หลังจากยืนงงอยู่หน้าบ้านเป็นเวลาชั่วครู่ หลันโจวที่วิ่งไปหามารดาก็วิ่งกลับออกไปที่หน้าบ้านหายไป แล้วกลับมาพร้อมชายสวมชุดสีขาวถือกล่องไม้กลับเข้ามา ดูจากชุดที่ใส่และท่าทางของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่า เขาคงถูกหลันโจวลากมาที่นี่อย่างเร่งรีบ
“นางอยู่นั่นท่านหมอ” หลันโจวชี้นิ้วมาที่หนิงเหอที่กำลังยืนมองทั้งคู่อยู่
หนิงเหอมองท่านหมอที่หลันโจวพามาอย่างสังเกต อีกฝ่ายอายุราว ๆ สามสิบต้น ๆ ไม่ใช่คนแก่อย่างที่นางคิดเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ หนิงเหอก็ได้กลิ่นสมุนไพรที่ติดตัวอยู่กับเสื้อผ้าของอีกฝ่ายทันที
หลันโจวจูงมือหนิงเหอมานั่งที่แคร่ด้านหน้า เพื่อให้อีกฝ่ายได้ตรวจดูอาการ แม้จะดูเสียมารยาทอยู่บ้างที่ให้อีกฝ่ายตรวจอาการของน้องสาวกลางแจ้งเช่นนี้ แต่ก็เป็นการดีกว่าให้เข้าไปตรวจภายในห้องด้านใน เพราะเนื่องจากน้องสาวของเขาก็อายุสิบสองปีแล้ว แม้จะเป็นท่านหมอมาตรวจดูอาการ ก็ควรเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง
ท่านหมอมู่ต้าเต๋อไม่ได้มีสีหน้าไม่ชอบใจแต่อย่างใด เขานั่งลงที่แคร่ด้านข้างของหนิงเหอ ก่อนจะจับชีพจรของนางเพื่อตรวจสอบหาโรค
“นางไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เพียงแต่มีไข้เล็กน้อยและร่างกายอ่อนแอต้องบำรุง”
มู่ต้าเต๋อมองหน้าเด็กสาวตรงหน้าความสงสาร เป็นที่รับรู้กันว่า ครอบครัวกู้นี้ยากจนแสนเข็ญ แม้เสาหลักครอบครัวอย่างกู้อวี้สยง ที่เป็นบิดาของนางจะขยันเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์นำไปขายในเมืองมากเพียงใด แต่ด้วยฟู่หลินภรรยาของเขาป่วยมานาน ทำให้เงินที่หามาได้ส่วนใหญ่ จึงนำไปซื้อยาให้แก่นางจนหมด และมาตอนนี้ลูกสาวยังมาป่วยอีก ช่างน่าเห็นใจเสียเหลือเกิน
“แต่ว่าท่านหมอ นางเป็นลมไปเมื่อตื่นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้” หลันโจวรีบกล่าวขึ้น เพื่อกลัวว่าท่านหมอมู่จะตรวจรักษาได้ไม่ละเอียด
“จำอะไรไม่ได้?” มู่ต้าเต๋อมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย ก่อนจะพบว่า หนิงเหอเองก็มองมาที่เขาไม่หลบสายตาด้วยเช่นกัน
มู่ต้าเต๋อใจหายวาบ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะจับข้อมืออีกฝ่ายมาตรวจดูอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าชีพจรของนางเต้นแผ่วสลับหนัก ไม่ดูเหมือนคนที่ป่วยหนักเลย
“เจ้าเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่?” มู่ต้าเต๋อสอบถามอาการของนางเพิ่มเติม
หนิงเหอคิดเล็กน้อย ก่อนจะนึกได้ว่า เมื่อตอนที่นางตื่นขึ้น นางรู้สึกเจ็บที่ศีรษะอยู่จริง เมื่อนึกได้ดังนั้นนางจึงจับไปที่หัวตนเองเพื่อสำรวจ ก่อนจะร้องเสียงหลงออกมาเพราะไปแตะถูกศีรษะของตนเอง
“อ๊ะ” หนิงเหอเจ็บจนน้ำตาไหล เมื่อครู่เพราะยังมึนงงกับสิ่งรอบข้างอยู่ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ตอนนี้เมื่อนางสัมผัสถูกศีรษะ ก็พบว่ามีเลือดออกอยู่หน่อยๆ
มู่ต้าเต๋อยืนขึ้นทันที ก่อนจะใช้มือแหวกกลุ่มผมเพื่อตรวจสอบบาดแผล
“หัวแตกเล็กน้อยเท่านั้น มีความเป็นไปได้ที่นางจะล้มหัวฟาดพื้นทำให้จำอะไรไม่ได้” เขาเคยเจอคนไข้รายหนึ่งที่ขึ้นเขาไปเก็บของป่า และพลัดตกหน้าผา เมื่อฟื้นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้ เพียงหลายเดือนต่อมาอีกฝ่ายก็กลับจำเรื่องราวได้เท่านั้น ไม่น่าอันตรายเท่าใด
“ข้าจะจัดยาลดไข้และยาใส่แผลที่ศีรษะให้ กินติดต่อกันสามวัน นางน่าจะดีขึ้นแล้ว” มู่ต้าเต๋อกล่าว ก่อนจะเตรียมตัวกลับบ้านตนเองเพื่อไปจัดยาให้อีกฝ่าย
“เออ...ท่านหมอมู่ ค่ายาทั้งหมดเท่าไรอย่างนั้นหรือ?” หลันโจวสอบถามอีกฝ่ายด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
“ค่ายาสิบอีแปะ ส่วนค่าตรวจรักษาข้าไม่คิด รอวันไหนเจ้าว่าง ๆ ก็ไปช่วยข้าหั่นสมุนไพรตากก็แล้วกัน” มู่ต้าเต๋อตอบกลับอีกฝ่าย ครอบครัวนี้ยากจนยิ่ง หากเขาเก็บค่ารักษากับอีกฝ่ายมากเกินไป ก็จะเป็นการซ้ำเติม โชคดีที่เด็ก ๆ ทั้งสามคนของบ้านนี้เป็นเด็กขยัน เขาจึงรู้สึกเอ็นดูพวกเขายิ่ง
“ขอบคุณท่านหมอมู่ พรุ่งนี้ข้าจะพาน้องชายไปช่วยท่านตากยาเอง” หลันโจวโค้งตัวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าไปในบ้านเพื่อนำเงินสิบอีแปะ มามอบให้แก่ท่านหมอ
หนิงเหอมองตามหลังส่งท่านหมอจากไป ก่อนจะหันไปถามอีกฝ่าย
“ท่านบอกว่าน้องชาย? พวกเรามีน้องชายอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?”
“หนิงเหอ แม้แต่เหวินอี้เจ้าก็จำไม่ได้หรือ?” หลันโจวมองหน้าน้องสาวด้วยสายตาเศร้าสร้อย
หนิงเหอส่ายหน้า ก่อนจะกล่าว
“ข้าจำได้เพียงว่าข้าชื่อหนิงเหอ นอกนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” หนิงเหอแสร้งทำเป็นเศร้าใจ เพื่อโป้ปดอีกฝ่าย
ทำเอาหลันโจวถึงกลับทำหน้าไม่ถูก “น้องสาวอย่าเศร้าใจไปเลย ในเมื่อจำไม่ได้แล้วก็แล้วไปเถิด รอท่านพ่อและน้องชายกลับมา เรื่องที่เจ้าจำไม่ได้พวกเราจะเป็นคนบอกกับเจ้าเอง”
…………………………
ยามโหย่ว (17.00 น.)
กู้อวี้สยงและกู้เหวินอี้ลูกชายคนรองก็กลับเข้ามา หลันโจวที่อยู่บ้านก็เล่าเรื่องหนิงเหอให้ทุกคนในบ้านได้ฟัง กู้อวี้สยงมองมาทางลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เมื่อทุกคนได้ทราบเรื่องของหนิงเหอแล้ว กู้หลันโจวจึงเป็นคนเล่าเรื่องของครอบครัวให้แก่น้องสาวได้ฟัง
ครอบครัวกู้นี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน บิดาชื่อกู้อวี้สยง มารดาชื่อฟู่หลิน กู้หลันโจวเป็นพี่ชายคนโต อายุสิบหกปี ส่วนกู้เหวินอี้พี่ชายคนรองและกู้หนิงเหอนั้นเป็นฝาแฝดกัน อายุสิบสองปี
เป็นเพราะในตอนคลอดฝาแฝดทั้งสองนั้น ฟู่หลินมารดาอยู่ในสภาวะคลอดยาก ทำให้ในระหว่างที่คลอดเสียเลือดไปมาก ร่างกายจึงอ่อนแอจนถึงทุกวันนี้
ครอบครัวของพวกนางดำรงชีพโดยมีบิดาล่าสัตว์เข้าไปขายในเมือง ส่วนกู้หลันโจวและกู้เหวินอี้นั้นคอยเก็บเศษไม้บนเขามาขายเป็นฟืน ทำให้ครอบครัวสามารถซื้อยาให้มารดากินในแต่ละเดือนได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้เงินไม่มาก
หนิงเหอมองชามข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้าอย่างเซื่องซึม ตรงหน้านางนี้อย่าเรียกว่าข้าวต้มจะดีกว่า เพราะมันมีข้าวอยู่น้อยมาก มีเพียงน้ำข้าวต้มที่ใสอยู่ในชาม แต่เมื่อมองบิดาและพี่ชายทั้งสองของตนที่ในมือมีเพียงแผ่นแป้งแล้ว น้ำข้าวต้มในชามของนางและมารดายังถือว่าดีอยู่มาก
บนโต๊ะอาหารมีผัดผักป่า ผักดอง และน้ำแกงอยู่อย่างละชาม มองดูก็รู้ว่าอาหารเหล่านี้คงเป็นอาหารที่พวกเขากินกันอยู่ทุกวันแล้ว
หนิงเหอมองดูแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ แต่เพราะตั้งแต่เช้าที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้ อาหารยังไม่ตกถึงท้องเลยสักอย่าง หนิงเหอจึงทำเพียงกลั้นใจตักข้าวต้มขึ้นมากิน ก่อนจะตักผักดองลงไปในชามด้วย อย่างนั้นก็ขอให้ได้มีอะไรลองท้องไปก่อนก็แล้วกัน นางไม่อยากอดตายเอาตอนนี้ และโชคดีอยู่มากว่าแม้จะเป็นเพียงข้าวต้มและผักดอง อาหารเหล่านี้ก็มีรสชาติที่ไม่เลวเลยทีเดียว นางยอมรับฝีมือการทำอาหารของมารดามากทีเดียว
หนิงเหอพยายามตักทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะอาหารลงท้องตนเอง โดยมีสายตาจากคนในครอบครัวมองดูนางอยู่ กู้หลันโจวถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ เมื่อเห็นท่าทางการกินของน้องสาว โดยปกติแล้วหนิงเหอมักกินเงียบ ๆ ไม่ส่งเสียง กินเพียงคำสองคำก็บอกว่าอิ่มแล้ว แต่ดูจากตอนนี้นางราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนไปของนางนี้ดีหรือไม่ดีจริง ๆ
…………………………..
ตอนที่ 20 ต้องการสีที่ใช้งานได้หนึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่เฉียนหยาแต่งเข้ามาที่บ้านของครอบครัวกู้ นอกจากงานซักผ้าแล้ว งานอื่นๆ ทุกคนในบ้านล้วนแต่ช่วยเหลือกันทั้งสิ้นกู้หลันโจวเองในช่วงนี้เหนื่อยกว่าทุกคนในบ้านยิ่งนัก เนื่องจากว่า ในยามกลางวัน เขาจะออกไปช่วยที่บ้านของเฉียนต้าหลางลงนาเกี่ยวข้าว กู้เหวินอี้เองก็เช่นกัน กู้อวี้สยงนั้นไม่มีที่ทำกินเหมือนครอบครัวอื่น ตัวเขาจึงมีอาชีพเป็นนายพราน แตกต่างจากครอบครัวเฉียน เฉียนต้าหลางมีพื้นที่ทำกินที่แบ่งกับน้องๆแล้วหลายหมู่ แต่เนื่องจากว่าเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวไม่มีลูกชาย ทำให้กู้หลันโจวพากู้เหวินอี้มาช่วยงานกู้หนิงเหอเดินมาที่ท้องนาที่ตอนนี้กำลังมีคนช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวในนาอย่างขะมักเขม้น นางใช้มือทั้งสองข้างแตะเลียนแบบกล้องถ่ายรูป เพื่อใช้สมองของตนเองจดจำภาพ บรรยากาศ และผู้คนที่กำลังทำงานอยู่ในท้องนาเอาไว้ เพื่อที่ว่านางจะได้นำไปวาดรูป“หนิงเหอ เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” เฉียนหยาที่เดินมาด้านหลังถามน้องสามีของนางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ นางจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย“กำลังเก็บภาพเจ้าคะ”“เก็บภาพ? หมายถึงอะไร?”“ข้ากำลังเก็บภาพเหล่านี้
ตอนที่ 19 งานมงคลและแล้วก็ถึงวันมงคลของกู้หลันโจวและเฉียนหยาหนิงเหอตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวช่วยงาน เพียงฟ้าสางขบวนเจ้าสาวก็มาถึงบ้านของครอบครัวกู้ เฉียนหยาแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวสีแดงสด ด้านหลังของนางเป็นคนครอบครัวเฉียนที่พากันขนข้าวของสินเดิมเจ้าสาวตามมาเป็นขบวน นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านมากมายต่างมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านในชนบท ที่มีฐานะยากจน ทำให้งานแต่งงานไม่เหมือนในละครที่หนิงเหอเคยดูที่ฝ่ายเจ้าสาวจะนั่งเกี้ยวมายังบ้านของเจ้าบ่าวพิธีการที่จัดขึ้นเป็นแบบเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก ทุกคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือในการทำพิธีต่างๆ จากนั้นทางฝั่งของบ่าวสาวก็เปลี่ยนชุดออกมาต้อนรับแขกที่มารวมงาน และดื่มกินสังสรรค์กันจนถึงค่ำ ก็ถึงเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอที่สร้างเสร็จใหม่ เช้าวันรุ่งขึ้นเฉียนหยาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเพื่ออุ่นอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงเมื่อวานให้กับคนในบ้านกู้ โดยที่นางไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะหนักหนาอะไรสำหรับนาง กู้หลันโจวก็ตื่นแล้วเช่นกัน เขาเข้าครัวช่วยภรรยาที่พึ่งแต่งเข้ามาได้เพียงหนึ่งวันก่อไฟอุ่นอาหาร บรรยากาศภายในห้องค
ตอนที่ 18 คำตอบของหม่าเจ่าคำตอบของหม่าเจ่า ทำให้สองแม่ลูกครอบครัวกู้กลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อส่งแขกออกไปแล้ว หม่าเจ่าก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง“เพราะเหตุใดเจ้าไม่ตอบรับคำขอเล่า เจ้าก็รู้ใจลูกสาวของตนเองไม่ใช่หรือ?” เฉียนต้าหลางถามภรรยา เรื่องที่เฉียนหยาลูกสาวของตนเอง ชื่นชอบกับเพื่อนเล่นสมัยเด็กอย่างกู้หลันโจว พวกเขาสองสามีภรรยาต่างรู้แก่ใจกันดี“คนพวกนั้นเห็นลูกสาวของเราเป็นตัวอะไร อยากแต่งก็พาแม่สื่อมา ไม่อยากแต่งก็ปฏิเสธพวกเราง่ายๆ” หม่าเจ่ายังคงเสียหน้ากับเรื่องที่ผ่านมาอยู่ นางจึงตอบกลับสามีด้วยน้ำเสียงที่ดัง ทำให้เฉียนหยาที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกได้ยิน“ท่านแม่” เฉียนหยาเรียกมารดาของตนเอง ที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนักหม่าเจ่ามองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองด้วยความหนักใจ สำหรับตัวนางแล้ว ครอบครัวกู้แม้จะยากจนอยู่บ้าง แต่นางที่รู้จักกู้หลันโจวมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้ดีว่ากู้หลันโจวจะต้องไม่มีวันทำให้ลูกสาวของนางเสียใจอย่างแน่นอน ส่วนลูกชายของหมู่บ้านข้างเคียงที่ส่งแม่สื่อมานั้น ฐานะทางบ้านไม่เลวเลยทีเดียว พ่อแม่สามีเองก็เป็นที่รู้จักของหลายหมู่บ้าน
ตอนที่ 17 มีเงินเพียงพอแล้วกู้อวี้สยงและหนิงเหอเดินออกมาจากร้านหงลู่ฝาง หนิงเหอจึงเสนอความคิดว่า พวกเขาควรซื้อเสบียงอาหารแห้งกลับไปที่บ้านสักเล็กน้อยก่อนกู้อวี้สยงเดินตามลูกสาวของเขาด้วยความเหม่อลอย พร้อมกับเอามือทาบที่หน้าอกของตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะด้านตรงอกของเขาตอนนี้ มีถุงเงินยี่สิบตำลึงอยู่ด้านใน กับอีกถุงเป็นเงินที่เขาขายเนื้อสัตว์มาแม้ว่าจะได้เงินมาเยอะจากเมื่อครู่ แต่หนิงเหอก็ไม่ได้ใช้เงินมือเติบแต่อย่างใด นางจัดแจงซื้อแป้ง ข้าวสาร ธัญพืชที่ที่บ้านไม่มีอยู่แล้วกลับไป“หนิงเหอ นี่พ่อกำลังฝันอยู่หรือไม่?” กู้อวี้สยงหันมาถามลูกสาวที่เดินอยู่ด้านข้าง ทำเอากู้หนิงเหอที่กำลังเดินอยู่ถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“ฮ่าๆๆ ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ฝันไปหรอกเจ้าค่ะ” เพราะตอนนี้ในมือทั้งสองข้างของเขา เต็มไปด้วยข้าวของที่ลูกสาวซื้อกลับมา ทำให้ไม่มีมือจับตรงที่ถุงเงินที่อยู่ภายใต้เสื้อตนเองได้ เขากลัวเหลือเกิน ว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้านแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งของเขาเท่านั้น“มันมีจริงๆ หรือ คนที่ยอมเสียเงินร้อยตำลึงเพื่อพัดเล่มหนึ่งเท่านั้น” กู้อวี้สยงถามขึ้น ไม่ใช่ว่า
ตอนที่ 16 นกข่งเชวี่ยภาพนกข่งเชวี่ย(นกยูง)ตัวผู้ที่ถูกวาดอยู่บนพัด เจิ้งหย่งซีมองมันด้วยสายตาที่สั่นไหว ราวกับว่าเจ้านกที่ถูกวาดอยู่ กำลังลำแพนหางของมันโอ้อวดให้คนที่กำลังมองอยู่ได้เชยชมเจิ้งหย่งซีสังเกตที่หางของมันอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่า ผู้ที่วาดนั้นเก็บรายละเอียดหางของมันด้วยพู่กันที่เล็กที่สุด ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภาพวาดที่ละเอียดลออนี้ จะใช้ระยะเวลาในการวาดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น“ไปตามคนส่งของเข้ามา” เจิ้งหย่งซีสั่งลูกน้องคนสนิทของตนเองให้ตามเด็กที่ร้านที่มาส่งของ เข้ามาหาเขา เพราะเขามีคำถามต้องการถามอีกฝ่ายเพียงไม่นาน ด้านหน้าประตูก็ปรากฏร่างของเด็กชายที่มีท่าทางประหม่าเป็นอย่างมากเดินเข้ามา“คารวะนายท่าน” เด็กรับใช้ที่ร้านคารวะอีกฝ่ายความสั่นเกรง“เด็กสาวที่นำของสิ่งนี้มาส่ง ก่อนที่นางจะจากไป นางได้บอกอะไรหรือไม่” เจิ้งหย่งซีมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนถามเสียงเรียบจะกลัวอะไรกันหนักหนา เขาเริ่มไม่สบอารมณ์“ระ.. เรียนนายท่าน แม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพราะตอนนี้นางกำลังรอรับเงินอยู่ที่ร้านขอรับ นางบอกว่าต้องการรีบใช้เงิน” ยังอยู่ที่ร้าน?“หลี่หลิน เตรียมรถม้า”“ขอรับ”เมื่อได้ย
ตอนที่ 15 ส่งผลงาน“หลงจู่กล่าวว่า ไก่แต่ละตัว หนักประมาณ 2 จิน ให้ท่านตัวละ 150 อีแปะ ส่วนกระต่ายตัวละ 180 อีแปะ รวมทั้งสิ้น 960 อีแปะขอรับ” เด็กในร้านที่ทำหน้าที่แจกแจงเงินให้แก่กู้อวี้สยงก็พูดจาฉะฉาน เพราะเขาต้องทำเช่นนี้แทบทุกวันกับพ่อค้าเนื้อ หรือแม่ค้าผักที่นำมาส่งที่ร้านเนื่องจากร้านอาหารด้านหลังเป็นจุดรับของที่จะนำมาใช้ทำอาหาร จำต้องมีเด็กวิ่งเข้าออกเพื่อทำหน้าที่นี้ เพราะในครัวไม่สามารถให้คนนอกเข้าออกได้ เด็กคนนี้จึงรับหน้าที่นี้มาหลายปีแล้ว“ขอบคุณเจ้ามาก” เมื่อเห็นว่าราคาที่อีกฝ่ายให้มา เป็นราคาเดียวกับที่เขาคิดคร่าวๆ ไว้ในใจแล้ว กู้อวี้สยงจึงรับเงินที่อีกฝ่ายยื่นให้ และเก็บลงใส่ถุงเงินที่ตนพกมาก่อนมัดถุงไว้อย่างระมัดระวัง และเก็บไว้กับตนเอง“เราไปกันเถอะ” กู้อวี้สยงหันมาส่งยิ้มให้กับบุตรสาวก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินไปทางถนนอีกเส้นหนึ่งที่อยู่คนละทางกับร้านอาหารแห่งนี้เนื่องจากตัวเมืองนี้มีถนนเส้นใหญ่อยู่สองเส้น เส้นแรกเป็นเส้นที่ร้านอาหารที่เขาไปเมื่อครู่ตั้งอยู่ ส่วนอีกเส้นเป็นเส้นที่ร้านหงลู่ฝางตั้งอยู่ เพียงมองดูก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า ถนนทั้งสองเส้นนั้นต่างกันอย่างไร ถนน