เซียงหรงได้ยินแล้วหน้าเสียทันที
นาง...นางไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นนะ!
“พี่หญิงใหญ่ ข้ามิได้...”
ไม่ทันที่เซียงหรงจะได้อธิบาย เฉินเหม่ยลี่ พี่หญิงรอง ก็แย้มรอยยิ้มที่ไม่พาดผ่านไปถึงดวงตา กล่าวเสียงหวาน
“พี่หญิงใหญ่กล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมา น้องสามของพวกเราไม่เคยก้าวขาออกนอกจวน อันที่จริง ด้วยคำสั่งของท่านพ่อ หากไม่มีเหตุจำเป็น นางแทบไม่ได้ย่างเท้าออกนอกเรือนอี้หรงเลยด้วยซ้ำ ธรรมดาคนจากชนบทเข้าเมืองใหญ่ก็ย่อมตื่นตาตื่นใจอยากรู้อยากเห็น หรงเอ๋อร์ของพวกเราตั้งแต่เล็กจนโตก็เก็บตัวในเรือนหลัง ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากคนชนบทเหล่านั้นมิใช่หรือ...นางก็เพียงอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกอย่างจนลืมมารยาทจรรยาที่พึงปฏิบัติของบุตรีผู้มีตระกูลไปเสียสิ้นก็เท่านั้น...” เฉินเหม่ยลี่ผินหน้ามาทางเซียงหรง แย้มรอยยิ้มกว้างขึ้น “ใช่หรือไม่...น้องสาม...”
เซียงหรงรีบพยักหน้ารับทันที
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ นะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ หรงเอ๋อร์...หรงเอ๋อร์เพียงไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็น หรงเอ๋อร์หาได้...หาได้มีความคิดเช่นนั้นเคลือบแฝงไม่!” พี่หญิงใหญ่ของนางคล้ายจะคาดหวังในการประชันขันแข่งครั้งนี้มาก นางไม่อยากให้พี่หญิงใหญ่เข้าใจนางผิดไปเช่นนั้น!
เฉินชิวเยว่เห็นความโง่เง่าชนิดถูกเฉินเหม่ยลี่พูดจากระทบกระเทียบเสียดสีซึ่งๆ หน้า ก็ยังไม่รู้ตัวของน้องสามตรงหน้าแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดในอก
นางกัดริมฝีปากแน่น กำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง กลับถูกมารดาของตนชิงบีบมือ ปรามเอาไว้
อนุหาน หานชิงเยว่ กล่าวเสียงนุ่ม “อีกไม่นานพวกเจ้าทั้งสามก็ต้องออกไปประชันขันแข่งกับสตรีมากมายนับไม่ถ้วน อย่ามัวหยอกล้อกันตามประสาพี่หญิงน้องหญิงเช่นนี้เลย หากประมาทขาดสมาธิจนทำให้จวนเฉินกั๋วกงต้องเสียชื่อ ครั้งนี้บิดาของพวกเจ้าคงไม่พ้นต้องขายหน้าคนทั้งแผ่นดินแล้ว”
เฉินชิวเยว่ฟังแล้วก็พลันได้สติ นางพยายามควบคุมอารมณ์ พยายามวางสมาธิให้จดจ่ออยู่กับการประชันขันแข่งที่จะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า…
คุณหนูใหญ่อย่างนางไม่ได้อดทนทุ่มเทฝึกฝนตนเองมานานปีเพื่อมาเสียสมาธิด้วยเรื่องโง่เง่าพรรค์นี้ นางมาที่นี่เพื่อคว้าชัยชนะ! ตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีจะต้องตกเป็นของคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกงอย่างนาง ต้องเป็นของนางเท่านั้น!
ท่านแม่ของนางใช้เส้นสายของสกุลหานตรวจสอบมาแล้ว ที่จริงแล้ว น้องสามที่โง่เง่านี่ ถึงกับลอบส่งผ้าปักลายที่งดงามผืนหนึ่งเพื่อคัดเลือกเข้าประชันขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธี...คิดได้อย่างไร? น้องสาวสมควรตายนี่ยังมีสมองอยู่หรือไม่? หรือการถูกกักตัวไว้ในจวน ไม่ได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาดังเช่นพี่หญิงน้องหญิงของตน จะทำให้เด็กสาวอย่างนางสูญเสียสติปัญญาที่สมควรมีอยู่บ้างไปหมดแล้ว?
สตรีจากตระกูลเดียวกัน ส่งผ้าปักลายเข้าคัดเลือกเช่นเดียวกัน ซ้ำฝีปักยังย่อมต้องเหมือนกัน ด้วยผ้าทั้งสองผืนนั้นถูกปักขึ้นโดยน้องสามที่โง่เง่าตรงหน้านี่ทั้งคู่ หากมีผู้สังเกตเห็นข้อเท็จจริงเรื่องนี้เข้าจะทำอย่างไร?
ไม่น่าเลย...นางไม่น่าไว้วางใจน้องสาวที่โง่เง่าเช่นนี้เลย!
ยิ่งคิดเฉินชิวเยว่ก็ยิ่งหงุดหงิด โกรธเคือง ทั้งยังวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
สติ...ตั้งสติให้ดี...
นางพยายามสงบใจ พยายามมองไปในทางที่ดี
เอาเถิด ในการคัดเลือกครั้งนี้ มารดาของนางกล่าวว่ามีงานศิลปะมากมายหลายประเภทถูกส่งเข้าสำนักศึกษา กระทั่งบทเพลงลำนำที่แต่งขึ้นใหม่ก็ยังมี อาจไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก็ได้...ที่คุณหนูใหญ่อย่างนางสมควรใส่ใจ มีเพียงการแข่งขันตอบปัญหา การประชันพิณ ภาพ หมาก อักษร โคลงกลอน และการทำการแสดงอย่างอิสระในรอบสุดท้ายที่รออยู่เท่านั้น!
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&
ไท่โฮ่วเดาความคิดสะใภ้ออก ทว่าทั้งนางและหวงโฮ่วก็ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน เหตุใดนางจะไม่อยากสนับสนุนหวงโฮ่ว ช่วยอุ้มชูหลานชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองถึงสองชั้นรอจนถึงคราวที่ภาพวาดของเฉินเซียงหรงเปิดเผยแก่สายตาทุกคน สวีไท่โฮ่วประเมินแล้วว่าภาพนั้นมิได้มีสิ่งใดเสียหายก็ปรบมือดังสนั่น แย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผา เอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าดังกังวาน“วาดได้ดี ดียิ่ง!” ไท่โฮ่วกล่าวชื่นชมคล้ายลืมตัว “ผู้อื่นวาดภาพสาวงามกับดอกไม้งาม บ้างวาดภาพโบตั๋นสีแดงสื่อความนัย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับวาดสิ่งที่ต่างออกไป ช่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีฝีมือการวาดภาพเหนือชั้นยิ่งนัก หากบุปผาเปรียบได้กับสตรี ใต้หล้านี้จะมีสตรีใดเหมาะสมกับคำว่า ‘ยอดบุปผา’ ยิ่งกว่ามารดาของแผ่นดิน!”สวีหวงโฮ่วใจเต้นรัว คาดไม่ถึงว่าไท่โฮ่วจะกล่าวยกย่องพระนางต่อหน้าคนทั้งหมดชัดแจ้งถึงเพียงนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนเกิดมาในสกุลสวี จึงนับได้ว่าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่แรกเข้าวัง แม้จะมีที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ลงท้ายแล้วทุกครั้งก็ล้วนผ่านมาได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ไม่อาจปีน
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมาปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วยเฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู
ถัดจากคุณหนูจากหมู่ตึกสกุลมู่หรง ภาพของผู้เข้าขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีรายถัดๆ มาก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจมากนัก เป็นเพียงภาพวาดดอกโบตั๋นที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ แม้จะถูกวาดขึ้นด้วยสีสันที่แตกต่างกัน กลับดูซ้ำๆ จำเจ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิดสวีไท่โฮ่วและสวีหวงโฮ่ว ถูกกิริยาท่าทางตื่นเต้นชอบใจและชื่นชมยกย่องในตัวคู่แข่งแต่ละราย อันบริสุทธิ์ซื่อใส ของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ตรึงความสนใจเอาไว้อย่างแน่นหนา จึงไม่ได้ออกปากพูดจากันเรื่องภาพวาดภาพไหนสักภาพกระทั่งมาถึงภาพวาดที่เหล่าผู้เข้าชมการแข่งขันรอบๆ ลานประชันขันแข่ง พากันส่งเสียงฮือฮาดังระงม ของคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ อู๋ชิงชิง สวีไท่โฮ่วและสวีหวงโฮ่วจึงสามารถละสายตาจากใบหน้าพริ้มเพราของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เบนสายตามองภาพวาดใจกลางลานประชันขันแข่งดังเช่นที่สมควรกระทำภาพวาดของอู๋ชิงชิง ก็ไม่ต่างจากก่อนหน้า เป็นภาพวาดโบตั๋นสีม่วงครามท่ามกลางอุทยานกว้างที่เต็มไปด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ ทว่า...ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำหนักการลงสี ไม่ว่าจะเป็นฝีพู่กัน ไม่ว่าจะเป็นการวาดดอกไม้และใบไม้อย่างละเอียดลออ หรือแม้แต่การ
ภาพแรกสุดที่ถูกนำออกมาตั้ง ณ ใจกลางลานประชันขันแข่งก็คือภาพของคุณหนูจากหมู่ตึกสกุลมู่หรง มู่หรงรั่วหลาน“ฝีพู่กันหนักแน่น บ่งบอกว่าตัวผู้วาดเป็นผู้จิตใจมั่นคง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเอง ขับให้ภาพสาวงามท่ามกลางบุปผชาติยิ่งดูเป็นสาวงามผู้เด็ดเดี่ยว สมแล้วที่เป็นภาพวาดฝีมือคนสกุลมู่หรงที่ล้วนเด็ดเดี่ยว ห้าวหาญ ยึดถือความซื่อตรงเป็นที่ตั้ง หากเป็นเรื่องศีลธรรมจรรยา ข้อบังคับ และกฎหมายที่ตราเอาไว้แล้ว พวกเขาเหล่าคนสกุลมู่หรงล้วนยอมหักไม่ยอมงอ ตัวข้านั้นเลื่อมใสคนสกุลมู่หรงในข้อนี้ยิ่งนัก”ได้ยินไท่โฮ่วตรัสชื่นชมฝีพู่กันของตนรวมไปถึงผู้คนในสกุลมู่หรง มู่หรงรั่วหลานพลันแย้มรอยยิ้มงดงามเจิดจ้า ยอบกายถวายพระพรสวีไท่โฮ่วคราหนึ่ง แม้กิริยาท่าทีจะดูสุภาพสำรวมตามธรรมเนียม กลับให้ความรู้สึกว่านางช่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ดูราวกับขุนศึกหญิงอย่างไรอย่างนั้นเซียงหรงไม่เคยเห็นสตรีคนใดดูห้าวหาญองอาจเช่นนี้มาก่อน จึงถึงกับเผลอแย้มรอยยิ้มออกมา สายตาจ้องมองมู่หรงรั่วหลานด้วยแววตายกย่องชื่นชมอย่างเห็นได้ชัดยามเมื่อนั่งอยู่บนที่สูง ย่อมจะมองเห็นทุกการกระทำของผู้อยู่
“ไท่โฮ่วเสด็จจจ!!!”เสียงประกาศการมาถึงของสวีไท่โฮ่ว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักคนทั้งหมดต่างกล่าวถวายพระพรสวีไท่โฮ่ว รอจนพระนางประคองหวงโฮ่วให้ลุกขึ้น พร้อมกับมีพระเสาวนีย์ให้คนทั้งหมดลุกขึ้น และเหล่าองค์ชาย พระญาติ ตลอดจนเหล่าผู้สูงศักดิ์ลุกขึ้นตามลำดับแล้ว เหล่าสามัญชนคนธรรมดาจึงกล้าลุกกลับขึ้นมานั่งยังที่ทางของตนเองด้วยกิริยาอาการสำรวมยิ่งว่ากันว่าไท่โฮ่วจากสกุลสวีพระองค์นี้ แม้ผิวเผินดูเป็นผู้ชราที่เรียบง่าย สมถะ ไม่ชอบพิธีรีตอง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ถือสาในมารยาทธรรมเนียมเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนทั่วทั้งเทียนจินต่างรู้ดีว่าสวีไท่โฮ่วทรงเป็นสตรีที่เข้มงวดและยึดมั่นในมารยาทธรรมเนียมเพียงใด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องขององค์ชายสี่ที่เกิดจากหวงกุ้ยเฟยและองค์ชายห้าที่เกิดจากเสียนเฟยซึ่งล้วนได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ครั้งนั้นองค์ชายสี่และองค์ชายห้า “กระทำกิริยาหยาบช้า ไม่รักษาจรรยามารยาทที่องค์ชายพึงมี” เบื้องหน้าพระพักตร์ ต่อหน้าคนมากมาย สวีไท่โฮ่วถึงกับสั่งให้องค์ชายทั้งสองคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ในอุทยานกลาง สร้างความอัปยศให้