม่ใช่ว่าท่านลุงจวิ้นหวังของนางคิดหมั้นหมายนางให้บุตรชายเพียงคนเดียว...ซึ่งก็คือพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อท่านนี้หรอกหรือ?
อั๋ยหยา!
“ข้าไม่แต่งให้ท่านนะ!!!” นางรีบร้องบอกทันที
เซียงหรงจะสลัดมือวิ่งหนี กลับถูกจับมือน้อยๆ ไว้แน่น
เห็นรอยยิ้มงดงามเจิดจ้าที่เปลี่ยนเป็นชวนขนลุกในชั่วอึดใจ นางก็เริ่มจะเสียใจแล้วที่ไม่กระทำตามคำสอนของพี่ซู่ซินอย่างเคร่งครัด
เดิน...เดินตามคนแปลกหน้ามาเช่นนี้ จะเกิดเรื่องไม่ดีตามมาจริงๆ ด้วย!
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







