LOGINค่ำคืนวันศุกร์ในร้านอาหารที่แน่นขนัดไปด้วยลูกค้าตั้งแต่หัวค่ำ โต๊ะไม้ยาวถูกจับจองโดยกลุ่มนักศึกษาที่สลัดคราบเป็นผีเสื้อราตรีพร้อมโบยบินในค่ำคืน เด็กเสิร์ฟของร้านเดินสวนกันขวักไขว่ยกแก้วเบียร์และโซดาน้ำแข็งวางตามโต๊ะอย่างคึกคัก เสียงชนแก้วประสานกับเสียงพูดคุยหัวเราะแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศก่อนดนตรีสดจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
แสงไฟสีส้มนวลสาดส่องไปที่เวทีเล็ก ๆ ด้านหน้า จิวารีในลุคนักร้องสาวสุดเซอร์ ยืนโดดเด่นท่ามกลางนักดนตรีหนุ่ม เสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นเมื่อดนตรีเพลงรักสุดฮิตบรรเลงขึ้น เธอเอ่ยทักทายแขกในร้านด้วยการหยอดคำหวานขัดกับลุค ก่อนจะปลดปล่อยพลังเสียงในเพลงรักสุดเศร้า ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกในแสงไฟสลัวผ่านไมค์ในมืออย่างมั่นใจ ชวนให้หนุ่มสาวที่อยู่ในภวังค์รักเคลิบเคลิ้มและอินไปกันมัน น้ำเสียงสดใสกังวานที่ฟังดูอบอุ่น แต่เนื้อเพลงเต็มไปด้วยอารมณ์เศร้า ดึงดูดผู้คนในร้านให้หันมามองเธอที่หน้าเวที
“กูคุ้นหน้านักร้องคนนี้ว่ะเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก”
เปปเปอร์ คาสโนวาตัวพ่อสุดหล่อเอ่ยปากกับเพื่อนร่วมโต๊ะ สายตาจ้องมองไปยังหน้าเวที
“กูเจอบ่อยมากที่ชมรมกีฬา เห็นมาซ้อมมวยออกบ่อยกับพวกพี่เคน” หนึ่งในสมาชิกร่วมโต๊ะเอ่ยขึ้น
“คนนี้แหละที่ไอ้เทตามจีบแต่โดยเทสมชื่อ ตอนนี้เป็นเด็กของได้ดินคู่อริมึงไง” เพื่อนอีกคนที่อยู่ในชมรมกีฬาเสริมขึ้น
“เด็กไอ้ดิน?” หันขวับมามองผู้พูดหัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันที
“อือ...กูเคยเห็นเดินควงกันช้อปปิ้งในห้างอย่างสวีท ออกแคมป์ชมรมด้วยกัน ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋”
“งั้นกูคงมีเรื่องสนุกให้เล่นแล้ว” เปปเปอร์ยิ้มมุมปากกระตุกดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์เมื่อแผนร้ายในหัวก่อตัวขึ้น ส่งสายตาคมกริบจ้องมองใบหน้านักร้องสาวบนเวทีไม่วางตา
“มึงจะได้รู้ว่าการถูกหยามเกียร์ติมันเป็นยังไงไอ้ดิน” แก้วเหล้าในมือถูกกระดกเข้าปากด้วยอารมณ์สุนทรีย์
พนักงานในร้านยื่นช่อกุหลาบสีแดงสดใสที่ถูกจัดช่อไว้อย่างสวยหรูผูกทับด้วยโบสีหวานสะดุดตา ส่งให้จิวารีหลังลงจากเวทีแล้วในตอนดึก
“มีคนฝากให้พี่จิ๋วค่ะ”
หญิงสาวรับมาถือไว้ หยิบการ์ดที่ติดมากับช่อดอกไม้ขึ้นมาอ่าน
“โลกทั้งใบสดใสเมื่อมองเธอ” คือข้อความที่อยู่ในการ์ดพร้อมระบุชื่อผู้ให้และเบอร์ติดต่อ
“ของใครเหรอคะ?” ถามพนักงาน
เด็กสาวผายมือไปที่ชายหนุ่มเจ้าของช่อกุหลาบ ที่ส่งสายตาทางไกลมาให้เธอพร้อมรอยยิ้ม เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทายหญิงสาว จิวารีค้อมศีรษะตอบเป็นการขอบคุณ และเดินกลับเข้าหลังร้านไปในมุมพักผ่อนนักดนตรี
“เสน่ห์แรงนะแม่เสือสาว” เสียงแซวจากพี่ในวง
“ชอบของแปลกละมั้ง” จิวากรแกล้งแหย่ผู้เป็นน้องเล่น พร้อมกับเสียงหัวเราะของพี่ ๆ ยกเว้นนักร้องนำชายที่ออกอาการหงุดหงิดแต่ข่มไว้
“พี่แจ็ควันนี้ไม่นั่งต่อนะจิ๋วง่วงอยากกลับแล้ว”
“เออ ไปเยี่ยวก่อนแป็บนึงเดี๋ยวไปเอารถ ไปรอหน้าร้านเลย”
เปปเปอร์นั่งมองหญิงสาวที่ยืนคุยกับพี่ ๆ ที่หน้าร้านในขณะที่รอจิวากร ยกยิ้มมุมปากพร้อมการคาดเดาว่าวันไหนที่เธอจะติดต่อเขามาตามเบอร์ที่ให้ไว้ หรืออาจจะเป็นคืนนี้หรือเปล่า
“พี่จิ๋วครับ”
เสียงเรียกจากพนักงานที่เดินออกมารอเพื่อนด้านหน้าหลังเลิกงาน หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก
“ผมขอซื้อดอกไม้ต่อจากพี่ได้ไหมครับ?”
“....”
“วันนี้ครบรอบวันคบกันของผมกับแฟน แต่ผมไม่มีอะไรให้เธอเลย ดึกขนาดนี้ร้านคงปิดหมดแล้ว” ตาละห้อยมองช่อดอกไม้ในมือเธอ ตีหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสาร
“เอาไปสิไม่ต้องซื้อหรอก” ยื่นช่อกุหลาบในมือให้
“จริงเหรอครับ?” เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“อื้อ...พี่ให้เอาไปสิ”
“ขอบคุณครับพี่” ยิ้มกว้างรับช่อดอกไม้มาด้วยความดีใจและดึงการ์ดข้อความทิ้ง
จิวากรขับรถเครื่องมาจอดด้านหน้า
“ขอบคุณครับพี่” น้องพนักงานคำนับซ้ำ ๆ ด้วยความดีใจ
จิวารีสวมหมวกกันน็อกพร้อมกับโบกมือลาสมาชิกในวง ขึ้นนั่งซ้อนท้ายพี่ชายแล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป
“เชี่ย ช่อดอกไม้กู”
เปปเปอร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ นี่หล่อนไม่แม้แต่จะสนใจสักนิดเลยเหรอ ออกจากร้านก็ให้คนอื่นอย่างไม่ไยดี หยิ่งเอาเรื่อง
แก้วชานมไข่มุก มัจฉะนมสด ช็อกโกแลตลาวา และสารพัดกาแฟ สลับกับช่อดอกไม้พร้อมการ์ดข้อความ ที่ถูกส่งมาให้จิวารีทุกวันที่โต๊ะม้าหินอ่อนโดยคนของเปปเปอร์สลับสับเปลี่ยนกันมา โดยเน้นให้ส่งตอนที่อิทธิพลอยู่ด้วยในกลุ่ม และเป็นอยู่แบบนี้ตลอดสัปดาห์ สลับกับใบหม่อนที่มาหาอิทธิพลแบบเช้าถึงบ่ายถึง พร้อมขนมและกาแฟที่ติดมือมาด้วยทุกครั้ง แต่คนที่อิ่มคือตะวันและธีธัช และทุกครั้งจิวารีก็จะอยู่ด้วยเสมอ
“แกกับดินมีอะไรกันหรือเปล่าทำไมช่วงนี้ดูตึง ๆ ใส่กันจัง?” เอวาถามขณะที่นั่งกินข้าวในโรงอาหาร มือที่ถือช้อนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง
“เปล่านี่?” ตักอาหารใส่ปากเคี้ยวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
“แต่ฉันว่ามี” เอวาจ้องหน้าและจับผิด
“มีอะไร?” จิวารีจ้องหน้ากลับ
“ก็พวกแกไม่ค่อยคุยกันเหมือนปกติ ทะเลาะกันหรือเปล่า?”
“เปล่าทะเลาะ” นึกถึงใบหน้าบุคคลที่กำลังพูดถึง
“ดินมันกำลังมีความรักละมั้งก็เลยแปลกไป เด็กมาหาแทบทุกวันมันจะเอาเวลาไหนมาสนใจเรื่องอื่น คนมันกำลังอินเลิฟนี่” และกินข้าวต่อเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่กลิ่นความนอยด์เริ่มออกแล้ว
“แหม...ทำอย่างกับแกไม่มีใครตามจีบเลยนะ มีของฝากถึงที่ทุกวันจากพ่อคาสโนวารูปหล่อพ่อรวยนั่นน่ะ”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักหน่อย”
“ดินก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรกับน้องคนนั้นเหมือนกันป่ะ” เอวาแก้ตัวแทนเพื่อนชาย
“ขนาดไม่คิดอะไรยังจะสิงกันอยู่แล้วถ้าคิดจะขนาดไหน” แดกดันคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
“แล้วแกจะออกรับแทนมันทำไม?” คิ้วขมวดเข้าหากันพาลวีนเอวาไปซะอย่างนั้น
“แกเป็นคู่หมั้นแทนที่จะโกรธ กลับแก้ตัวแทนมัน แปลกพิลึก” ความหงุดหงิดเล็ก ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจแต่ไม่ใช่เพราะเอวา ชายหนุ่มคนที่กำลังพูดถึงต่างหากที่ทำให้อารมณ์ความขุ่นมัว
“จะโกรธทำไมก็แค่หมั้นปลอม ๆ นี่นา ฉันไม่ได้ชอบดินแบบชู้สาวสักหน่อย เดี๋ยวก็ถอนหมั้นแล้ว...หรือว่า...” จ้องหน้าเพื่อนสาว
“อะไร?” จิวารีขมวดคิ้วถาม
“แกชอบดิน” ขยี้เพื่อนด้วยสายตาและจับผิด
จิวารีวางช้อนลงจานข้าวทันทีออกอาการขึงขัง
“แกบ้าหรือเปล่าเอวา ดินเป็นคู่หมั้นของแก ฉันจะชอบได้ยังไง”
ลุกจากโต๊ะยกจานข้าวเดินไปเก็บ เอวายกคิ้วสูงแอบเบะปากอมยิ้มกับท่าทีของเพื่อน รีบเก็บจานข้าววิ่งตามเตาะ ๆ
“ไม่ได้หมั้นจริง ๆ สักหน่อย” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อนรักที่ทำเป็นหูทวนลม
“แหม...ดูไม่ออกเลยนะสาว” เอวาพึมพำคนเดียวเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี
“จิ๋ว...จิ๋ว...รอด้วย” ก้าวขาวิ่งตามเพื่อนสาวไป
เปปเปอร์นั่งดักรอหญิงสาวที่หน้าชมรม หลังจากฝากเบอร์ติดต่อไปใหม่แล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะโทรหา
“สวัสดีครับ” ทันทีที่เธอเดินเข้าชมรมชายหนุ่มก็เดินมาดักหน้าทันที จิวารีมองหน้าหล่อ ๆ ของชายหนุ่มที่ขวางทางเธออยู่ เจ้าของดอกกุหลาบและของฝากที่ส่งให้เธอทุกวันนั่นเอง
“สวัสดีค่ะ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ?”
สองหนุ่มสาวนั่งคุยที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ข้างชมรม จากท่าทีที่ไม่รุ่มร่ามออกจะสุภาพด้วยซ้ำ ไม่เหมือนข่าวลือที่คนพูดถึงเขาจนหนาหูสักหน่อย
“คงไม่ว่านะครับที่ผมถือวิสาสะมารอคุณที่นี่ ผมโทรไปคุณก็ไม่รับสาย”
หลังจากสืบเสาะหาเบอร์มาได้แต่ไม่มีประโยชน์ ชายหนุ่มยื่นนามบัตรของบริษัทเครื่องสำอางวางตรงหน้าเธอ
“พี่สาวผมเขากำลังรับสมัครคนรีวิวสินค้า ผมเห็นคุณแล้วสะดุดตามาก อยากให้ลองเปิดใจพิจารณาดูก่อนครับ”
จากที่รู้ข้อมูลว่าเธอหางานพาร์ทไทม์ทุกอย่างทำหลังเลิกเรียน หลังจากลุงมิ่งเกิดอุบัติเหตุจนขาหักและไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน พ่อโจก็ตัดสินใจติดประกาศเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยวและจะกลับไปสานต่อชีวิตเกษตรกรที่บ้านเกิดพร้อมกับดูแลพี่ชาย เงินที่ได้จากการเซ้งร้านแค่หยิบมือคงไม่พอที่จะเก็บไว้เป็นทุนสำรองในการศึกษา ถึงแม้จะใกล้จบแล้วก็เถอะ
จิวารีหยิบนามบัตรขึ้นมาอ่าน ที่แท้ที่เขาตามจีบก็เพื่อให้เธอไปรีวิวสินค้าของพี่สาวเขาหรอกเหรอ ทำให้หญิงสาวสะดวกใจที่จะคุยกับเขามากขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ชอบเธอเชิงชู้สาว
“ต้องทำยังไงบ้างคะ?”
ถามด้วยความสนใจ เปปเปอร์ขยับเข้าไปใกล้ให้ข้อมูลตามที่เธอถาม สองหนุ่มสาวพูดคุยด้วยรอยยิ้มอย่างใกล้ชิด พร้อมกับช่างภาพจำเป็นที่แอบถ่ายภาพของเขาและเธอไว้ในมุมที่ต้องการได้เรียบร้อยตามคำสั่งของเปปเปอร์
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







