Mag-log in“วันนี้เราไปกินหมูกระทะกันไหมครับ? ไม่ได้กินด้วยกันนานแล้วอ่ะ” ตะวันเอ่ยปากชวนเพื่อนหลังเลิกเรียน
“อยากกินอยู่พอดีเลยค่ะ” ใบหม่อนเอ่อสมทบขึ้น
จิวารีหันขวับมองผู้พูดทันที นี่หล่อนคิดไม่ได้จริง ๆ เหรอว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ทั้งที่บรรยากาศมันก็กระอักกระอ่วนทุกครั้งที่หล่อนเข้ามาในวงสนทนาโดยไม่ได้รับเชิญ ถึงแม้หล่อนจะเป็นเด็กของอิทธิพลก็เถอะ จำเป็นต้องมานั่งหยอดคำหวานโชว์เพื่อนเพื่ออะไร ใครเขาอยากจะฟังอยากจะเห็นกัน ไอ้ดินก็เหลือเกินอยากพลอดรักทำไมไม่ไปในที่ส่วนตัว หรือไม่ที่คอนโดก็คงยังไม่เต็มอิ่มกระมัง
แต่สำหรับอิทธิพลแล้วเขาแค่อยากอยู่ดูให้เห็นกับตา ว่าเพื่อนสาวคนสนิทเที่ยวหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายคนไหนตามมาจีบบ้างในแต่ละวันเท่านั้นเอง เพราะอยู่ดี ๆ ก็เฉยชาใส่เขาจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้
“แต่วันนี้จิ๋วไม่ว่างเอาไว้วันหลังแล้วกัน” เอวาตอบตะวัน
อิทธิพลช้อนสายตาขึ้นมองหน้าคนไม่ว่างพร้อมกับคำถามในใจแต่ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก แต่ก่อนว่างไม่ว่างก็ต้องว่างถ้าต้องไปกับกลุ่มเพื่อนสนิท หรืออาจจะกำลังปรับความเข้าใจกับเทวฤทธิ์จนไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่นตามที่เพื่อน ๆ ในชมรมแซวชายหนุ่มให้เขาได้ยินอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งไอ้เปปเปอร์หน้าหมานั่นที่ตามจีบอยู่ จนต้องคอยสับรางจนหัวหมุนกระมัง เจอกันก็บึ้งตึงใส่เขาตลอด เฉยชาไม่พูดไม่จา อย่าบอกนะว่าวันนี้ที่ไม่ว่างคือมีนัดกับมัน
“จิ๋วจะไปไหนเหรอครับ?” คำถามจากตะวัน
“มีธุระน่ะ”
พูดจบคนที่อิทธิพลตั้งคำถามอยู่ในใจก็เดินตรงมาทันที สองสายตาของสองหนุ่มปะทะกันมาแต่ไกล อิทธิพลหรี่ตามองคู่อริเก่าไม่วางตา ส่วนอีกคนยกยิ้มมุมปากอย่างยั่วยวน จิวารีเก็บสัมภาระลงกระเป๋าทันที
“จะไปกับมันเหรอ?” อิทธิพลถามเสียงต่ำใบหน้าเรียบเฉย
“อือ” ตอบสั้น ๆ และลุกจากม้านั่ง
เอวามองหน้าเพื่อนสาวและเพื่อนชายสลับกัน ความตึงของใบหน้าทั้งสองนั้นโบท็อกเรียกพี่ได้เลย ก่อนจะเอ่ยขึ้นขยายความลอย ๆ ให้อิทธิพลเข้าใจ
“ขอให้ได้งานนะจิ๋ว”
พยักหน้าและหันมายิ้มให้เอวา ก่อนจะเดินตรงไปหาเปปเปอร์ที่ยืนรออยู่
“งานอะไรเอวา?” อิทธิพลขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“เห็นบอกว่าไปดูงานที่บริษัทพี่สาวของเปปเปอร์น่ะ” สิ้นสุดคำตอบจากเอวาอิทธิพลก็เดินตามเพื่อนสาวไปทันทีโดยไม่สนใจหญิงสาวอีกคนที่นั่งเฝ้าเขาอยู่ข้าง ๆ และรักษาสถานะความตึงของใบหน้าไว้อย่างดีเยี่ยม โดยมีใบหม่อนรีบวิ่งตามหลังไปติด ๆ
“สองคนนี่มันเป็นอะไร ทำอย่างกับผัวเมียทะเลาะกันอย่างงั้นแหละ”
ธีธัชบ่นพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมต่อ
ขายาวที่สาวเท้าเดินตามเพื่อนหญิงไม่กี่ก้าวก็ทันเธอแล้ว มือหนาคว้าข้อมือเธอไว้ จิวารีหันมองเจ้าของมือ
“อะไร...” ลากเสียงยาวหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน มองหน้าเขาและมองเลยมาถึงใบหม่อนที่หยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เหมือนคู่แฝด
“จะไปไหน?” ถามด้วยน้ำเสียงตึง ๆ และตวัดสายตามองคู่อริที่ยืนรออยู่ด้วยใบหน้าที่อ้อนตีนจนน่าหมั่นไส้
“ไปธุระ” หญิงสาวตอบสั้น ๆ
“ธุระอะไร?” จิวารีไม่ตอบแต่ถอนหายใจเบือนหน้าหนี เมื่อใบหม่อนคล้องแขนเข้าที่แขนของอิทธิพล ชายหนุ่มแกะออกทันที
“ใบหม่อนกลับไปก่อนพี่มีธุระส่วนตัวจะคุยกับจิ๋ว” หันไปสั่งคนข้าง ๆ
“แต่ว่า...”
อิทธิพลหันมามองหน้าหญิงสาวเจ้าปัญหาที่เพิ่มความหงุดหงิดให้เขาอยู่หลายครั้งหลายครา
“และต่อไปก็ไม่ต้องมาเฝ้าพี่ทุกวัน”
“ทำไมละคะ หม่อนแค่...”
“พี่ไม่ได้ชอบใบหม่อน และก็ไม่คิดจะชอบ”
จิวารีอึ้งในสิ่งที่ได้ยินไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดออกมาแบบนั้น ใบหม่อนก็เช่นกันถึงกับพะอืดพะอมในสิ่งที่ได้ยิน ขบฟันหน้าแน่นจนปากสั่น ถึงแม้จะหน้าด้านไม่น้อยแต่ก็ทำให้เธออายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี หายใจแรงจนตัวโยน ทั้งโกรธทั้งอายแต่ก็พยายามควบคุมตัวเองไว้ให้เป็นปกติ และทำได้แค่เดินจากไปเท่านั้น
“ว่าไง?” อิทธิพลหันมามองคู่สนทนาตรงหน้า
“เรื่องงาน เดี๋ยวกลับมาจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วต้องรีบไป” จิวารีเสียงอ่อนลง ยกข้อมือขึ้นดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกา
“งานอะไรทำไมต้องไปกับมัน เราพาไปก็ได้ รู้จักมันดีแค่ไหน ถึงต้องไปกับมันสองต่อสอง” ป้อนคำถามเป็นฉาก ๆ หัวคิ้วยังไม่คลายออกจากกัน
“ฉันยังเคยไปกับนายสองแต่สองเลยไม่ใช่เหรอ?” หญิงสาวพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนจะเลือกใช้คำผิดเพราะทันทีที่พูดจบกลับทำให้คนฟังหัวร้อนขึ้นมากกว่าเดิม
“มันเหมือนกันเหรอจิ๋ว?”
“การจะไปไหนสองต่อสองกับใครนี่มันง่ายขนาดนั้น?”
“ไว้ใจทุกคนได้เท่ากันเหรอ และไว้ใจมันขนาดนั้นเลย?”
จ้องหน้าจริงจังเอาเป็นเอาตาย คิ้วผูกปมแน่นขึ้นอีก
“ก็ไม่ได้ไปที่ลับตาคนสักหน่อย อยู่ในห้างคนเยอะแยะ”
“อย่างี่เง่าได้ไหมดิน มีเหตุผลหน่อยสิ”
“....”
สองสายตาสบกันต่างฝ่ายต่างหาคำตอบให้ตัวเอง
“การเป็นห่วงนี่คืองี่เง่าเหรอ?” ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากเธอ จิวารีไม่ตอบแต่ถอนหายใจทิ้ง
“ไปกันหรือยังครับ เดี๋ยวสาย”
เปปเปอร์ยืนอยู่ไม่ห่างมากพูดขัดจังหวะขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาและเธอพูดกันชัดเจนนัก แต่ด้วยท่าทีไม่พอใจของอิทธิพลที่แสดงออกมาทางสีหน้า ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อิทธิพลจ้องผู้พูดเขม็ง คว้าเข้าที่ข้อมือจิวารีและลากเธอเดินหนีต่อหน้าคู่อริทันที
“ดิน” เธอรั้งแขนไว้ และหยุดอยู่กับที่แกะมือของเขาออก
“นายกลับไปก่อน เสร็จแล้วฉันจะโทรหา” จิวารีพูดอย่างเหนื่อยใจ
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม?” เปปเปอร์ถามเสียงเรียบแต่ดวงตาฉายแววสะใจ เดินมาหยุดอยู่ข้างจิวารีมองหน้าอิทธิพลอย่างผู้ชนะ นี่แหละคือสิ่งที่เขาอยากเห็น การถูกหยามศักดิ์ศรีซึ่ง ๆ หน้า ผู้หญิงของมึงแต่เลือกที่จะไปกับกู สเต็ปต่อไปคือคว้าขึ้นเตียงแล้วจะถ่ายคลิปเสียงครางหวานชัด ๆ ส่งมาให้มึงดูเล่น แค่คิดก็สนุกจนเนื้อเต้นพร้อมกับยิ้มเยาะอย่างมีชัย คว้าข้อมือของจิวารีเดินจากไปต่อหน้า ก่อนหญิงสาวจะดึงมือออกจากการเกาะกุม
อิทธิพลขบกรามแน่นระงับอารมณ์เดือดภายในกายไม่ให้ปะทุ กดเบอร์หาเอวาถามพิกัดร้านและบึ่งรถออกไปทันที สุดท้ายก็อดห่วงไม่ได้ เธอจะรู้อะไร ไอ้นี่มันร้ายเกินขีดแดงผู้ชายด้วยกันรู้ดี ผู้หญิงในแค็ตตาล็อกของมันยาวเป็นหางว่าว งานอดิเรกของมันคือการล่าผู้หญิงแล้วเก็บแต้ม และเธอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงจะรอดเงื้อมมือของมันไปได้
“ที่นี่เหรอคะ?”
จิวารีเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อหน้าร้านระหว่างที่เปปเปอร์พาเดินเข้าไปด้านใน ห้องกระจกใสภายในห้างสรรพสินค้า ด้านในร้านเต็มไปด้วยเครื่องสำอางที่จัดเรียงอยู่บนชั้นมากมายหลายเซ็ท ภายใต้แบรนด์ของเจ้าของร้านที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นวัยเรียน ตามที่เธอหาดูข้อมูลมาบ้างแล้วในโชเชียลมีเดีย ด้านในเป็นห้องรับรองขนาดกลางมีเจ้าหน้าที่สองสามรายประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหลัง
“ครับ...ที่นี่เป็นสาขาย่อยและก็เป็นศูนย์กลางงานบริการลูกค้าและงานประชาสัมพันธ์ งานรับสมัครตัวแทนและงานรีวิว” ตอบหญิงสาวขณะพามานั่งในมุมรับรอง
“สวัสดีค่ะคุณเปอร์”
พนักงานในร้านยกมือไหว้ชายหนุ่มและหันมาไหว้จิวารีอย่างสุภาพ
“คุณเป้ออกไปทานข้าวค่ะ บอกให้คุณเปอร์รอด้านในค่ะ”
เปปเปอร์พยักหน้ารับรู้
“นั่งรอแป็บนึงนะครับ”
“ค่ะ”
“จริง ๆ มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ แต่ผมอยากให้จิ๋วคุยกับพี่เป้โดยตรงมากกว่า” พูดให้ดูดีเหมือนหญิงสาวเป็นคนสำคัญ
“จิ๋วรับเครื่องดื่มอะไรดีครับมีร้านกาแฟอยู่ใกล้ ๆ เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
“อะไรก็ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เปปเปอร์หายไปสักพัก จิวารีกวาดตามองทั่วบริเวณ ก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอก กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟสดโชยมาแต่ไกลในห้องแอร์ขนาดใหญ่ของห้างสรรพสินค้าเชิญชวนให้ลิ้มรส คงร้านนี้กระมังที่เปปเปอร์บอก เดินเข้าไปด้านในทันทีกวาดตามองหาร่างชายหนุ่ม
“คาปูชิโน่แก้วนึงค่ะ”
สั่งออเดอร์และนั่งรอ เมื่อได้รับกาแฟจากหน้าเคาน์เตอร์แล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ รอเปปเปอร์ รอที่นี่คงดีกว่านั่งรออยู่ในร้าน เสียงสนทนาบนโต๊ะถัดไปทำให้เธอหันไปมอง หญิงสาวหน้าตาสะสวยผิวพรรณสดใสนั่งหันหน้ามาทางเธอ ส่วนผู้ชายที่นั่งติดเสาและหันหลังอยู่คือเปปเปอร์นั่นเอง
“โธ่...เจ้ปูเป้คนสวยครับ...นะครับ คิดเสียว่าช่วยน้องชายสุดหล่อของพี่นะ” เปปเปอร์แกล้งทำตาละห้อยอ้อนพี่สาว
“เด็กแกเหรอ?” ปูเป้ถามอย่างเซ็ง ๆ
“ตอนนี้ยัง แต่อีกไม่นานก็เป็น”
ปูเป้ถอนหายใจมองหน้าน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้าน ที่นำเรื่องปวดหัวมาให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน
“เครื่องสำอางแบรนด์ระดับแนวหน้าของฉัน ไม่ใช่ว่าแกจะหิ้วเด็กลูกตาสีตาสาหลานยายมาที่ไหนก็ได้มารีวิวนะ ฉันไม่ได้รับคนรีวิวสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะจะบอกให้ และฉันก็เบื่อกับพวกผู้หญิงของแกแต่ละคนมาก ทำงานฉันวุ่นวายไปหมดไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
“ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย พี่อยากได้อะไรบอกมา ผมยอมทุกอย่าง แค่จ้างเธอรีวิวครั้งเดียวก็พอ...นะ”
“ไม่” ผู้เป็นพี่ตอบอย่างหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ
“ผมพนันกับเพื่อนไว้แล้วครั้งนี้แพ้ไม่ได้จริง ๆ นะครับ” เอื้อมมือไปคว้ามือพี่สาวมากุมไว้
“พนันอะไรของแก?”
“พี่จำได้ไหมครั้งก่อนที่ผมเคยมีเรื่องกับไอ้ดินไง คนนี้แหละเป็นเด็กมัน นี่เป็นโอกาสที่ผมจะเอาคืน”
จิวารีแค่นหัวเราะในลำคอ พ่นลมหายใจออกทางจมูก แสยะยิ้มสมเพชในความคิดของผู้ชายตรงหน้า แต่ทนฟังต่อหน่อยดีกว่า ดูซิมันจะทำหน้ายังไงที่เห็นเธอนั่งฟังอยู่ตรงนี้
“แกเลิกเอาเรื่องส่วนตัวแกมายุ่งกับงานฉันได้แล้ว” คว้าแก้วกาแฟกะจะลุกจากโต๊ะ
“งั้นผมจะบอกหม่าม๊าว่าเจ้พาผู้ชายมาค้างด้วยที่คอนโด”
“ไอ้เปอร์” ขึ้นเสียงอย่างลืมตัว
“เอาไง” เปปเปอร์ทำหน้ายียวนอย่างคนถือแต้มเหนือกว่า ปูเป้ถอนหายใจมองซ้ายมองขวา ออกอาการหงุดหงิด
“ไปคุยกันในออฟฟิศ”
สองพี่น้องลุกจากโต๊ะ พลันเปปเปอร์ก็หน้าเจื่อนเมื่อจิวารีลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้า
“จิ๋ว”
จิวารีมองหน้าเปปเปอร์ด้วยสายตาขยะแขยง ยิ้มมุมปากกระตุก ก่อนจะเบือนหน้าหนีและเดินออกจากร้านกาแฟไปทันที
“จิ๋ว ฟังผมอธิบายก่อนครับ” เหมือนไม่ได้ยินเสียงที่พ่นออกมาจากปากเน่า ๆ ของชายรูปหล่อ จิวารีเดินเชิดหน้ามองตรง ในใจอยากจะชกปลายจมูกโด่งของมันให้เลือดกำเดาไหลซิบคงสะใจไม่น้อย เปปเปอร์สาวเท้ามาดักหน้าเธอไว้ สองหนุ่มสาวยืนประจันหน้ากันที่หน้าร้านเครื่องสำอาง ปูเป้เดินตามออกมาและยืนมองอยู่อย่างงง ๆ
“หลีกไป” จิวารีเสียงต่ำสั่งเปปเปอร์ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ฟังผมอธิบายก่อน”
“เวลาฉันมีค่าไม่ว่างมานั่งอยู่ในเกมแก้แค้นปัญญาอ่อนอะไรของนายหรอกนะ และหวังว่าต่อไปเราคงไม่ได้เจอกันอีก”
เดินเบี่ยงตัวหลบคนขวาง เปปเปอร์คว้าข้อมือเธอไว้
“ปล่อย” จิวารีสะบัดออกทันทีแต่ไม่หลุด พร้อมกับมือหนาของอิทธิพลที่กระชากไหล่ของเปปเปอร์ออกและดึงจิวารีออกจากการเกาะกุม
“ดิน”
“ไอ้ดิน”
เอ่ยขึ้นพร้อมกัน อิทธิพลเดินเข้าไปใกล้เปปเปอร์ สองสายตาปะทะกันในระยะใกล้ กลิ่นอายความแค้นอบอวลอยู่โดยรอบ
“อย่ายุ่งกับคนของกู แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
และหันหลังกลับคว้ามือบางของคนหัวดื้อลากเดินไปด้วยกันโดยปราศจากคำพูดใด ๆ จิวารีมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่สาวเท้าก้าวยาว ๆ โดยไม่พูดไม่จาจนเธอต้องเดินแกมวิ่งตามแรงลากไปจนถึงลานจอดรถ อิทธิพลเปิดประตูรถและดันร่างเธอเข้าไปด้านในส่วนตัวเองเดินอ้อมไปประจำที่คนขับ
รถเคลื่อนตัวออกจากห้างสรรพสินค้าด้วยความเงียบงันของห้องโดยสาร จิวารีคอยลอบหันมามองคนขับหน้าตึงอยู่เป็นระยะ
“โกรธเหรอ?” ถามคนขับ
“....” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ
“ไม่รู้นี่นาว่าเขากับนายเป็นศัตรูกันมาก่อน ถ้ารู้คงไม่ไปหรอก” เสียงอ่อย
“....”
“ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกนายก่อน ต่อไปมีอะไรฉันจะบอกนายเป็นคนแรกเลย”
“ดีไหม?”
หันข้างไปมองคนขับและจ้องหน้าเขาพร้อมกับรอยยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น อิทธิพลหันหน้ามามองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองค้อนและเมินออกไปนอกรถ
โอ้โฮ นี่ผู้ชายเขามองค้อนแบบนี้เป็นด้วยเหรอไม่อยากจะเชื่อ พร้อมหลุดขำกับท่าทีของชายหนุ่ม
“ขำอะไร?” ถามเสียงเข้ม
“เปล่าจ้าพี่” จิวารีแกล้งทำหน้าสลดแหย่คนหน้าบึ้ง
“หนูไม่กล้าหรอกค่ะ” อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี อิทธิพลปรายตาหันไปมองคนข้าง ๆ ก่อนจะถอนลมหายใจออกมาแผ่วเบาเมื่ออารมณ์เดือดพล่านเมื่อครู่เริ่มสงบลง
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







