LOGINบรรยากาศในห้องโถงของคฤหาสน์หรูที่เต็มไปด้วยความกดดันและแสนจะอึดอัด แสงสว่างพร่างพรายจากแชนเดอร์เรียสุดหรูบนเพดาน ไม่อาจขับไล่ความตึงเครียดในห้องออกไปได้เลย
ทรงกลดและดวงยี่หวานั่งเงียบอยู่บนโซฟานุ่ม ฝั่งตรงข้ามคือชายสูงวัยผู้มากด้วยประสบการณ์ชีวิต แต่เลือกที่จะแพ้จริตและมารยาหญิงอย่างขวัญชนกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากคนรอบข้าง สีหน้าเข้มขรึมจริงจัง สายตาที่เริ่มเลือนรางตามวัยที่ร่วงโรยแต่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดและดื้อดึง แฝงไว้ด้วยอำนาจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม กำลังจ้องมองผู้เป็นลูกชายและลูกสะใภ้ไม่วางตา
“ทำไมไอ้ดินไม่มาด้วยไม่ได้บอกเหรอว่าฉันมีธุระสำคัญจะพูดในวันนี้”
ทรงศักดิ์ เอ่ยถามเสียงเรียบความไม่พอใจฉายออกมาให้เห็นผ่านทางสีหน้า
“ดินไปเข้าค่ายต่างจังหวัดกับทางมหาวิทยาลัยค่ะคุณพ่อ” ดวงยี่หวาอธิบายสั้น ๆ ชายชราถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำแก้ตัวแทนลูกครั้งแล้วครั้งเล่าของสามีภรรยาคู่นี้
“ในเมื่อไม่อยากมาก็ไม่เป็นไร แกสองคนก็ไปจัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน ฉันให้เวลาอีกหนึ่งเดือนเท่านั้น จะต้องรีบเคลียร์ทุกอย่างให้จบและจัดพิธีหมั้นหมายของเจ้าดินกับหนูขวัญให้เรียบร้อย ฉันหาผู้หญิงที่เหมาะสมให้แล้วมันจะมัวไปเสียเวลากับผู้หญิงข้างถนนไปวัน ๆ ทำไม”
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าใส่สีตีไข่ว่าหลานชายหัวดื้อเพียงคนเดียวของตระกูล พาหญิงสาวเข้าบ้านโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของว่าที่คู่หมั้นอย่างขวัญข้าวเลยสักนิด
“แต่ดินยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยนะคะคุณพ่อ”
“ก็แค่หมั้นไว้ก่อน จบแล้วได้ทำการทำงานแล้วค่อยแต่ง ถ้าพวกแกยังจัดการไอ้เด็กหัวดื้อไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าได้มรดกจากฉันเลยแม้แต่แดงเดียว”
ทรงกลดและดวงยี่หวานิ่งเงียบ ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้แย้งกับคนบ้าอำนาจที่ไม่ยอมฟังคำอธิบายใด ๆ ก่อนหน้านี้ที่ทรงกลดเคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแทนลูกจนมีปากเสียงกับผู้เป็นพ่อ ผลคือเขาถูกลดอำนาจการบริหารทางการเงินและให้ขวัญชนกเข้ามาเสียบแทน ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ แต่จะทำอย่างไรนั้นคงต้องเก็บไปคิดอย่างรอบคอบ
“ฉันมีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละจะพักผ่อนแล้ว” พูดตัดจบก่อนจะเรียกหาพยาบาลส่วนตัวให้พาไปพักผ่อน
ขวัญชนกยืนมองลงมาจากชั้นบน ยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
รถเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หรูแล้ว และเก็บบรรยากาศความตึงเครียดในห้องโถงกลับมาด้วย ทรงกลดและดวงยี่หวานั่งเงียบมาครึ่งค่อนทาง
“เรื่องนักสืบที่คุณจัดการไปถึงไหนแล้วคะ?” ดวงยี่หวาเอ่ยถามทำลายความเงียบในรถ
“เขาขอเวลาอีกอาทิตย์นึงก็น่าจะได้ข้อสรุปแล้ว”
“เร่งหน่อยก็แล้วกันค่ะ ก่อนที่พ่อของคุณจะยกทุกอย่างที่สร้างมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของคุณให้สองแม่ลูกนั่นหมด ฉันไม่ยอมให้ลูกฉันตกนรกไปกับยัยเด็กกาฝากนั่นแน่”
ตวัดสายตามองคนขับอย่างไม่พอใจเหมือนกับว่าปัญหาทุกอย่างเขาเป็นคนก่อขึ้นเสียอย่างนั้น
“ถ้าคุณหย่ากับฉันแล้วไปอยู่กับมันตั้งแต่วันนั้น เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก”
พูดพร้อมกับหันหน้าออกนอกรถข่มอารมณ์ไว้ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง
“ผมก็บอกคุณไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าผมกับเค้าไม่มีอะไรกันคุณก็ไม่เชื่อ” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
.
จิวารีอยู่ในชุดกีฬาที่พร้อมสำหรับการวิ่งหลังคาบเรียนสุดท้ายสิ้นสุด เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอของการวิ่ง หยาดเหงื่อเป็นเม็ด ๆ เกาะตามกรอบหน้าจนเปียกชุ่มตลอดจนลำคอระหง ผมยาวที่มัดสูงเป็นหางม้ากวัดแกว่งตามจังหวะการสับเท้า ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปตามทางแต่ทว่ากำลังเหม่อลอย เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนสาวเอวาที่ทำให้อารมณ์อ่อนไหวในใจมันก่อตัวขึ้นมาแบบแปลก ๆ
“หมั้นเหรอ?”
“อือ” เอวาตอบด้วยสีหน้าซังกะตายปนด้วยความสับสน
“คุณแม่กับน้ายี่หวาบอกว่าจะให้ฉันกับดินหมั้นกันไว้ก่อนแค่พอเป็นพิธี ยังไงเสียคุณปู่ของดินกับคุณตาของฉันก็มีเครือข่ายธุรกิจกันอยู่ คุณปู่ของดินก็คงไม่กล้าให้ถอนหมั้นกับฉันเพื่อไปหมั้นกับยัยนั่นหรอก อย่างน้อยก็ต้องเกรงใจคุณตาอยู่บ้าง พออะไรลงตัวแล้วค่อยถอนหมั้นอีกที”
“ทำไมผู้ใหญ่ต้องดึงเด็ก ๆ เข้าไปเกี่ยวข้องเพื่อแก้แค้นเรื่องส่วนตัวด้วยนะ” บ่นพึมพำอย่างอ่อนใจ
“แล้วดินว่าไงบ้าง?”
“ดินไม่โอเคน่ะ ฉันเองก็ไม่โอเคเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่บอกว่าวิธีนี้ดีที่สุดและจะรีบเคลียร์ให้จบโดยเร็ว”
คำพูดเหล่านั้นก็ก้องอยู่ในหัวจิวารีทั้งวัน การหมั้นหมายมันไม่ได้จัดขึ้นง่าย ๆ และยกเลิกได้ง่าย ๆ เหมือนเล่นขายของเสียที่ไหนกัน การที่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายเลือกคนที่มีโปรไฟล์ระดับเดียวกันเพื่อหมั้นหมาย ก็แน่ชัดอยู่แล้วว่างานหมั้นครั้งนี้คงไม่ได้จัดขึ้นเล่น ๆ หรือทำเพื่อตบตาใครหรอกกระมัง พวกคนรวยที่แต่งงานกันโดยไม่ได้รักไม่ได้ชอบมีอยู่ถมเถ เพียงเพื่อความเหมาะสมและเพื่อธุรกิจของวงตระกูลก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น
เรียวขายาวลดความเร็วในการวิ่งลงเรื่อย ๆ และเปลี่ยนเป็นการเดินทอดน่องไปอย่างใจลอย ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อถูกมือหนาคว้าข้อมือไว้ หันขวับมามองเจ้าของมือ
“ดิน”
“เรียกตั้งหลายครั้งไม่ได้ยินเหรอ?”
จิวารีนั่งลงที่ม้านั่งข้างสนามกีฬา อิทธิพลเดินกลับมาพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือยื่นให้หญิงสาวและนั่งลงข้าง ๆ เธอ
“ขอบคุณนะ” มองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามแต่ยังปิดปากสนิทไม่เอ่ยคำถามใด ๆ ออกมา ใบหน้าคมเข้มสีเลือดฝาดที่ล้างคราบเหงื่อจากกรอบหน้าออกจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงความชุ่มฉ่ำสุขภาพดี เส้นผมที่เปียกชุ่มถูกเสยให้เปิดขึ้นเผยให้เห็นความคมเข้มของกรอบหน้าได้ชัดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเธอไม่ถามเขาก็เอ่ยเปิดให้ เมื่อคำถามมันล้นออกมาทางสายตาและปิดไว้ไม่มิด
“เอวาบอกว่า...จะต้องหมั้นกับนาย?” ถามและลุ้นคำตอบอยู่ในใจ
“ยังไม่ได้ตกลง” ยกกระป๋องเครื่องดื่มขึ้นจิบอย่างใจเย็น ทอดสายตาไปที่สนามกีฬาตรงหน้า
“แล้ว...จะตกลงเมื่อไหร่?”
“เราไม่ได้ชอบเอวา และไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องหมั้น” ตอบไม่ตรงคำถามแต่ยังอยู่ในเรื่องเดียวกัน
“แล้ว...กับคนที่ปู่นายหาให้ล่ะ?”
“กับใครก็ไม่ทั้งนั้นถ้าไม่ใช่คนที่เราเลือกเอง” หันมามองหน้าคนถาม
“แล้ว...ถ้าปู่นายโอนมรดกให้คนอื่นหมดเหมือนที่ขู่ล่ะจะทำยังไง ไม่เสียดายเหรอ? การที่เราไม่มีหรือไม่เหลืออะไรมันลำบากมากนะ” พูดแต่ไม่มองหน้าคนฟัง
“เธออยากให้เราหมั้นเหรอ?” มองหน้ารอคำตอบ
“....”
การสนทนาเงียบลงชั่วขณะ
“ฉันก็แค่ถาม” หลบตาและเฉมองไปทางอื่น
“แต่ถ้าเป็นผลประโยชน์ของตัวเองก็ควรรักษาไว้ไม่ใช่เหรอ?” เป็นความจริงที่พอพูดไปแล้วในใจมันหวิว ๆ ชอบกล พยายามไม่สบสายตาชายหนุ่ม แต่ก็แอบปรายตามองอยู่เป็นระยะ อิทธิพลสัมผัสได้ในแววตาคู่นั้นที่ไหววูบของเธอแม้เพียงครู่เดียวที่หม่นลง ก่อนที่หญิงสาวจะปรับสีหน้าและหันมายิ้มให้
“แม่บอกว่าแค่ต้องการรูปถ่ายตอนสวมแหวนแค่นั้นเอง เราก็แค่ใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนที่เหลือแม่จะจัดการเอง” อธิบายข้ออ้างของผู้ใหญ่
“แล้ว...ถ้าหมั้นแล้วต้องแต่งจริง ๆ ล่ะนายจะทำยังไง?”
“ไม่แต่ง”
“แล้วถ้าต้องแต่งล่ะ?”
“ก็บอกว่าไม่แต่งไง”
“แล้วถ้าถูกบังคับล่ะ?”
“ก็บอก...ว่า...ไม่...แต่ง” ชายหนุ่มย้ำเสียงหนักชัดเจน ลุกจากม้านั่งคว้ามือบางมากุมไว้และลากมือเธอเดินไป จิวารีก้าวขาเดินตามร่างสูง
“แล้ว...” ยังไม่ได้ป้อนคำถามใด ๆ ต่อเขาก็พูดตัดบทขึ้น
“ไม่...แต่ง...” หยุดเดินและหันมามองหน้าหญิงสาว ก่อนจะหันกลับไปและก้าวขาเดินต่อ
“หาอะไรกินดีกว่าหิวแล้ว”
ภาพถ่ายพิธีสวมแหวนหมั้นที่ถูกจัดฉากขึ้นระหว่างเอวากับอิทธิพล ถูกส่งต่อให้ขวัญชนกโดยมือมืด ทันทีที่เปิดภาพผ่านหน้าจอมือถือก็ทำให้เธอแทบคลั่ง แต่นี่ยังไม่ใช่บทจบที่เธอจะได้รับ ยังมีเรื่องที่สนุกกว่านั้น ดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณยกแก้วไวน์ในมือชูขึ้นและชนแก้วกัน เสียงสะท้อนกังวานสดใสเหมือนเป็นนิมิตหมายที่ดี ก่อนจะยกขึ้นจิบพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ และรอยยิ้มของผู้ชนะ
หลังชั่วโมงเรียนคาบบ่ายที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ยังคงร่มรื่น ลมเย็น ๆ พัดเอื่อย ๆ มาปะทะเป็นครั้งคราว กลุ่มนักศึกษากระจายตัวนั่งพักตามจุดต่าง ๆ บ้างก็นั่งเล่นโทรศัพท์ พูดคุยหัวเราะกับเพื่อนอย่างผ่อนคลาย
จิวากรนั่งบนม้านั่งและฟุบหลับไปกับโต๊ะ ตะวันและธีธัชกำลังบริหารนิ้วมือกดเกมต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย อิทธิพลนั่งดูผลการแข่งขันฟุตบอลย้อนหลังจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ส่วนสองสาวเอวาและจิวารีกำลังซ้อมท่าเต้นเพื่ออัดคลิปวิดีโอลงโซเชียลมีเดีย พร้อมเสียงหัวเราะสดใสประสานกันอยู่อย่างนั้น ผลัดกับการหัวเราะจนตัวงอตาปิดกับท่าเต้นของตัวเองและเพื่อนสาวที่แสนจะตลกและหลุดโลก จนคนที่ดูบอลอยู่ไม่มีสมาธิอดหันไปมองตามเสียงหัวเราะนั้นไม่ได้
“พี่ดินคะ”
เสียงเรียกจากด้านหน้าทำให้ทุกสายตาในกลุ่มหันไปมองเจ้าของเสียง
ใบหม่อน สาวสวยน้องใหม่ของชมรมกีฬาที่เดินมาพร้อมกับเพื่อนสาวและส่งยิ้มหวานให้อิทธิพล“อ้าวใบหม่อน” ชายหนุ่มยิ้มทักทาย
“หม่อนมาชวนพี่ดินไปทานข้าวกลางวันด้วยกันค่ะ?” ถือวิสาสะเดินมานั่งลงข้างเขา ส่วนเพื่อนสาวของหล่อนยืนรออยู่ที่เดิม
“หม่อนไปหาพี่ดินที่ชมรมก็ไม่เจอ ส่งไลน์หาแต่พี่ดินยังไม่เปิดอ่าน ก็เลยเดินมาหาที่นี่ค่ะ” หากไม่เจอที่ชมรม หรือที่สนามกีฬาก็คงเป็นที่นี่ตามข้อมูลที่เธอได้มา โดยไม่สนใจคนรอบข้างของเขาที่กำลังจ้องมองเธออยู่
“ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ” คล้องแขนชายหนุ่มดึงให้ลุกขึ้นเดินไปด้วยกัน
เสียงจากคนแปลกหน้าปลุกจิวากรที่ฟุบหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น ส่วนสองหนุ่มมือเกมก็หยุดเล่นทันที เช่นเดียวกันกับสองสาวที่กำลังอัดคลิปวิดีโออยู่ก็หยุดลงอัตโนมัติเช่นกัน หันมามองหญิงสาวแปลกหน้าผู้มาเยือนเป็นตาเดียว
“พี่ไม่ว่างคงไม่สะดวก” แกะมือปลาหมึกของสาวสวยออกจากแขนอย่างสุภาพ มองทะลุมายังสายตาอีกคู่ที่มองมา และในแววตานั้นเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“แป็บเดียวเองค่ะ...นะคะพี่ดิน...นะคะ” ลากเสียงยาวยิ้มหวานออดอ้อน ไม่สนว่าใครกำลังมองอยู่
“พี่ดินไม่ว่างแต่พี่ธีว่างนะครับ” ธีธัชส่งสายตากรุ้มกริ่มแทะโลมเธอ หญิงสาวหลับตาหนักและตวัดสายตาขึ้นมองเหยียดก่อนจะมองเมินและเบือนหน้าหนี
จิวารีมองใบหน้าสาวสวยใจกล้าตรงหน้า พลันก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันเข้าค่าย เธอเคยเจอหญิงสาวคนนี้นั่งคุยกับเทวฤทธิ์ ท่าทางสนิทสนมมากกว่าคำว่าคนรู้จักหรือรุ่นน้อง และเคยเห็นเธอคนนี้เดินลงจากรถของเทวฤทธิ์เช่นกัน และเกิดคำถามขึ้นในหัวทันที หากกำลังคบหาดูใจกันหล่อนจะมาจีบอิทธิพลอีกทำไม
แต่ที่แน่ ๆ หล่อนมีเบอร์ของอิทธิพลและส่งข้อความหากัน และรู้ว่าจะต้องตามหาเขาที่ไหน คงติดต่อกันมาสักระยะแล้วกระมัง แต่ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงหล่อนเลยสักครั้ง ก็แน่ล่ะเขาจะพูดให้ฟังทำไมมันเรื่องส่วนตัวของเขานี่นา สวยขนาดนี้ ขาวอื๋มซะขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกที่เขาอยากจะสานสัมพันธ์กับหล่อน พาลให้หน้าตึงขึ้นมาทันที
“ใครเหรอจิ๋วรู้จักป่ะ?” เอวาถามเบา ๆ พลางมองไปที่บุคคลที่กำลังพูดถึง
ไม่ตอบคำถามแต่คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“ฉันลืมไปว่ามีธุระต้องทำ” วางโทรศัพท์ของเอวาที่กำลังอัดคลิปลงที่โต๊ะ
“อ้าว”
“ไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” พูดเสร็จก็หันหลังเดินจากไปทันที
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







