เข้าสู่ระบบสำนักศึกษาในวันนี้คึกคักยิ่งนัก...
จากที่เคยฟังมาจากท่านอาจารย์และเคยเห็นจากภาพวาด แต่เดิมสวนชิงหลิงก็เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามตามธรรมชาติอยู่แล้ว ยามนี้เนื่องจากไม่เพียงมีเทศกาลชมบุปผา ยังมีการประชันขันแข่งที่กระทั่งเชื้อพระวงศ์ยังเข้าชม ทั่วทั้งสวนย่อมได้รับการจัดแต่งอย่างพิถีพิถัน สวนที่งดงามมากอยู่แล้ว คงยิ่งกว่างดงามเลิศล้ำกระมัง
เซียงหรงตื่นตาตื่นใจยิ่งนักเมื่อก้าวเข้าสู่เขตสวนแล้วพบว่าด้านหน้าคือซุ้มโค้งหินอ่อนแกะสลักลวดลายเมฆมงคลและเถาไม้เลื้อย ดูโอ่อ่าและอ่อนโยนยิ่งกว่าในภาพวาดที่เคยเห็นเสียอีก ก้าวพ้นซุ้มเข้าไปเป็นลานทางเดินหินกรวดทอดยาว แวดล้อมด้วยหมู่เหมยที่กำลังผลิดอกสีชมพูอ่อนและขาวสะอาดตาราวกับม่านบุปผาที่เบ่งบานท่ามกลางลมวสันต์ ตรงกลางสวนคือศาลากลางน้ำขนาดใหญ่ ปูหลังคาสีเขียวเข้ม ปิดยอดด้วยกระเบื้องเคลือบเงา รอบศาลามีสะพานไม้ที่เชื่อมต่อกับลานกว้างซึ่งถูกจัดไว้เป็นลานแสดง เดาว่าคงเป็นพื้นที่ส่วนที่ใช้ในการประชันความสามารถดังที่เคยได้ฟังมา บนลานปูด้วยแผ่นศิลาขัดมัน รอบลานตั้งเก้าอี้และม้านั่งสำหรับผู้ชมบนพื้นซึ่งสร้างไว้เป็นพื้นที่ต่างระดับไล่จากต่ำไปสูง ด้านหนึ่งของลานมีโต๊ะไม้สีดำตั้งเรียงไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขัน ทุกโต๊ะมีสี่รัตนะแห่งห้องอักษร อันได้แก่ พู่กัน จานหมึก หมึกสำหรับวาดภาพเขียนอักษร และกระดาษ วางเอาไว้อย่างพรักพร้อม เบื้องหลังลานประลองคือแนวต้นหลิวที่ลู่ไหวไปตามสายลม สระน้ำใสรอบศาลามีฝูงปลาหลากสีสันสดใสแหวกว่าย เงาสะท้อนของต้นไม้และนภาใสบนผิวน้ำดูราวกับภาพวาดพู่กันที่มีชีวิต
อากาศวันนี้สดใส มีแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลงมาต้องผิวน้ำและต้นไม้ สายลมเย็นพัดพาความหอมอวลจางของบุปผามาแตะจมูก เสียงพูดคุยของแขกผู้มีเกียรติในงานดังแผ่วเบาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นถึงการแข่งขันที่กำลังจะมีขึ้น ฝูงชนหลากหลาย ทั้งคุณหนูในอาภรณ์งาม สตรีสูงศักดิ์ในชุดปักลายวิจิตร และบรรดาบัณฑิตทรงภูมิ ต่างจับกลุ่มพูดคุยและจับตามองผู้เข้าแข่งขันด้วยความคาดหวัง บรรยากาศในสวนกว้างนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันที่แฝงด้วยความกระตือรือร้น ทุกคนล้วนเฝ้ารอชมความสามารถของบรรดาโฉมสะคราญที่จะถูกเผยออกมาในวันนี้
ณ ที่นั่น พวกนางทั้งหมดล้วนมีที่ทางของตนที่ถูกจัดเอาไว้ให้แล้ว ที่เซียงหรงและพี่หญิงทั้งสองของตนต้องทำ มีเพียงการแจ้งชื่อแซ่ของตนเองเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นเหล่านางกำนัลที่หวงโฮ่วเมตตาส่งมาช่วยเหลืองานสำคัญของสำนักศึกษาซึ่งรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ก็จะทำหน้าที่นำทาง พานางและพี่หญิงทั้งสองไปนั่งรอยังที่ทางที่ถูกจัดเตรียมไว้ ส่วนผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างอนุหาน...
หานชิงเยว่กวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นพี่สะใภ้ทั้งสองจากตระกูลหานซึ่งเป็นตระกูลเดิมของตน จึงเดินเข้าไปทักทายแล้วนั่งลงเคียงข้างพี่สะใภ้ในที่นั่งของเหล่าแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลต่างๆ
ที่จริงแล้ว หากว่ากันตามศักดิ์ฐานะ ผู้ที่มาจากจวนเฉินกั๋วกงอย่างนางก็สมควรจะได้นั่งในตำแหน่งแห่งที่ที่ดีกว่านี้ ทว่าจนถึงป่านนี้ เฉินกั๋วกง สามีนาง ก็ยังไม่ได้ยกย่องนางขึ้นเป็นภรรยาเอก อีกทั้งเฉินกั๋วกงเองก็ไม่ได้มาร่วมชมงานประชันขันแข่งครั้งนี้ นางจึงไม่อาจไปนั่งเชิดหน้าชูคอท่ามกลางเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ที่เป็นภรรยาเอกเหล่านั้น ใบหน้าของนางใบหน้านี้ยังไม่หนาพอจะต้านทานสายตาทิ่มแทงของสตรีบรรดาศักดิ์เหล่านั้นไหว
หึ...ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางสารเลวหลี่เซียงเหลียนนั่นผู้เดียว! หากไม่มีสตรีที่กระทั่งตายไปแล้วก็ยังผูกมัดหัวใจกั๋วกงเอาไว้ได้อย่างแน่นหนาผู้นั้นตั้งแต่แรก ป่านนี้ตำแหน่งภรรยาเอกและบรรดาศักดิ์ที่สตรีน่าโมโหนั่นได้รับ ก็คงตกเป็นของนางนานแล้ว!
คิดขึ้นมาแล้ว หานชิงเยว่ก็อดชายตามองไปยังบุตรสาวที่หญิงแพศยา หลี่เซียงเหลียน เหลือทิ้งเอาไว้ไม่ได้ เห็นใบหน้าที่ดูบริสุทธิ์งดงามคล้ายคลึงมารดาถึงเจ็ดส่วนนั่นแล้ว อนุหานก็ยิ่งแค้นใจนัก
ในอดีต นางเคยพ่ายแพ้ให้กับสตรีน่าโมโหนั่นในงานเทศกาลชมบุปผา หรือที่ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเป็นงานประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธี เพราะประมาท ขาดสมาธิ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
นางอดทนอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูบุตรสาวคนโตและคนรองมา ทั้งหมดก็เพื่อ ให้บุตรสาวทั้งสองของตน สามารถชิงชัยในงานเทศกาลชมบุปผาเช่นวันนี้! นางไม่เชื่อหรอกว่าบุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาอย่างดี ซ้ำยังได้รับการศึกษาจากสำนักศึกษากลาง ได้รับการยกย่องจากผู้คนว่าทั้งงดงามและมีความสามารถเกินใคร จะไม่สามารถเอาชนะเด็กสาวกำพร้ามารดา บิดาไม่ไยดี ที่ในแต่ละวันได้แต่เก็บตัวปักผ้าบรรเลงพิณในเรือนหลัง กระทั่งจะร่ำเรียนเขียนอ่าน ขัดเกลามารยาทจรรยา ก็ยังต้องเชิญอาจารย์ชายอาจารย์หญิงที่แก่ชรามาอบรมสอนสั่งกันในเรือน ใช้ชีวิตดุจสตรีเมื่อร้อยกว่าปีก่อน จนท้ายที่สุดก็เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีหูตาคับแคบ โง่เขลา ไม่ทันคน! หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็คือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างไรเล่า
หึ...สตรีโง่เขลาเบาปัญญาที่มีดีก็แค่ฝีมือบรรเลงดนตรีและฝีมือปักผ้าเช่นนั้น นางไม่เชื่อว่าบุตรสาวที่นางอบรมสอนสั่งมาเป็นอย่างดีจะเอาชนะไม่ได้!
อนุหาน หานชิงเยว่ ลอบมองไปยังที่นั่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไปในตำแหน่งประธาน เมื่อเห็นว่าหวงโฮ่วและเหล่าองค์ชาย รวมถึงพระสนมคนสำคัญ และเหล่าพระญาติสกุลหลี่หลายคนก็นั่งเรียงรายอยู่ ณ บริเวณนั้น ในใจนางก็พลันบังเกิดความฮึกเหิมแทนบุตรสาว ได้แต่หวังว่าบุตรสาวที่ตนรักถนอมจะสามารถเอาชนะใจเหล่าผู้สูงศักดิ์ โดยเฉพาะหวงโฮ่วผู้งดงามปราดเปรื่องจากสกุลสวีพระองค์นั้น...
แม้สกุลสวีในปัจจุบันจะไร้สิ้นอำนาจ แต่ทั้งไท่โฮ่ว หวงโฮ่ว กระทั้งจวิ้นหวังเฟย ก็ล้วนแล้วแต่มาจากสกุลสวี เมื่อพิจารณาจากอำนาจราชศักดิ์ของสตรีจากสกุลสวีทั้งสาม เดาว่าเพื่อหลีกเลี่ยงหลายๆ ปัญหา สกุลสวีที่เก่าแก่และโด่งดังในยามนี้คงไม่ใช่ขลาดเขลาไร้ความสามารถ ตรงกันข้าม พวกเขาล้วนเป็นพยัฆค์ซุ่มมังกรซ่อน แสร้งประพฤติตัวเรียบง่ายและไม่กระทำตัวโดดเด่นเพราะเกรงว่าจะมีภัยต่างหาก...
หานชิงเยว่นัยน์ตาเปล่งประกายวาบวับ
หากได้เกี่ยวดองกับองค์ชายที่เกิดจากสวีหวงโฮ่ว หรืออย่างน้อยๆ ขอเพียงได้เกี่ยวดองกับตระกูลที่แม้ผิวเผินดูไร้อำนาจ และคนใตระกูลล้วนเป็นผู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายทว่ามีชื่อเสียงดีงามดังเช่นสกุลสวี อนาคตในภายภาคหน้าของบุตรสาวและบุตรธิดาของลูกสาวย่อมต้องโรยด้วยกลีบบุปผา ไม่มีทางตกต่ำประสบชะตากรรมที่เลวร้ายเป็นแน่
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







