เข้าสู่ระบบการประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีที่ว่านี้ มีหลักการพื้นฐานคือการเปิดโอกาสให้เหล่าสาวงามผู้มีความสามารถได้ออกมาวาดลวดลาย อวดฝีไม้ลายมือในด้านต่างๆ ดังนั้น การแข่งขันจึงแบ่งเป็นทั้งหมดหกรอบด้วยกัน
รอบที่หนึ่ง ‘ตอบปัญหา’
ในรอบที่หนึ่งนี้ หากผู้ใดตอบคำถามโดยการเขียนคำตอบไปยื่นให้ผู้ควบคุมการแข่งขันซึ่งนั่งรออยู่กลางลานได้ถูกต้อง ก็จะสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ทันที
การแข่งขันที่ว่านี้ แม้จะดูเป็นการแข่งขันง่ายๆ มุ่งเน้นการวัดเชาว์ปัญญารายบุคคล ทว่ากลับมีกฎอยู่ว่า ถึงแม้แต่แรกจะให้เวลาในการขบคิดปัญหาข้อนี้ถึงสองชั่วยาม ทว่าทุกครั้งที่มีผู้ตอบถูก ระยะเวลาในการทายปริศนาจะลดลง เหลือเพียงกึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่เหลืออยู่ทันที ดังนั้น ปฏิภาณไหวพริบเองก็สำคัญมากเช่นกัน
รอบที่สอง ‘กลหมาก’
ในรอบนี้เหล่าสาวงามที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจะถูกสุ่มจับคู่ให้ประลองหมาก ผู้ชนะผ่านเข้ารอบ ผู้แพ้คัดออกทันที
รอบที่สาม ‘วาดภาพ’
ในรอบนี้สำนักราชบัณฑิตจะตั้งหัวข้อมาให้ บางปีเป็นถ้อยคำสั้นๆ บางปีเป็นบทกวี สาวงามที่ผ่านการคัดเลือกในรอบที่สองมาได้ จะต้องลงมือวาดภาพขึ้นมาภาพหนึ่งจากหัวข้อที่ได้รับ นับตั้งแต่รอบที่สามเป็นต้นไปจะไม่มีการคัดออกอีกแล้ว ทว่าผลงานที่เหล่าสาวงามรังสรรค์จะถูกขานคะแนนโดยเหล่าราชบัณฑิตผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิบ จากนั้นก็จะนำคะแนนที่ว่านี้มารวมกัน จดบันทึกเอาไว้บนป้ายประกาศอย่างเปิดเผย
รอบที่สี่ ‘ต่อบทกวี คัดอักษร’
ในรอบที่สี่นี้ บางปีสำนักราชบัณฑิตจะมอบบทกวีมาให้ แล้วให้เหล่าสาวงามเขียนบทกวีที่ตนแต่งเติมจนสมบูรณ์ลงในกระดาษผืนใหญ่ บางปีก็จะมอบหัวข้อเป็นภาพวาด หรือสิ่งของ เป็นต้นว่า พู่กัน กระดาษเปล่า กำไลหยก หรือแม้แต่ก้อนหินธรรมดาๆ บางปีก็มอบหัวข้อเป็นถ้อยคำเพียงไม่กี่ถ้อยคำ แล้วจากนั้นเหล่าราชบัณฑิตผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิบจะให้คะแนนเหล่าสาวงาม โดยแบ่งเป็นคะแนนด้านบทประพันธ์และคะแนนในด้านตัวอักษร การให้คะแนนในรอบนี้ก็ไม่ต่างจากการให้คะแนนในรอบที่สาม เหล่าราชบัณฑิตผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิบจะขานคะแนนต่อหน้าผู้เข้าชมการประชันขันแข่งทั้งหมดอย่างเปิดเผยยุติธรรม แล้วจากนั้น คะแนนที่สาวงามแต่ละรายได้รับ ก็จะถูกนำไปจดบันทึกเอาไว้บนป้ายประกาศให้ทุกคนได้เห็น
รอบที่ห้า ‘บรรเลงดนตรี’
ในรอบนี้ สาวงามแต่ละคนสามารถเลือกบทเพลงมาบรรเลงได้อย่างอิสระ จะแสดงบทเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วยตนเองก็ได้เช่นกัน การให้คะแนนและการจดบันทึกคะแนน ก็กระทำเช่นเดียวกับการแข่งขันในรอบที่สามและสี่
หลังจากการแข่งขันในรอบที่ห้าสิ้นสุด ผู้ที่ได้คะแนนรวมของการแข่งขันในรอบที่สาม สี่ และห้า ห้าอันดับแรก จะนับว่าผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การแข่งขันในรอบสุดท้าย...การแข่งขันในรอบที่หก
ในการแข่งขันรอบที่หกนี้ ยอดสาวงามทั้งห้าสามารถเลือกแสดงความสามารถของตนได้อย่างอิสระ ผู้ทำหน้าที่ตัดสินผู้แพ้ชนะในขั้นสุดท้ายนี้ ก็คือผู้ชมทั้งหมด ไล่ตั้งแต่เหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ ที่สำนักศึกษากลางเชิญมา ผู้คนจากตระกูลที่ส่งบุตรหลานเข้าประชันขันแข่งไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่หรือเล็ก ตลอดจนเหล่าพ่อค้าคหบดีที่ลงทุนบริจาคเพื่อให้ได้รับเทียบเชิญเข้าชมงานเทศกาลชมบุปผา ณ สวนชิงหลิงในวันนี้ รวมถึงเหล่าราษฎรทั้งกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและกลุ่มที่ดั้นด้นเดินทางมาจากชนบท...
แม้ว่าที่นั่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับราษฎรกลุ่มหลังนี้ จะมีสัดส่วนนับได้มากถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนที่นั่งทั้งหมดในงานเทศกาลชมบุปผา บ่งบอกชัดเจนว่าราชวงศ์สกุลหลี่ สำนักศึกษากลาง และเหล่าราชบัณฑิต ให้ความสำคัญกับความเห็นของเหล่าราษฎรเพียงใด ทว่าที่นั่งเหล่านี้ย่อมมีจำนวนจำกัด ดังนั้น แม้จะเป็นผู้ที่ลงทุนดั้นด้นเดินทางมาไกลเพียงใด พวกเขาเหล่าราษฎรยังต้องมาถึงสวนชิงหลิงรวดเร็วพอ จึงจะสามารถคว้าเอาที่นั่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขาเหล่าคนทั่วไปโดยเฉพาะมาครอบครองได้ทัน
ทุกคนในงานเทศกาลชมบุปผา ณ สวนแห่งนี้ ล้วนมีหนึ่งคะแนนเท่าเทียมกัน วิธีการลงคะแนนก็คือ ผู้ชมทุกคนจะได้รับแจกป้ายไม้ไผ่สีแดงคนละหนึ่งไม้ หากเห็นว่าสาวงามหนึ่งในห้าคนนี้ผู้ใดสมควรถูกเรียกขานว่าเป็นโฉมงามยอดเมธี ก็ให้เดินลงมาปักป้ายไม้ไผ่ลงในกระถางธูปใบใหญ่ที่วางอยู่เบื้องหน้าพวกนางทั้งห้า กล่าวได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ กระบวนการในการเฟ้นหา “โฉมงามยอดเมธี” คนใหม่ ล้วนเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เฉินเซียงหรงแหงนหน้ามองศาลากลางน้ำ ท่ามกลางหมู่มวลกลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อนในกระแสลมและเสียงพูดคุยจอแจ นางกลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่เพียงลำพังในโลกอันแสนวุ่นวาย วังวนในจิตใจค่อยๆ สงบลงเมื่อมองเห็นพู่กันและกระดาษบนโต๊ะ ริมฝีปากงามค่อยๆ เผยรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน เช่นเดียวกับดวงตาสุกใสที่ทอแววระยิบระยับราวกับไม่ได้รับผลจากแรงกดดันไร้รูปร่างดังเช่นคนอื่นๆ ในลานประชันขันแข่งแม้แต่น้อย
จากที่ฟังมาจากท่านอาจารย์หญิงของตน ท่านอาจารย์หญิงของนางกล่าวว่าแม้จะมีการแข่งขันมากมายหลายรอบ ทว่าโดยปกติแล้ว การแข่งขันก็จะจบลงภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งวัน เซียงหรงจึงคิดว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ จะอย่างไรผู้ชื่นชอบความสงบเช่นนางก็คงไม่ต้องถึงกับอดทนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเนิ่นนานเกินหนึ่งวัน
ถูกแล้ว...ก็แค่เพียงวันเดียว วันเดียวเท่านั้น...
เซียงหรงพยายามปลอบใจตนเอง
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







