“ขอบคุณมากนะธี ไปหาหมอเป็นเพื่อนแล้วยังจะพาไปเลี้ยงข้าวอีก อันที่จริงเลี้ยงข้าวนี่ไม่ต้องก็ได้นะ...”
ฟ้าลดาเอ่ยอย่างเกรงใจ
หลายสัปดาห์หลังมีอาการแพ้ท้องอยู่หลายครั้ง ฟ้าลดาจึงยอมให้แม่กับอานุชพาไปโรงพยาบาล ผลตรวจไม่ได้ผิดคาด หญิงสาวตั้งครรภ์อยู่จริง ๆ เธอจึงฝากท้องและตัดสินใจจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนสุขภาพของลูก
วันนี้ฟ้าลดามีนัดกับคุณหมอตามปกติ แม่กับอานุชติดธุระในวันนี้พอดี เธอจะไปเองคนเดียวก็ได้แต่ไม่รู้ว่าแม่ไปคุยกับธีทัตอย่างไร เขาจึงอาสาแกมขอร้องให้ฟ้าลดายอมให้เขาขับรถไปให้ เมื่อเสร็จธุระที่โรงพยาบาล ตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังจะชวนไปกินข้าวมื้อเที่ยง แต่ลูกน้องที่สำนักงานของธีทัตโทรศัพท์มาถามถึงเอกสารบางอย่าง ชายหนุ่มจึงขอแวะบ้านตัวเองสักครู่
“เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาตั้งนานแล้วนะฟ้า ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันสักมื้อเถอะ เดี๋ยวธีขอเข้าไปหาเอกสารแป๊บเดียว ฟ้านั่งรอในรถก่อนนะ”
“ได้จ้ะ ไม่ต้องรีบนะเดี๋ยวจะลืมของอีก”
ธีทัตกำลังจะไขกุญแจรั้วเข้าบ้านตอนที่รถสี่ล้อแดงคันหนึ่งจอดเลยหน้าตัวบ้านไปเล็กน้อย คนที่เพิ่งเปิดประตูข้างคนขับแล้วก้าวลงมาทำให้ชายหนุ่มชะงัก
“อ้าว! มะนาวเองเหรอ”
ธีทัตทั้งแปลกใจและดีใจที่ได้พบหญิงสาว แต่สายตาของ มนิษาจ้องผ่านไปยังรถของเขาที่ยังจอดอยู่หน้าบ้าน ไม่ต้องมองตามชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าสาวน้อยตากลมกำลังจับจ้องไปที่ใคร
สายตาของเธอเลื่อนกลับมาที่เขา แววตาดูสับสนจนธีทัตนึกเอ็นดู เขาเดินตรงไปหาเธอทันที
“มาทำอะไรแถวนี้ มาหาพี่หรือเปล่า”
มนิษาไม่ตอบ ลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้าหงึก ๆ
เธอนึกโกรธความหุนหันของตัวเองที่พาตัวมาถึงที่นี่
ธีทัตก้มมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ดูเหมือนเขาเข้าใจเธอมากกว่าที่เธอจะเข้าใจตัวเองเสียอีก
“มานี่สิ เดี๋ยวพี่พาไปแนะนำให้รู้จักเพื่อน”
“เพื่อนหรือคะ”
“ใช่ครับ เพื่อน เพื่อนพี่ก็คงอยากรู้จักมะนาวนะ”
สาวน้อยก้าวตามเขาไปอย่างงุนงงราวต้องมนตร์สะกด ฟ้าลดาเห็นแบบนั้นก็เปิดประตูรถแล้วก้าวลงมาส่งยิ้มให้
“มะนาวครับ นี่พี่ฟ้า เพื่อนพี่ธีเอง”
หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ารีบยกมือไหว้เก้ ๆ กัง ๆ ฟ้าลดารับไหว้ด้วยรอยยิ้มใจดี
“ฟ้า นี่ไงน้องมะนาว คนที่ธีเคยเล่าให้ฟัง”
มนิษาเงยหน้ามองเขาทันที เขา ‘เล่า’ เรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอ แล้วทำไมต้องเล่าหรือพูดถึงด้วย...
ฟ้าลดายิ้มอย่างเป็นมิตร
“ตัวจริงไม่เห็นดูดุอย่างที่ธีบอกเลยนะ หน้าตาออกจะน่ารัก”
ธีทัตหัวเราะเบา ๆ มนิษายังคงไม่เข้าใจ เธอตั้งใจมาดูให้เห็นกับตาว่าเขาได้ซุกซ่อนผู้หญิงคนไหนไว้จริงหรือเปล่า แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดว่าจะได้เจอ
“ธี เดี๋ยวฟ้ากลับเลยดีกว่า ธีไม่ต้องไปส่งที่บ้านแล้วล่ะ”
“ได้ยังไง บอกแล้วไงว่าต้องไปกินข้าวก่อน"
ชายหนุ่มหันมาทางหญิงสาวอีกคนที่ยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่ตรงนั้น รถสี่ล้อแดงหายไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีใครทันได้สังเกต
"มะนาวครับ...พี่ธีกับพี่ฟ้ากำลังจะไปหาข้าวเที่ยงกินกัน มะนาวมีธุระอะไรด่วนกับพี่หรือเปล่า"
"ไม่มีค่ะ ไม่มี"
"อย่างนั้นเดี๋ยวไปกินข้าวกับพวกพี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีกลับบ้านล่ะ พี่ขอเข้าไปหยิบของแป๊บ"
สาวน้อยกำลังจะปฏิเสธแต่ธีทัตไม่รอฟัง เขาผลักประตูรั้วเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้มนิษายืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้นก่อนหันไปเอ่ยกับฟ้าลดาอย่างเก้อเขิน
"เอ่อ เดี๋ยวมะนาวกลับก่อนดีกว่าค่ะ"
"อย่าเพิ่งกลับเลยคะ เดี๋ยวธีออกมาไม่เจอมะนาวก็ต่อว่าพี่แย่เลย ไปกินข้าวด้วยกันก่อนเถอะนะ..."
"จะดีหรือคะ"
มนิษาเสียงอ่อย ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงสวยที่อยู่ต่อหน้าคนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเกรงใจ
ฟ้าลดายิ้ม
"ดีสิจ๊ะ ไปกินข้าวพร้อมกันสี่คน น่าอร่อยออก"
"สี่คนหรือคะ มีใครอีกหรือคะ"
"มีเจ้าตัวเล็กนี่ไง"
ฟ้าลดาบอกพลางแตะที่หน้าท้อง มนิษาอ้าปากค้าง... นึกถึงที่เมรินโทรมาบอกว่าเจอธีทัตที่แผนกสูตินรีเวช... ฟ้าลดาเฉลยให้โดยไม่ต้องรอให้ถาม
"พี่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลค่ะ ธีพาพี่ไปหาหมอ"
มนิษาสูดหายใจลึก ใครจะว่าเธอเสียมารยาทก็ไม่สนใจแล้วเพราะความอยากรู้ชนะทุกสิ่ง
"พี่ท้องหรือคะ"
"ใช่จ้ะ"
"ดะ...ดีใจด้วยนะคะ ลูกของพี่กับพี่ธีหรือคะ"
ฟ้าลดาเลิกคิ้ว สีหน้าตอนแรกตกใจ แต่วินาทีต่อมาก็ยิ้มขัน ยังไม่ทันตอบ ธีทัตก็เดินกลับมาพร้อมซองเอกสารในมือ
"เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ มะนาว...ไปด้วยกันนะ"
ชายหนุ่มย้ำอีกรอบเหมือนกลัวเธอจะปฏิเสธ มนิษาสบตาหญิงสาวอีกคน ฟ้าลดายิ้มและพยักหน้าน้อย ๆ แทนคำชวน แต่ถึงไม่ชวนซ้ำ เธอก็พร้อมจะกระโดดขึ้นรถไปกับสองคนนี้อยู่แล้ว เพราะอยากรู้เหลือเกินว่าจริง ๆ แล้วฟ้าลดาเป็นใคร เป็นอะไรกับธีทัต และพ่อของเด็กในท้องของฟ้าลดานั้นใช่ธีทัตอย่างที่เธอกำลังหวั่นใจหรือไม่
งานนี้มะนาวยอมรับกับตัวเองว่าไม่ได้ทำไปเพื่อส้มหวานอย่างที่เธอชอบอ้างมาเสมอ แต่เธออยากรู้แทบทุกเรื่องของธีทัตก็เพื่อคลี่คลายความคาใจของคนคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตัวของเธอเอง
**มื้อเย็นวันนั้น สริดาไม่ต้องรอมนิษากลับมากินข้าวบ้านเพราะเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกว่าจะไปกินข้าวกับเพื่อนและคงจะกลับค่ำสักหน่อย
กระทั่งสองทุ่ม มนิษาจึงเพิ่งกลับถึงบ้าน สริดากำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นตอนที่น้องสาวเดินเข้ามาแล้วยื่นถุงใส่ปาท่องโก๋ สังขยาใบเตย กับน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ มาให้
"อุ๊ยน่ารักจัง กำลังอยากกินพอดีเลย”
สริดาเอ่ยอย่างยินดี กำลังเอื้อมมือไปรับตอนที่มนิษาบอก
“พี่ธีเป็นคนซื้อมาฝากจ้ะ บอกว่าเจ้านี้อร่อยเลยแวะซื้อมาให้”
“หืม? มะนาวไปเจอพี่ธีที่ไหน”
“ไม่ได้ไปเจอที่ไหน แต่...เพิ่งไปกินข้าวด้วยกันมา”
มนิษาอ้อมแอ้มตอบ ยังไม่กล้าสบตา สีหน้าขัดเขิน
“หมายความว่าที่บอกว่าไปกินข้าวกับเพื่อน... เพื่อนก็คือพี่ธีอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ พี่ส้มอย่าเพิ่งเข้านอนนะ รอมะนาวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวจะลงมาอธิบายให้ฟัง มีอะไรจะต้องเล่าให้พี่ส้มฟังเยอะแยะเลย”
สริดาต้องกลั้นใจรอทั้งที่อยากดึงแขนน้องสาวให้เล่าทุกอย่างให้ฟังมันตอนนี้เลย
หญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อจอดรถไว้หน้ารั้วบ้านก็ต้องทำใจอยู่สักพักกว่าจะยอมลงจากรถศรัณส่งยิ้มอบอุ่นหล่อเหลามาให้ มือประคองช่อกุหลาบช่อใหญ่ไว้ด้วย เธอจ้องดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่หลายดอกที่ถูกจัดอย่างประณีต ไม่ใช่เพราะประทับใจแต่เพราะไม่อยากจะมองหน้าเจ้าของช่อดอกไม้ตรง ๆ“น้องส้ม...พี่คิดถึงส้มจังเลยครับ”ศรัณเอ่ยเสียงนุ่มพลางยื่นช่อกุหลาบให้หญิงสาวที่เขาตั้งใจมาหา แต่หนนี้สริดาไม่แม้แต่จะรักษาน้ำใจด้วยการรับไว้“คราวก่อนส้มพูดชัดแล้วนะคะว่าไม่อยากให้พี่โซ่กลับมาที่นี่อีก”“พี่รู้ แต่พี่คิดถึงส้มมากเกินไป หลายวันมานี้พี่แทบไม่มีสมาธิทำงานเลยนะครับ...ในหัวพี่คิดถึงแต่เรื่องของส้มตลอดเวลา ว่าต้องทำยังไงส้มถึงจะเชื่อว่าพี่รักแล้วก็จริงจังกับส้มจริง ๆ”สริดาถอนหายใจ เหลือจะเชื่อจริง ๆ ผู้ชายคนนี้“กลับไปเถอะค่ะ อย่าให้ส้มต้องไล่ซ้ำซากเลย ส้มเหนื่อย...”“พี่จะกลับแต่อยากให้ส้มรู้ว่าเมียพี่...ภรรยาตามกฎหมายคนนั้น เขายินดีหย่าให้พี่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียมานานหลายปีแล้ว ที่ทนอยู่ก็เพราะลูก แต่ตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าเขาก็ไม่อยากแกล้งพี่อีกต่อไป เขาจะหย่าให้ครับ”“ถ้าอย่างนั้น
วันพระใหญ่ สริดากับองุ่นออกไปทำบุญที่วัดตั้งแต่ตอนกลางวัน คนเป็นป้ายังคงรู้สึกผิด แม้หลานสาวบอกให้ลืมมันไปได้แล้วก็ตาม“กรวดน้ำไปเยอะ ๆ เลยนะลูก พวกเจ้ากรรมนายเวรมันจะได้ไม่มารังควานเราอีก”องุ่นบอกหลานสาว สริดาอดยิ้มขันไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ป้าขอน้ำมนตร์จากหลวงพ่อ เพื่อจะมาผสมน้ำอาบ ไล่เสนียดจัญไรออกจากชีวิต“นายคนนั้นมันติดต่อเรามาอีกไหมส้มหวาน”หลังจากไม่ได้เอ่ยชื่อศรัณมานาน องุ่นก็เลียบเคียงถามจนได้ สริดาอยากปิดเรื่องที่เขาแวะมาที่บ้านหลายวันก่อนแต่ก็ตัดสินใจบอกความจริงไป“เวรกรรม ยังกล้ามาอีกหรือนี่ มันมาเซ้าซี้ตอแยอะไรอีกได้ แล้วได้แจ้งตำรวจหรือเปล่าลูก”“เขายังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะป้าหงุ่น ไม่ต้องห่วงนะคะ”สริดารีบบอก“ป้าหงุ่นอย่าเพิ่งบอกน้องนะคะ แค่เลี้ยงทิวลิป มะนาวก็น่าจะวุ่นพออยู่แล้ว”“อืม ป้าไม่บอกหรอก แต่ส้มก็อย่าประมาทนะลูก บอกคนงานให้เฝ้าบ้านกันดี ๆ แล้วถ้ามันกลับมาอีกก็โทรแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกไปเลย”“ค่ะป้าหงุ่น”สริดารับคำเพื่อให้ผู้อาวุโสสบายใจ เอาไว้ถ้าศรัณยังไม่ยอมเลิกราจริง ๆ ตอนนั้นเธอค่อยใช้ไม้แข็งกับเขาอย่างที่ป้าบอกก็แล้วกัน**“เมื่อไรจะหายเห่อลูกสักที ใจคอ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่วิศวินต้องกลับออสเตรเลีย จากสนามบินเชียงใหม่ชายหนุ่มต้องไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เขาไม่ได้ให้ใครมาส่งนอกจากลูกพี่ลูกน้อง“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไร”ธีทัตถาม วิศวินหัวเราะ“ฉันยังอยู่ไม่จุใจนายอีกเหรอ นี่ก็อยู่จนแม่นึกว่าฉันจะกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วนะ”“ก็ถาม ๆ ดู เผื่อว่าหนนี้มีอะไรจูงใจให้นายกลับมา”ธีทัตเอ่ยทีเล่นทีจริง“ตกลงแกกับส้มหวานนี่มันยังไงวะ”“ก็ไม่ไงนี่”วิศวินทำเป็นง่วนกับการตรวจเช็คความเรียบร้อยของกระเป๋าและตั๋วโดยสาร“ส้มหวานก็น่ารักดี คุยด้วยแล้วสบายใจ... น่าเห็นใจเขาที่เจอผู้ชายที่ไม่ดี”“ก็เพราะผู้ชายดี ๆ มันไม่กล้าจีบน่ะสิ ไอ้พวกไม่ดีเลยเอาไปกินเสียหมด”“มันก็ต้องมีคนดี ๆ หลงเหลือบ้างล่ะน่า... คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้ ดูแลเขาได้...”วิศวินเอ่ยเบา ๆ เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเองถ้าเป็นเมื่อก่อนธีทัตอาจจะยุให้ลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสริดาให้รู้แล้วรู้รอดและเขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ด้วยอีกแรง แต่หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาทั้งร้ายและดี ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติโดยตัวเขาเองไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
ระหว่างรอธีทัตซื้ออาหารอีสานมาสมทบ สริดาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่มอีกสองสามเมนูเพราะป้าองุ่นก็จะมาร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน“มะนาวไปนั่งดูทีวีรอพี่ข้างนอกไป จะมานั่งทำไมในครัว”เธอบอกน้องสาว มนิษาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมหยิบข้าวต้มมัดที่นึ่งสุกแล้วใส่จานเดินออกจากครัว ปล่อยให้พี่สาวกับนิดหน่อยช่วยกันล้างผักหั่นผักกันไป นาทีต่อมาวิศวินก็เดินพับแขนเสื้อเข้ามา“พี่วิน จะรับอะไรหรือคะ”“เปล่าครับ พี่จะมาช่วยเป็นลูกมือน่ะ”“ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส้มกับนิดหน่อยทำสองคนก็ไหว พี่วินไปนั่งคุยกับมะนาวเถอะค่ะ”“มะนาวก็ไล่พี่มาช่วยส้มเหมือนกัน” วิศวินอ้างส่งเดช “ให้พี่ช่วยเถอะครับ พี่ทำครัวเป็นนะ”“จริงหรือคะ”เป็นนิดหน่อยที่ถาม ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันพลางเดินไปหยิบมีดทำครัวขึ้นมาหนึ่งเล่ม“ให้พี่หั่นผักให้ดูไหมล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าโม้”สริดาเกรงใจแต่ก็ยอมหลีกทางให้ และฝีมือหั่นผักด้วยความเร็วและเนี้ยบระดับพ่อครัวมืออาชีพก็ทำให้สองสาวอ้าปากค้าง“โอ้โห...อย่างกับที่เขาแข่งทำอาหารในโทรทัศน์แน่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยร้องอย่างตื่นเต้น วิศวินหัวเราะเบา ๆ“ตอนพี่จบไฮสกูล...หมายถึงม.ปลายน่ะ พี่ไปเรียนเป็นเชฟอยู่เกือบสามปีเ
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากศรัณกลับไปกับครอบครัวของเขาในวันนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะเขาเองก็ไม่กล้าโผล่กลับมาให้เห็นหน้าอีก ทำเพียงส่งข้อความมาขอโทษสริดาและบอกว่าจะกลับมาอธิบายทุกอย่างทีหลัง“ส้มหวานเป็นไงบ้างวะไอ้ธี”วิศวินถามธีทัตหลังผ่านงานหมั้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอสริดาเลย ครั้นจะไปหาเธอที่บ้านหรือส่งข้อความไปก็ไม่แน่ใจว่าจะยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า“เห็นมะนาวบอกว่าก็ยังสบายดีนะ อาจมีโกรธบ้างแต่รวม ๆ ก็เหมือนทำใจได้”“แปลก แล้วจะเอายังไงต่อกับผู้ชายคนนั้น ครอบครัวเขา เมียเขา จะมาเอาเรื่องอะไรอีกไหม”วิศวินยังถามต่อด้วยความเป็นห่วง ธีทัตส่ายหน้า“เท่าที่รู้ ทางนั้นไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีก คงไม่อยากยุ่งกับเราเหมือนกัน มีแต่เมียฉันนี่ล่ะที่ร่ำ ๆ จะไปเอาเรื่องนายศรัณให้ได้ นี่ฉันขอไว้ว่าอย่าเพิ่งต่อความยาวสาวความยืด ไม่อย่างนั้นป่านนี้มะนาวตัวดีบุกศาลากลางแล้ว แม่เจ้าประคุณกะจะไปบู๊ทั้ง ๆ ที่ท้องโย้อยู่นั่นแหละ”ธีทัตหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงจะขำไม่ออก นึกแล้วก็โชคดีจริง ๆ ที่น้อง
“ส้มครับ...ไม่ว่าใครจะพูดอะไร พี่อยากให้ส้มเชื่อใจพี่นะครับ”“ส้มไม่เข้าใจค่ะ”“พี่รักส้มนะ รักจริง ๆ แล้วพี่จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”“อธิบายเรื่องอะไรคะ พี่โซ่พูดให้ชัด ๆ ได้ไหม ส้มงงไปหมดแล้ว”แต่ศรัณไม่มีเวลาอธิบายเพราะหฤทัยจูงมือพี่สะใภ้ก้าวอาด ๆ มาหา ชายหนุ่มหน้าซีดเป็นกระดาษ อุรัศยามองสามีที่สวมใส่ชุดไทยประยุกต์หล่อเหลาจัดเต็มแถมยังยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคนแต่งตัวโทนเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าสถานะของสองคนนี้คืออะไร...สริดาผงะไปเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวที่เธอยังไม่รู้จักจู่ ๆ ก็สะอื้นเสียงดัง น้ำตาร่วงพรู มารดาของศรัณโอบกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่ดูอ่อนวัยที่สุด กำลังจ้องเธออย่างรังเกียจ“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”“ที่ถามนี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ...”“ซ่า เดี๋ยวพี่พูดเอง”ศรัณพยายามปรามน้องสาว แต่ถึงตอนนี้แม้แต่ช้างก็ฉุดหฤทัยไม่อยู่แล้ว“จะพูดอะไร จะบอกเมียน้อยพี่หรือไงว่าที่กำลังร้องไห้อยู่นี่คือเมียตัวจริง เมียหลวง!”มีเสียงอุทานและฮือฮารอบข้างดังขึ้นเบา ๆ สีเลือดเผือดหายไปจากใบหน้าของสริดาทันที“ส้ม ฟังพี่ก่อนนะครับ...”เป็นอีกครั้งที่ศรัณยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เพราะมนิษาท
แสงแดดอ่อนยามเช้าทาบทอทั่วลานสนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างประณีต เก้าอี้ไม้สีขาวรูปทรงวินเทจจัดเรียงเป็นระเบียบรองรับแขกเหรื่อได้หลายสิบคน ดอกกุหลาบขาว ลิลลี่ และไฮเดรนเยีย ถูกจัดแต่งสวยงามประดับประดาไว้ทุกมุมของบริเวณจัดงานเล็ก ๆ ที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนหวานแห่งนั้นด้านหน้าเวทียังมีกุหลาบขาว คาเนชั่น และดอกยิปโซ คุมโทนให้เข้ากันกับโซฟาหรูสีงาช้างสำหรับคู่หมั้นและผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ฉากหลังประดับด้วยอักษรภาษาอังกฤษตัวเอสสองตัวซ้อนกันแทนชื่อย่อของสริดากับศรัณศรัณอาสาดูแลเรื่องงานหมั้นในวันนี้ทั้งหมด เขาเลือกซื้อแพ็คเกจจัดงานที่ดูแลเบ็ดเสร็จทั้งสถานที่ อาหาร เครื่องแต่งกาย แต่งหน้าทำผม และยังดูแลไปถึงรูปแบบพิธีกรรมในการหมั้นหมายแบบไทย ๆ ชายหนุ่มนึกดีใจที่สริดากับป้าองุ่นเสนอให้จัดงานเล็ก ๆ ที่มีเฉพาะญาติและคนสนิทกันเท่านั้น ถึงกระนั้นฝ่ายของเขาก็มีเพียงนายอนุสรณ์ผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่มาร่วมงานหมั้นของลูกชายได้อนุสรณ์บอกว่านารีติดโควิดจึงมาด้วยกันในวันนี้ไม่ได้ โชคดีที่ดูเหมือนว่าญาติของฝ่ายหญิงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แต่เขากระซิบบอกลูกชายแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่มาถึงเชียงใหม่‘…แม่แกน่ะ หัวเด
“ฟังแล้วอย่าเพิ่งโกรธหรือพูดอะไรนะ ฟังแม่ให้จบก่อน”หฤทัยเริ่มนึกสนุก รีบนั่งขัดสมาธิใกล้แม่ หยิบหมอนมาหนุนข้อศอก ตั้งท่าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแต่รอยยิ้มสนุกก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อนารีเล่าเรื่องที่ลูกชายมาขอให้ไปสู่ขอผู้หญิงคนหนึ่งที่เชียงใหม่ และยังขอร้องให้ปิดบังเรื่องนี้จากอุรัศยา ผู้ที่เป็นสะใภ้อย่างถูกต้องตามกฎหมายหฤทัยขบกรามกรอด ๆ และอดทนฟังอย่างไม่ปริปากตามที่แม่ขอไว้ จนเมื่อนารีพูดจบหญิงสาวก็แทบจะฉีกหมอนแทนการพุ่งไปห้องนอนพี่ชายแล้วทำร้ายเขาแทน“นี่เขาส่งมันไปทำงาน แต่มันดันไปมีเมียน้อยเนี่ยนะแม่! แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร รู้หรือเปล่าว่าไอ้โซ่มันมีลูกมีเมียแล้ว”เมื่อโกรธจัด การเรียกพี่ชายอย่างให้ความเคารพก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็น“มันบอกว่าทางนั้นก็ยังไม่รู้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า”“ถ้าเขาไม่รู้ก็ยิ่งชั่วหนัก นอกใจเมียแล้วยังไปหลอกผู้หญิง แบบนี้มันผิดวินัยนะแม่ ถ้าผู้หญิงเขารู้เขาเอามันออกจากราชการได้เลยนะ”“มันรู้ทุกอย่างแหละซ่า พี่ชายแกมันรู้หมดอะไรผิดอะไรถูก แต่มันจะทำ แถมยังขอให้แม่ไปขอเมียให้”“แล้วแม่ก็จะไปหรือไง”“จะไปได้ยังไงล่ะ แค่คิดฉันก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว
เป็นไปตามคาด มนิษาโวยวายเสียงดังจนคนฟังหูแทบแตกเมื่อสริดาโทรศัพท์ไปบอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีงานหมั้นของเธอกับศรัณ“มะนาว ใจเย็น ๆ ก่อนสิ”คนเป็นพี่พยายามเอ่ย“ถามจริงเถอะ นี่คิดดีแล้วใช่ไหม หมั้นกับไอ้...กับเขาน่ะ”“ไม่รู้ ไม่ได้คิด”“อ้าว! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะพี่ส้ม เรื่องแบบนี้ไม่คิดได้ยังไง”สริดานิ่งไป... เงียบนานจนคนเป็นน้องเอะใจ“พี่ส้ม ฟังอยู่หรือเปล่า”“อือ...อยู่”“เป็นอะไร ตกลงมันยังไงกันแน่”“...”ไม่มีคำตอบ แต่มนิษาเหมือนได้ยินเสียงคนถอนหายใจหนัก ๆ ความโกรธหายไปทันที หญิงสาวที่กำลังท้องโตกดโทรศัพท์แนบหูแรงขึ้นราวกับยังได้ยินไม่ชัดพอ“พี่ส้มอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนาวไปหา”“ไม่เอา ไม่ต้องมา พี่เป็นห่วง”“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวให้พี่ธีไปส่งก็ได้ พี่ธีอยู่บ้าน...ให้นาวไปหานะ”“เจอกันที่ร้านกาแฟดีกว่า พี่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินน่ะ”นี่ก็แปลกที่สุด...ตลอดชีวิตของมนิษาไม่เคยเห็นพี่สาวทำตัวลับลมคมในแบบนี้ สริดาบอกชื่อร้านกาแฟแถวบ้าน หญิงสาวรับปากก่อนจะรีบวางสาย แต่งตัว และขอให้ธีทัตพาไปส่งที่ร้านอย่างรวดเร็ว**เพราะคิดว่าภรรยาของเขาควรได้พูดคุยกับพี่สาวอย่างเป็นส่วนตัว ธีทัตจึงขอตัวไปเดินเ