LOGINเสียงหนุ่มสาวพูดคุยเซ็งแซ่ดังประสานกันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยในช่วงพักกลางวัน สองสาวถือจานอาหารและวางลงบนโต๊ะม้านั่งยาวก่อนจะนั่งลงคนละฝั่ง
“วันนี้ตอนเย็นแกว่างหรือเปล่า?” เอวาเอ่ยถามจิวารี
“คืนนี้ไม่มีร้องเพลงแต่ฉันรับงานพริตตี้ไว้ที่ร้านเดิมน่ะ ทำไมเหรอ?”
“ฉันจะไปหาพ่อที่บ้านจะชวนแกไปเป็นเพื่อน”
“ไม่กลัวเจอฐากูรหรือไง เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก” จิวารีเอ่ยเตือนเพื่อนสาว
ฐากูร หนุ่มเจ้าสำราญลูกหลานไฮโซ ที่เอวาไม่ยอมสานสัมพันธ์ด้วยและเขาก็ไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ ตามตอแยไม่หยุดหย่อน แม่ของเขาคือภรรยาคนปัจจุบันของพ่อเธอ ที่ทางผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามในความสัมพันธ์หลังจากหย่ากับแม่ของเธอแล้ว เพราะสองตระกูลคือคู่ค้าธุรกิจเก่าซึ่งจะสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นให้กับกิจการในอนาคตได้
“พ่อก็อยู่ไม่เป็นไรหรอก”
“แกเช็คหรือยังว่าพ่อแกอยู่จริง?”
“อือ...พ่อไปต่างประเทศจะกลับวันนี้แหละ เช็คกับแม่บ้านแล้ว”
“แต่แม่แกสั่งห้ามไม่ให้ไปไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นัดเจอกับพ่อข้างนอกล่ะ”
“พ่อเพิ่งกลับคงจะเหนื่อย และฉันก็ไม่ได้บอกแม่ด้วย พรุ่งนี้วันเกิดพ่อถ้าไปพรุ่งนี้แม่ต้องรู้แน่เลย ฉันก็เลยกะจะไปเซอร์ไพรส์พ่อวันนี้”
ถึงแม้พ่อของเธอจะเป็นสามีที่สร้างความทุกข์ให้กับภรรยาเสมอในเรื่องความเจ้าชู้เสือผู้หญิง แต่เขาก็เป็นพ่อที่ดีของเธอเสมอเช่นกัน และวันนี้ก็ประจวบเหมาะกับที่พิมพ์พรรณแม่ของเธอไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน ๆ เพื่อฮิลใจจากการบาดเจ็บในความรักครั้งล่าสุด
“งั้นแกรอฉันเลิกงานได้ไหมล่ะฉันจะไปเป็นเพื่อน” จิวารีเสนอ
“มันดึกไปนะสิ...ไม่เป็นไรหรอกฉันไปคนเดียวก็ได้แค่แป็บเดียวเอง ให้ของขวัญพ่อแล้วก็จะกลับเลย”
“มีอะไรแกก็โทรมาแล้วกัน” จิวารีบอกเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง
“อือ” พยักหน้ารับก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านเพราะไม่มีเรียนคาบบ่าย
เอวาเรียกใช้บริการแท็กซี่เนื่องจากกลัวว่าคนขับรถจะรายงานผู้เป็นแม่ เธอจึงถือโอกาสตอนที่พิมพ์พรรณไปเที่ยวให้ลุงบรรจงลาหยุดไปต่างจังหวัด ก้าวลงจากรถมองเลยเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่แสนจะคิดถึง ตั้งแต่พ่อกับแม่แยกกันเธอก็มาที่นี่นับครั้งได้ ยื่นมือไปกดกริ่งหน้าบ้านสักพักก็มีหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นหน้าวิ่งออกมาดู
“มาหาใครคะ?” คงเป็นสาวใช้คนใหม่เอวาคิดในใจ
“ป้ากลิ่นไม่อยู่เหรอคะ?”
“ป้ากลิ่นไปต่างจังหวัดค่ะ”
“ตอนกลางวันยังโทรคุยอยู่เลย”
“เพิ่งไปตอนเย็นนี่เองค่ะไปงานศพ”
“ตกลงคุณมาหาป้ากลิ่นเหรอคะ?”
“มาหาคุณพ่อ” ตอบเสียงเรียบ หล่อนช่างไม่มีข้อมูลของเจ้านายเอาเสียเลย
“คุณเอวา”
สาวใช้เบิกตาโต เคยได้ยินป้ากลิ่นพูดถึงแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงคุณหนูของบ้านเลยสักครั้ง ลนลานเปิดประตูอย่างเร่งรีบ
“ขอโทษค่ะแววไม่ทราบ” เปิดประตูให้เจ้านายน้อยเข้าบ้านและเดินตามอย่างสุภาพ
“คุณผู้ชายก็ไม่อยู่ค่ะ”
“อ้าว ยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอ?”
“คุณดาราบอกว่ามีงานด่วนเปลี่ยนไฟว์บินกะทันหันเลื่อนไปอีกสองวันค่ะ”
จากที่จะให้แม่บ้านเตรียมงานสำหรับเซอร์ไพรส์วันเกิดคุณผู้ชายของบ้านจึงต้องยุติลง
“เฮ้อ” เอวาถอนหายใจ กะจะเซอร์ไพรซ์พ่อ แต่พ่อดันมาเซอร์ไพรซ์ตัวเองก่อนเสียอย่างนั้น แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วขอเก็บภาพบรรยากาศวันวานที่นี่ก่อนก็แล้วกัน คิดถึงห้องนอนที่แสนจะอบอุ่นห้องเดิมที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อครั้งที่อยู่กันพร้อมหน้า แต่วันนี้เหลือเพียงแค่ความทรงจำดี ๆ ให้นึกถึงเท่านั้น
“ขอขนมกับน้ำเข้าไปให้วาที่ห้องด้วยนะคะ”
“ได้ค่ะ”
แววยกถาดเครื่องดื่มพร้อมขนมและอาหารว่างขึ้นมาให้เจ้านายสาวที่ห้องนอน และวางไว้บนโต๊ะริมหน้าต่างจุดรับอากาศบริสุทธิ์ ชมนกชมไว้ในสวนหย่อมของเธอจากมุมสูงของบ้าน
“คุณเอวาจะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?” เอวาส่ายหน้า
“ไปพักผ่อนเถอะค่ะ” แววค้อมศีรษะอย่างสุภาพและเดินออกห้องไป
หญิงสาวกดเปิดแอร์ในห้องและเดินไปเปิดม่านหน้าต่างและม่านประตูระเบียง มองทะลุกระจกใสออกไปด้านนอก ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เตียงนอน หยิบไดอารี่เล่มเก่าจากลิ้นชักขึ้นมาเปิดดู เอนตัวลงนอนอ่านข้อความในนั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับภาพในความทรงจำเก่าผุดขึ้นมา แอร์เย็น ๆ ในห้องกับบรรยากาศที่เงียบสงบทำให้ผล็อยหลับไป
เสียงเพลงอึกทึกครึกโครมบวกกับเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันปลุกให้เธอตื่นขึ้น เอวานอนนิ่งฟังเสียงปรับประสาทการรับรู้อยู่สักพักก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาดูเวลาที่หน้าจอ นี่เธอเผลอหลับไปนานขนาดนี้เลยเชียว
เสียงเพลงจากบ้านตรงข้ามหรือเปล่า เขามีงานปาร์ตี้อะไรกัน ลุกจากเตียงเปิดประตูเดินลงมาดูด้านล่าง
ห้องรับรองแขกวีไอพีห้องใหญ่ของพ่อเธอ ที่ถูกจัดเป็นมินิปาร์ตี้อย่างรื่นเริง สาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกับเธอสองสามรายในชุดสุดเซ็กซี่ และหนุ่มๆ อีกหลายคนที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ในห้องท่ามกลางเสียงเพลง ตรงกลางคือโต๊ะเครื่องดื่ม อาหารและของขบเคี้ยว แสงไฟวิบวับเปิดสลับสีจนชวนปวดหัวประหนึ่งบรรยากาศในผับเสียอย่างนั้น ไฟนีออนสีขาวถูกแทนที่ด้วยไฟดีเจหมุนเคลื่อนตัวตลอดเวลาอยู่มุมห้อง สาวสวยที่นุ่งน้อยห่มน้อยนั่งอยู่ที่ตักของชายหนุ่มที่คาดว่าคงจะเป็นคู่รักกัน และกำลังนัวเนียพลอดรักกันอยู่
เอวากวาดสายตามองผู้คนในห้องนั้น ฐากูรและกลุ่มเพื่อนของเขานั่นเอง พลันหัวใจก็หล่นวูบลงไปอยู่ที่เท้า เมื่อสายตาของเธอไปสะดุดเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนหัวเราะอยู่กับเพื่อนในห้องและหันหน้ามาทางเธอ เอวาจำได้ขึ้นใจมันคือคนที่จับล็อกตัวเธอไว้ในวันนั้นที่อิทธิพลถูกรุมทำร้าย เช่นเดียวกับเจ้าของร่างที่หันมามองเธอเข้าพอดี เอวาหันหลังวิ่งกลับขึ้นห้องปิดประตูลงล็อกทันที นั่งลงที่เตียงด้วยหัวใจที่เต้นแรง คนพวกนี้เข้ามาอยู่ในบ้านเธอได้อย่างไร หญิงสาวปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว
ที่แท้ก็เป็นฐากูรกับพรรคพวกนี่เองที่รุมทำร้ายอิทธิพลในวันนั้น ความกลัวเริ่มก่อตัวเพิ่มขึ้น เธอจะต้องบอกพ่อและแม่ของเธอเรื่องนี้ หากวันนั้นจิวากรและจิวารีไม่มาช่วยพวกมันอาจจะฉุดเธอไปก็เป็นได้ หรือจะเกิดอะไรขึ้นไม่อยากจะคิดต่อ แล้วเธอจะทำยังไงดี จะกลับตอนนี้เลยดีไหมนะ แล้วถ้าพวกมันตามไปล่ะเธอจะทำยังไง จะให้ลุงบรรจงมารับก็ไม่ได้เพราะเธอเป็นคนให้เขาลาหยุดไปต่างจังหวัดแล้ว พ่อกับแม่ก็อยู่ต่างประเทศ จะทำยังไงดี ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะที่หน้าประตูห้อง
“เอวา”
เสียงฐากูรนั่นเอง เสียงที่เธอไม่อยากได้ยินแต่จำได้ขึ้นใจ
“ออกมาร่วมสนุกปาร์ตี้กับพี่ไหม?”
“เอวา”
ตามด้วยเสียงเคาะซ้ำถี่ ๆ ความกลัวก่อตัวเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อลูกบิดประตูถูกหมุนจากด้านนอก ถึงแม้จะล็อกไว้แล้วแต่ความกลัวไม่ยอมลดลงเลย แล้วถ้าเขาเข้ามาได้ล่ะเธอจะทำยังไง แล้วถ้าเขาไปขู่เอากุญแจสำรองกับแววมาล่ะจะทำยังไง ถ้าป้ากลิ่นอยู่ก็คงดีเพราะป้ากลิ่นไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเธอแน่ แต่ตอนนี้....
คว้าโทรศัพท์กดสายโทรหาเพื่อนสาวทันที แต่ปลายทางไม่รับสาย
ฐากูรยืนอยู่หน้าประตูหัวเราะมุมปากอย่างย่ามใจ สายตาแดงก่ำจากฤทธิ์เครื่องดื่มผสมสารบางอย่างที่บอกว่าจะทำให้ปาร์ตี้สนุกขึ้น หลังจากไล่สาวใช้ให้เข้านอนและสั่งห้ามอย่าเข้ามายุ่งกับปาร์ตี้ของเขา
“ถ้าไม่อยากถูกไล่ออกก็หุบปากให้สนิท” แววคำนับถี่ ๆ เมื่อถูกขู่และเดินเร็วกลับเข้าห้องนอนทันที
จิวากรเก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวหลังจากทำอาหารเสร็จ วันนี้ไม่มีคิวขึ้นเล่นดนตรีจึงถือโอกาสพักผ่อนอยู่บ้านให้เต็มที่ เดินสำรวจทั่วบริเวณแล้วถอนหายใจทิ้ง รู้สึกใจหายไม่น้อยหลังจากที่มีคนเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยวต่อจากพ่อโจแล้ว นั่นหมายถึงว่าเขาและจิวารีมีเวลาอีกหนึ่งเดือนเท่านั้นในการหาบ้านเช่าหลังใหม่ และเก็บข้าวของสำหรับการย้ายออก
เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะหน้าห้องน้ำในครัวดังขึ้น ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะเดินไปตามเสียง
“อ้าว ไอ้จิ๋วลืมโทรศัพท์” หยิบขึ้นมาดูชื่อสายเรียกเข้าจากหน้าจอ
“เอวา” แต่เลือกที่จะไม่รับสายและวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม หันหลังกะจะเดินหนีแต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีก ชายหนุ่มปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไป ก่อนเสียงข้อความเข้าจะดังขึ้นถี่ ๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง ข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่านสิบข้อความบวก ที่แจ้งเตือนบนหน้าจอแต่ไม่สามารถกดเข้าอ่านข้อความได้ เพราะเจ้าของโทรศัพท์ใส่รหัสล็อกไว้ เธอคงมีเรื่องด่วนกระมัง แล้วเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง จิวากรกดรับสายแนบโทรศัพท์ข้างหู
(“จิ๋วแกเลิกงานหรือยังมารับฉันหน่อยได้ไหมฉันกลัว”)
เสียงที่ลอดออกมาตามสายพร้อมกับเสียงร้องไห้สั่นเทาของเอวา
(“ฉันกลัว...พ่อไม่อยู่บ้าน”)
(“มันจะเข้ามาในห้องฉันแล้ว แกรีบมาตอนนี้เลยได้ไหม”)
“เอวาเป็นอะไร ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ พูด”
(“ใครน่ะ”)
“พี่เอง พี่แจ็ค จิ๋วลืมโทรศัพท์ไว้บ้าน”
(“พี่แจ็คคะมารับวาหน่อยได้ไหมคะวากลัว พวกที่มันทำร้ายดินวันนั้นตอนนี้มันอยู่ในบ้านวาค่ะ”)
“แล้วตอนนนี้เธออยู่กับใคร?”
(“วาอยู่ในห้องนอนคนเดียวค่ะไม่มีใครอยู่เลย แม่บ้านก็ไม่อยู่”)
“พี่จะรีบไปตอนนี้ เธอส่งโลเคชั่นมาให้พี่ ไม่ต้องกลัวนะพี่จะรีบไปตอนนี้” ปลอบใจให้เธอคลายกังวล
“ค่ะ วาจะรอนะคะ”
จิวากรคว้ากุญแจรถเตรียมพร้อม หยิบแจ็กเกตมาสวมอย่างเร่งรีบ ก่อนจะโทรแจ้งเหตุตามพิกัดที่หญิงสาวส่งให้ เสียบหูฟังและสวมหมวกกันน็อก ติดเครื่องรถคู่ใจบึ่งออกไปทันที ตามองพิกัดที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ติดอยู่ตัวล๊อกหน้ารถ ทั้งภาวนาอย่างให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ และกดโทรออก
(“ฮัลโหลพี่แจ็คถึงไหนแล้วคะ?”) เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลดังมาตามสาย
“ใกล้ถึงแล้ว เธอโอเคใช่ไหม?”
(“ค่ะวายังอยู่ในห้อง”)
เสียงตอบกลับที่ฟังไม่ค่อยจะชัดเพราะเสียงลมปะทะจากการขี่มอเตอร์ไซค์ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเธอปลอดภัย
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







