มนิษาไม่ได้เจอธีทัตมาแล้วหลายวันเพราะเขาไปดูแลงานที่กรุงเทพฯ เขาชวนเธอไปด้วยแต่มนิษาบอกว่าเป็นห่วงร้านต้นไม้จึงปฏิเสธไป แต่ความจริงคือเธอกลัวหัวใจตัวเองมากกว่า ตั้งแต่วันที่ตกลงเป็นแฟนกัน มนิษาก็ตกใจกับความรู้สึกของตัวเองที่พบว่ามันท่วมท้นไปด้วยความปลาบปลื้มและความคิดถึงที่มีต่อเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอกลัวว่าจะเป็นฝ่ายรักธีทัตมากกว่าที่เขาจะรักเธอ
หญิงสาวสะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อมีเสียงเคาะประตูห้องที่เปิดค้างไว้ เป็นสริดาที่เดินยิ้มหวานเข้ามา
"เหม่ออะไรอยู่จ๊ะ"
"เปล่าจ้ะพี่ส้ม กำลังพับผ้าอยู่เฉย ๆ"
สริดาทรุดนั่งบนเตียงเคียงข้างน้องสาว มือก็หยิบจับช่วยพับผ้าไปด้วย มนิษาเม้มปากก่อนยอมรับ
"จริง ๆ ก็ไม่ได้เปล่าหรอก นาวกำลังใจลอยจริง ๆ นั่นแหละ"
"อย่างนั้นเหรอ ใจลอยไปถึงไหนเรื่องอะไรล่ะ"
"เรื่องพี่ธีนั่นแหละ"
"ทำไมล่ะ หรือเกิดลังเลขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจจะไม่หมั้นแล้ว"
สริดากึ่งถามกึ่งหยอก มนิษายิ้มน้อย ๆ
"ไม่รู้สิพี่ส้ม จู่ ๆ นาวก็กลัวขึ้นมา กลัวว่านาวจะกลายเป็นอย่างแม่ของเราอีกคน"
มือที่กำลังพับผ้าของสริดาหยุดชะงักไปเล็กน้อย คนเป็นพี่รู้ดีว่าน้องสาวหมายถึงอะไร แม้ช่วงเวลาที่สองพี่น้องได้อยู่กับพ่อแม่จะแสนสั้นเพราะท่านทั้งสองจากโลกนี้ไปเร็วเหลือเกิน แต่ในช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นก็ยังจำได้ดีว่าแม่รักพ่อมากแค่ไหน รักจนยอมนอนร้องไห้ทุกคืนที่พ่อออกไปกับผู้หญิงคนอื่น รักจนยอมให้อภัยทั้งที่พ่อนอกใจครั้งแล้วครั้งเล่า แม่อาจคิดว่าตัวเองเจ็บลำพังแต่ความจริงคือทุกครั้งที่แม่ร้องไห้หรือมองตามหลังพ่อไปด้วยแววตาหม่นหมอง ลูกทั้งสองที่อยู่ในวัยจำความได้แล้วก็กำลังมองและซึมซับรับรู้ความเจ็บปวดของแม่ไปด้วย
ครั้งหนึ่งสริดาเคยถามแม่ตรง ๆ ว่าทำไมแม่ยังอยู่กับพ่อ ทำไมไม่ทำอะไรให้พ่อรู้ว่าแม่เสียใจ พ่อทำให้แม่ร้องไห้ซ้ำ ๆ แล้วยังทนอยู่กับพ่อได้อีก
"เพราะพ่อเป็นพ่อของส้มกับน้องมะนาวไงลูก"
"แต่พ่อทำให้แม่ร้องไห้นี่นา ส้มไม่ชอบเห็นแม่ร้องไห้ แม่เลิกกับพ่อเถอะ ส้มไม่ว่าหรอก พ่อกับแม่ของอัญชนาก็เลิกกัน พ่อแม่ของภูเบศร์กับอรรณพก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ครูบอกว่าคนแต่งงานกันแล้ว เลิกกันได้ แต่ยังไงก็ยังเป็นพ่อเป็นแม่"
เด็กหญิงสริดาในวัยแปดเก้าขวบพูดอย่างตรงใจที่สุด ผู้ใหญ่มักลืมไปว่าเด็กแปดขวบก็รู้จักคำว่าหย่าร้าง รู้ว่าคนเป็นพ่อแม่เลิกกันได้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด...
สิ่งเดียวที่ไม่ปกติคือการต้องทนเห็นใครสักคนในบ้านมีความทุกข์อยู่เสมอแบบนี้ต่างหาก
วันนั้นสริดาจำได้เลือนลางว่าสุดท้ายแม่ก็ยิ้มแล้วบอกออกมาว่า...
"เพราะแม่รักพ่อของหนูไงจ๊ะ แม่รักพ่อเหมือนที่แม่รักหนูสองคน เวลาเรารักใคร เราจะอภัยให้เขา เราจะแทบไม่โกรธเขาเลยเหมือนที่แม่ไม่เคยโกรธส้มหวานกับมะนาวเลยยังไงจ๊ะลูก"
สองพี่น้องไม่เคยเกลียดพ่อแต่แค่สงสารแม่ และตอนนี้น้องสาวของเธอก็กำลังกลัวว่าตัวเองจะเดินตามรอยของมารดา
สริดาบีบมือน้องสาวด้วยความเข้าใจ
"พี่รู้ว่ามะนาวจะไม่เป็นเหมือนแม่ แม่เกิดมาในยุคนั้น ความคิดความเชื่อของแม่ก็อาจเป็นแบบนั้น พี่ไม่โทษแม่หรอก พี่ว่าแม่ได้ใช้ชีวิตของแม่เป็นบทเรียนให้เราสองคนได้เห็นแล้วว่าการรักใครมากเสียจนลืมความเคารพในตัวเองมันจะเป็นอย่างไร แม่ใช้ทั้งชีวิตของแม่เป็นบทเรียนราคาแพงสอนเราสองคน เพราะอย่างนี้พี่เลยเชื่อว่าทั้งพี่และมะนาวก็จะไม่เลือกเส้นทางเดียวกับแม่... พี่มั่นใจมาก"
คนเป็นพี่เอ่ยอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น ใครที่คุ้นเคยกับสริดาจะรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนหวานบุคลิกเยือกเย็น แต่เนื้อแท้แล้วคือความแกร่งไม่เคยหวั่นไหวไปตามอารมณ์ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถประคองชีวิตและจิตใจอยู่เป็นหลักให้น้องสาวมาได้จนทุกวันนี้
"แล้วตัวพี่ธีล่ะ มะนาวลังเลในตัวเขาด้วยหรือเปล่า"
หญิงสาวส่ายหน้า แววตากระจ่างขึ้น
"ตั้งแต่ตอบตกลงจะเป็นแฟนกัน มะนาวก็ไม่เคยรู้สึกหวาดระแวงพี่ธีเลย ไม่ใช่เพราะหลงรักพี่ธีจนหน้ามืดตามัวนะพี่ส้ม แต่มะนาวไม่ชอบการคบกันแบบที่ต้องคอยมาจับผิดน่ะ ถ้านาวยังไม่เชื่อใจพี่ธี ก็คงไม่ตอบรับเป็นแฟนตั้งแต่แรก แต่ถ้าตัดสินใจจะคบแล้ว นาวก็คือเชื่อหมดใจ แต่ถ้าวันไหนพี่ธีทำให้เห็นว่าเชื่อใจไม่ได้ นาวก็จะ...ตัดฉับ!"
มนิษาชูสองนิ้วทำท่ากรรไกรประกอบคำพูด สริดานิ่งอึ้ง
"ตัดฉับ...ตัดอะไร!"
"ก็ตัดใจไงพี่ส้ม คิดว่าน้องกำลังจะตัดอะไรเนี่ย"
สองพี่น้องหัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะเข้าใจตรงกัน ป้าองุ่นที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาเพื่อมาหาหลานสาวหยุดชะงัก ฟังเสียงหัวเราะสดใสของหลานทั้งสองแล้วก็ตัดสินใจเดินกลับลงบันไดไปเงียบ ๆ สีหน้ามีรอยยิ้ม ปล่อยให้พี่น้องเขาคุยกันตามประสาสาว ๆ วัยไล่เลี่ยกัน คนเป็นป้าแค่ได้มองอยู่ห่าง ๆ ได้เห็นหลานมีความสุขก็พอใจที่สุดแล้ว
**หลายวันต่อมาเมื่อธีทัตกลับจากกรุงเทพฯ เขาก็มารับมนิษาไปกินข้าวที่บ้านของพ่อกับแม่ ชายหนุ่มชวนสริดากับป้าองุ่นด้วย แต่สองคนนั้นคิดตรงกันว่าปล่อยให้มะนาวสาวน้อยได้ไปใช้เวลากับครอบครัวของแฟนหนุ่มตามลำพังก่อนดีกว่า
ธิดาสั่งให้แม่ครัวทำอาหารต้อนรับว่าที่ลูกสะใภ้เต็มโต๊ะ
“โอ้โห ปกติบ้านป้าธิดาทำอาหารเยอะขนาดนี้เลยหรือคะ”
หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าไม่อาจเก็บอาการได้ ก็บนโต๊ะกินข้าวที่ยาวเหมือนโต๊ะงานเลี้ยง ทั้งต้มผัดแกงทอดนับสิบเมนูวางเรียงกันไปจนน่ากลัวว่าอาจต้องใช้เวลาสักสามวันกว่าจะกินให้หมด
“ก็ไม่ได้เยอะขนาดนี้ทุกวันหรอกจ้า แต่วันนี้มะนาวจะมา ป้าเลยสั่งให้แม่ครัวทำไว้เยอะ ๆ นี่ป้าแอบถามมาจากองุ่นเขาว่าหลานสาวเขาชอบกินอะไรบ้าง แล้วก็ให้แม่ครัวของบ้านป้าทำตามนั้น”
“โถ่…ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยค่ะ มะนาวเกรงใจนะคะนี่”
หญิงสาวเอ่ยอย่างขัดเขินระคนซาบซึ้งใจ ทั้งซึ้งที่ธิดาเอ็นดูและซึ้งที่ป้าองุ่นคนที่โดนหลานสาวอย่างเธอตีฝีปากด้วยตลอดแต่ก็ยังจดจำได้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบกินอะไร
“ลุงก็บอกป้าเขาแล้วว่ามะนาวก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ไม่ต้องทำอะไรให้มันพิสดารหรอก”
คงเดชเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ไม่ใช่คำว่าพิสดารนะพ่อ ใช้คำว่าพิเศษต่างหากล่ะ ก็เพราะวันนี้เป็นครั้งแรกที่มะนาวมากินข้าวกับลุงกับป้าในฐานะแฟนลูกชายป้าจริงไหมจ๊ะ ป้าเลยทำอะไรให้มันพิเศษขึ้นมาหน่อย เออ อีกอย่าง เรียกป้ากับลุงไม่ได้แล้วนะ ต้องหัดเรียกว่าแม่กับพ่อให้ชินปากได้แล้วนะ”
มนิษายิ้มเขิน ธีทัตที่นั่งเก้าอี้ตัวติดกันนึกอยากเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ แต่ก็กลัวหญิงสาวจะทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่
หญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อจอดรถไว้หน้ารั้วบ้านก็ต้องทำใจอยู่สักพักกว่าจะยอมลงจากรถศรัณส่งยิ้มอบอุ่นหล่อเหลามาให้ มือประคองช่อกุหลาบช่อใหญ่ไว้ด้วย เธอจ้องดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่หลายดอกที่ถูกจัดอย่างประณีต ไม่ใช่เพราะประทับใจแต่เพราะไม่อยากจะมองหน้าเจ้าของช่อดอกไม้ตรง ๆ“น้องส้ม...พี่คิดถึงส้มจังเลยครับ”ศรัณเอ่ยเสียงนุ่มพลางยื่นช่อกุหลาบให้หญิงสาวที่เขาตั้งใจมาหา แต่หนนี้สริดาไม่แม้แต่จะรักษาน้ำใจด้วยการรับไว้“คราวก่อนส้มพูดชัดแล้วนะคะว่าไม่อยากให้พี่โซ่กลับมาที่นี่อีก”“พี่รู้ แต่พี่คิดถึงส้มมากเกินไป หลายวันมานี้พี่แทบไม่มีสมาธิทำงานเลยนะครับ...ในหัวพี่คิดถึงแต่เรื่องของส้มตลอดเวลา ว่าต้องทำยังไงส้มถึงจะเชื่อว่าพี่รักแล้วก็จริงจังกับส้มจริง ๆ”สริดาถอนหายใจ เหลือจะเชื่อจริง ๆ ผู้ชายคนนี้“กลับไปเถอะค่ะ อย่าให้ส้มต้องไล่ซ้ำซากเลย ส้มเหนื่อย...”“พี่จะกลับแต่อยากให้ส้มรู้ว่าเมียพี่...ภรรยาตามกฎหมายคนนั้น เขายินดีหย่าให้พี่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียมานานหลายปีแล้ว ที่ทนอยู่ก็เพราะลูก แต่ตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าเขาก็ไม่อยากแกล้งพี่อีกต่อไป เขาจะหย่าให้ครับ”“ถ้าอย่างนั้น
วันพระใหญ่ สริดากับองุ่นออกไปทำบุญที่วัดตั้งแต่ตอนกลางวัน คนเป็นป้ายังคงรู้สึกผิด แม้หลานสาวบอกให้ลืมมันไปได้แล้วก็ตาม“กรวดน้ำไปเยอะ ๆ เลยนะลูก พวกเจ้ากรรมนายเวรมันจะได้ไม่มารังควานเราอีก”องุ่นบอกหลานสาว สริดาอดยิ้มขันไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ป้าขอน้ำมนตร์จากหลวงพ่อ เพื่อจะมาผสมน้ำอาบ ไล่เสนียดจัญไรออกจากชีวิต“นายคนนั้นมันติดต่อเรามาอีกไหมส้มหวาน”หลังจากไม่ได้เอ่ยชื่อศรัณมานาน องุ่นก็เลียบเคียงถามจนได้ สริดาอยากปิดเรื่องที่เขาแวะมาที่บ้านหลายวันก่อนแต่ก็ตัดสินใจบอกความจริงไป“เวรกรรม ยังกล้ามาอีกหรือนี่ มันมาเซ้าซี้ตอแยอะไรอีกได้ แล้วได้แจ้งตำรวจหรือเปล่าลูก”“เขายังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะป้าหงุ่น ไม่ต้องห่วงนะคะ”สริดารีบบอก“ป้าหงุ่นอย่าเพิ่งบอกน้องนะคะ แค่เลี้ยงทิวลิป มะนาวก็น่าจะวุ่นพออยู่แล้ว”“อืม ป้าไม่บอกหรอก แต่ส้มก็อย่าประมาทนะลูก บอกคนงานให้เฝ้าบ้านกันดี ๆ แล้วถ้ามันกลับมาอีกก็โทรแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกไปเลย”“ค่ะป้าหงุ่น”สริดารับคำเพื่อให้ผู้อาวุโสสบายใจ เอาไว้ถ้าศรัณยังไม่ยอมเลิกราจริง ๆ ตอนนั้นเธอค่อยใช้ไม้แข็งกับเขาอย่างที่ป้าบอกก็แล้วกัน**“เมื่อไรจะหายเห่อลูกสักที ใจคอ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่วิศวินต้องกลับออสเตรเลีย จากสนามบินเชียงใหม่ชายหนุ่มต้องไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เขาไม่ได้ให้ใครมาส่งนอกจากลูกพี่ลูกน้อง“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไร”ธีทัตถาม วิศวินหัวเราะ“ฉันยังอยู่ไม่จุใจนายอีกเหรอ นี่ก็อยู่จนแม่นึกว่าฉันจะกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วนะ”“ก็ถาม ๆ ดู เผื่อว่าหนนี้มีอะไรจูงใจให้นายกลับมา”ธีทัตเอ่ยทีเล่นทีจริง“ตกลงแกกับส้มหวานนี่มันยังไงวะ”“ก็ไม่ไงนี่”วิศวินทำเป็นง่วนกับการตรวจเช็คความเรียบร้อยของกระเป๋าและตั๋วโดยสาร“ส้มหวานก็น่ารักดี คุยด้วยแล้วสบายใจ... น่าเห็นใจเขาที่เจอผู้ชายที่ไม่ดี”“ก็เพราะผู้ชายดี ๆ มันไม่กล้าจีบน่ะสิ ไอ้พวกไม่ดีเลยเอาไปกินเสียหมด”“มันก็ต้องมีคนดี ๆ หลงเหลือบ้างล่ะน่า... คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้ ดูแลเขาได้...”วิศวินเอ่ยเบา ๆ เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเองถ้าเป็นเมื่อก่อนธีทัตอาจจะยุให้ลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสริดาให้รู้แล้วรู้รอดและเขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ด้วยอีกแรง แต่หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาทั้งร้ายและดี ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติโดยตัวเขาเองไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
ระหว่างรอธีทัตซื้ออาหารอีสานมาสมทบ สริดาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่มอีกสองสามเมนูเพราะป้าองุ่นก็จะมาร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน“มะนาวไปนั่งดูทีวีรอพี่ข้างนอกไป จะมานั่งทำไมในครัว”เธอบอกน้องสาว มนิษาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมหยิบข้าวต้มมัดที่นึ่งสุกแล้วใส่จานเดินออกจากครัว ปล่อยให้พี่สาวกับนิดหน่อยช่วยกันล้างผักหั่นผักกันไป นาทีต่อมาวิศวินก็เดินพับแขนเสื้อเข้ามา“พี่วิน จะรับอะไรหรือคะ”“เปล่าครับ พี่จะมาช่วยเป็นลูกมือน่ะ”“ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส้มกับนิดหน่อยทำสองคนก็ไหว พี่วินไปนั่งคุยกับมะนาวเถอะค่ะ”“มะนาวก็ไล่พี่มาช่วยส้มเหมือนกัน” วิศวินอ้างส่งเดช “ให้พี่ช่วยเถอะครับ พี่ทำครัวเป็นนะ”“จริงหรือคะ”เป็นนิดหน่อยที่ถาม ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันพลางเดินไปหยิบมีดทำครัวขึ้นมาหนึ่งเล่ม“ให้พี่หั่นผักให้ดูไหมล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าโม้”สริดาเกรงใจแต่ก็ยอมหลีกทางให้ และฝีมือหั่นผักด้วยความเร็วและเนี้ยบระดับพ่อครัวมืออาชีพก็ทำให้สองสาวอ้าปากค้าง“โอ้โห...อย่างกับที่เขาแข่งทำอาหารในโทรทัศน์แน่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยร้องอย่างตื่นเต้น วิศวินหัวเราะเบา ๆ“ตอนพี่จบไฮสกูล...หมายถึงม.ปลายน่ะ พี่ไปเรียนเป็นเชฟอยู่เกือบสามปีเ
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากศรัณกลับไปกับครอบครัวของเขาในวันนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะเขาเองก็ไม่กล้าโผล่กลับมาให้เห็นหน้าอีก ทำเพียงส่งข้อความมาขอโทษสริดาและบอกว่าจะกลับมาอธิบายทุกอย่างทีหลัง“ส้มหวานเป็นไงบ้างวะไอ้ธี”วิศวินถามธีทัตหลังผ่านงานหมั้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอสริดาเลย ครั้นจะไปหาเธอที่บ้านหรือส่งข้อความไปก็ไม่แน่ใจว่าจะยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า“เห็นมะนาวบอกว่าก็ยังสบายดีนะ อาจมีโกรธบ้างแต่รวม ๆ ก็เหมือนทำใจได้”“แปลก แล้วจะเอายังไงต่อกับผู้ชายคนนั้น ครอบครัวเขา เมียเขา จะมาเอาเรื่องอะไรอีกไหม”วิศวินยังถามต่อด้วยความเป็นห่วง ธีทัตส่ายหน้า“เท่าที่รู้ ทางนั้นไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีก คงไม่อยากยุ่งกับเราเหมือนกัน มีแต่เมียฉันนี่ล่ะที่ร่ำ ๆ จะไปเอาเรื่องนายศรัณให้ได้ นี่ฉันขอไว้ว่าอย่าเพิ่งต่อความยาวสาวความยืด ไม่อย่างนั้นป่านนี้มะนาวตัวดีบุกศาลากลางแล้ว แม่เจ้าประคุณกะจะไปบู๊ทั้ง ๆ ที่ท้องโย้อยู่นั่นแหละ”ธีทัตหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงจะขำไม่ออก นึกแล้วก็โชคดีจริง ๆ ที่น้อง
“ส้มครับ...ไม่ว่าใครจะพูดอะไร พี่อยากให้ส้มเชื่อใจพี่นะครับ”“ส้มไม่เข้าใจค่ะ”“พี่รักส้มนะ รักจริง ๆ แล้วพี่จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”“อธิบายเรื่องอะไรคะ พี่โซ่พูดให้ชัด ๆ ได้ไหม ส้มงงไปหมดแล้ว”แต่ศรัณไม่มีเวลาอธิบายเพราะหฤทัยจูงมือพี่สะใภ้ก้าวอาด ๆ มาหา ชายหนุ่มหน้าซีดเป็นกระดาษ อุรัศยามองสามีที่สวมใส่ชุดไทยประยุกต์หล่อเหลาจัดเต็มแถมยังยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคนแต่งตัวโทนเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าสถานะของสองคนนี้คืออะไร...สริดาผงะไปเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวที่เธอยังไม่รู้จักจู่ ๆ ก็สะอื้นเสียงดัง น้ำตาร่วงพรู มารดาของศรัณโอบกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่ดูอ่อนวัยที่สุด กำลังจ้องเธออย่างรังเกียจ“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”“ที่ถามนี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ...”“ซ่า เดี๋ยวพี่พูดเอง”ศรัณพยายามปรามน้องสาว แต่ถึงตอนนี้แม้แต่ช้างก็ฉุดหฤทัยไม่อยู่แล้ว“จะพูดอะไร จะบอกเมียน้อยพี่หรือไงว่าที่กำลังร้องไห้อยู่นี่คือเมียตัวจริง เมียหลวง!”มีเสียงอุทานและฮือฮารอบข้างดังขึ้นเบา ๆ สีเลือดเผือดหายไปจากใบหน้าของสริดาทันที“ส้ม ฟังพี่ก่อนนะครับ...”เป็นอีกครั้งที่ศรัณยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เพราะมนิษาท
แสงแดดอ่อนยามเช้าทาบทอทั่วลานสนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างประณีต เก้าอี้ไม้สีขาวรูปทรงวินเทจจัดเรียงเป็นระเบียบรองรับแขกเหรื่อได้หลายสิบคน ดอกกุหลาบขาว ลิลลี่ และไฮเดรนเยีย ถูกจัดแต่งสวยงามประดับประดาไว้ทุกมุมของบริเวณจัดงานเล็ก ๆ ที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนหวานแห่งนั้นด้านหน้าเวทียังมีกุหลาบขาว คาเนชั่น และดอกยิปโซ คุมโทนให้เข้ากันกับโซฟาหรูสีงาช้างสำหรับคู่หมั้นและผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ฉากหลังประดับด้วยอักษรภาษาอังกฤษตัวเอสสองตัวซ้อนกันแทนชื่อย่อของสริดากับศรัณศรัณอาสาดูแลเรื่องงานหมั้นในวันนี้ทั้งหมด เขาเลือกซื้อแพ็คเกจจัดงานที่ดูแลเบ็ดเสร็จทั้งสถานที่ อาหาร เครื่องแต่งกาย แต่งหน้าทำผม และยังดูแลไปถึงรูปแบบพิธีกรรมในการหมั้นหมายแบบไทย ๆ ชายหนุ่มนึกดีใจที่สริดากับป้าองุ่นเสนอให้จัดงานเล็ก ๆ ที่มีเฉพาะญาติและคนสนิทกันเท่านั้น ถึงกระนั้นฝ่ายของเขาก็มีเพียงนายอนุสรณ์ผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่มาร่วมงานหมั้นของลูกชายได้อนุสรณ์บอกว่านารีติดโควิดจึงมาด้วยกันในวันนี้ไม่ได้ โชคดีที่ดูเหมือนว่าญาติของฝ่ายหญิงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แต่เขากระซิบบอกลูกชายแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่มาถึงเชียงใหม่‘…แม่แกน่ะ หัวเด
“ฟังแล้วอย่าเพิ่งโกรธหรือพูดอะไรนะ ฟังแม่ให้จบก่อน”หฤทัยเริ่มนึกสนุก รีบนั่งขัดสมาธิใกล้แม่ หยิบหมอนมาหนุนข้อศอก ตั้งท่าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแต่รอยยิ้มสนุกก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อนารีเล่าเรื่องที่ลูกชายมาขอให้ไปสู่ขอผู้หญิงคนหนึ่งที่เชียงใหม่ และยังขอร้องให้ปิดบังเรื่องนี้จากอุรัศยา ผู้ที่เป็นสะใภ้อย่างถูกต้องตามกฎหมายหฤทัยขบกรามกรอด ๆ และอดทนฟังอย่างไม่ปริปากตามที่แม่ขอไว้ จนเมื่อนารีพูดจบหญิงสาวก็แทบจะฉีกหมอนแทนการพุ่งไปห้องนอนพี่ชายแล้วทำร้ายเขาแทน“นี่เขาส่งมันไปทำงาน แต่มันดันไปมีเมียน้อยเนี่ยนะแม่! แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร รู้หรือเปล่าว่าไอ้โซ่มันมีลูกมีเมียแล้ว”เมื่อโกรธจัด การเรียกพี่ชายอย่างให้ความเคารพก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็น“มันบอกว่าทางนั้นก็ยังไม่รู้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า”“ถ้าเขาไม่รู้ก็ยิ่งชั่วหนัก นอกใจเมียแล้วยังไปหลอกผู้หญิง แบบนี้มันผิดวินัยนะแม่ ถ้าผู้หญิงเขารู้เขาเอามันออกจากราชการได้เลยนะ”“มันรู้ทุกอย่างแหละซ่า พี่ชายแกมันรู้หมดอะไรผิดอะไรถูก แต่มันจะทำ แถมยังขอให้แม่ไปขอเมียให้”“แล้วแม่ก็จะไปหรือไง”“จะไปได้ยังไงล่ะ แค่คิดฉันก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว
เป็นไปตามคาด มนิษาโวยวายเสียงดังจนคนฟังหูแทบแตกเมื่อสริดาโทรศัพท์ไปบอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีงานหมั้นของเธอกับศรัณ“มะนาว ใจเย็น ๆ ก่อนสิ”คนเป็นพี่พยายามเอ่ย“ถามจริงเถอะ นี่คิดดีแล้วใช่ไหม หมั้นกับไอ้...กับเขาน่ะ”“ไม่รู้ ไม่ได้คิด”“อ้าว! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะพี่ส้ม เรื่องแบบนี้ไม่คิดได้ยังไง”สริดานิ่งไป... เงียบนานจนคนเป็นน้องเอะใจ“พี่ส้ม ฟังอยู่หรือเปล่า”“อือ...อยู่”“เป็นอะไร ตกลงมันยังไงกันแน่”“...”ไม่มีคำตอบ แต่มนิษาเหมือนได้ยินเสียงคนถอนหายใจหนัก ๆ ความโกรธหายไปทันที หญิงสาวที่กำลังท้องโตกดโทรศัพท์แนบหูแรงขึ้นราวกับยังได้ยินไม่ชัดพอ“พี่ส้มอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนาวไปหา”“ไม่เอา ไม่ต้องมา พี่เป็นห่วง”“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวให้พี่ธีไปส่งก็ได้ พี่ธีอยู่บ้าน...ให้นาวไปหานะ”“เจอกันที่ร้านกาแฟดีกว่า พี่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินน่ะ”นี่ก็แปลกที่สุด...ตลอดชีวิตของมนิษาไม่เคยเห็นพี่สาวทำตัวลับลมคมในแบบนี้ สริดาบอกชื่อร้านกาแฟแถวบ้าน หญิงสาวรับปากก่อนจะรีบวางสาย แต่งตัว และขอให้ธีทัตพาไปส่งที่ร้านอย่างรวดเร็ว**เพราะคิดว่าภรรยาของเขาควรได้พูดคุยกับพี่สาวอย่างเป็นส่วนตัว ธีทัตจึงขอตัวไปเดินเ