ログインแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องปะทะร่างพร้อมเสียงแตรที่บีบค้างดังลั่น เอวาหันไปมองต้นเสียงเห็นเพียงแสงสว่างจ้าขาวโพลน เธอยกมือขึ้นบังแสงที่ส่องกระทบดวงตาพร้อมกับร่างที่ถูกกระชากหลบรถที่พุ่งมา
“อยากตายรึไงวะ” เสียงผู้โดยสารในรถที่เปิดกระจกลงตะโกนด่าเธอ ก่อนจะขับผ่านไป ดูแล้วก็คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ต่างจากเธอสินะ
จิวากรรวบร่างบางไว้ในอ้อมแขน เอวายังตะลึงงันอยู่ด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” จับไหล่บางดึงร่างเธอออกจากอ้อมกอด ในมือชายหนุ่มถือรองเท้าส้นสูงที่เธอเพิ่งถอดทิ้งมาด้วย ถามด้วยความเป็นห่วง เอวาที่เกือบจะสร่างเมารวบรวมสติคืนมา มองหน้าชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะปัดมือเขาออกให้พ้นตัว กะจะหันหลังเดินหนีแต่ถูกมือหนาคว้าข้อมือไว้
“เอวา...” ลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยใจ
“ดึกแล้วกลับบ้านได้แล้ว”
“พี่แจ็คกลับไปเลย...วากลับเองได้” แอลกอฮอล์ในร่างที่บีบให้แก้มแดงระเรื่อบวกกับอารมณ์นอยด์ภายในที่ไม่อยากจะคุยดีกับเขา
“พี่ขอโทษ...ถ้าทำให้เธอโกรธ”
“เอากุญแจมา” แบมือตรงหน้าเขา เพิ่งนึกได้ว่าเดินหนีเขามาทั้งที่กุญแจไม่ได้อยู่กับตัวเอง
“พี่ไปส่ง เมาขนาดนี้ขับกลับมันตราย”
“ไม่...ไม่อยากเป็นภาระใคร” อมความน้อยใจไว้จนแก้มตุ่ย น้ำในตาก็พลอยแต่จะเอ่อขึ้น
“พี่ขอโทษที่พูดไม่ดีกับเธอ แต่เธอช่วยพูดดี ๆ กับพี่หน่อยได้ไหม” พูดเสียงอ่อนโยนขึ้นเพื่อให้เธอเย็นลง
“วาพูดไม่ดีเหรอ...นี่ดีที่สุดสำหรับวาแล้ว แต่จะให้พูดจาฉอเลาะหวานออดอ้อนเหมือนแก้วกาญ หรือเหมือนผู้หญิงของพี่ทุกคนวาก็ทำไม่เป็น”
“แก้วกาญอีกละ ผู้หญิงคนไหน...ที่ไหนอีก?” จิวากรย่นคิ้วมองหน้าเธอ
“นี่เธอหึงพี่เหรอ ถึงพูดถึงแต่ผู้หญิงคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อย”
เอวาตาแทบถลนออกมานอกเบ้าทันทีเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูด
“วาจะหึงพี่ทำไม เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” เถียงคอเป็นเอ็น
“โอเค”
“ไม่หึงก็ไม่หึง”
“กลับบ้านกัน”
นั่งลงกับพื้นวางรองเท้าเธอที่ถือมาด้วยในมือ จับเท้าเธอมาสวมรองเท้าใส่ทีละข้าง เอวาก้มลงมองชายหนุ่มด้วยหัวใจที่อ่อนยวบลงทันที เขาทำแค่นี้ก็พาลจะใจอ่อนแล้วเหรอ จิวากรลุกขึ้นยืน ดึงมือเธอมากุมไว้
“เอาล่ะ...ทีนี้เรามาตามหารถกันว่าใครขับรถเธอไปซ่อนไว้ที่ไหน” พูดเอาใจคนเมา
จูงมือหญิงสาวเดินสะเปะสะปะไปตามลานจอดรถ กวาดสายตามองหารถของเธอ เอวาเดินตามชายหนุ่มด้วยใบหน้างอง้ำมองแผ่นหลังแข็งแรงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะหยุดอยู่กับที่
“ทำไม?”
“ทางนี้ค่ะ” บุ้ยปากไปทางที่เธอจอดรถไว้เมื่อจำได้แล้วว่าตัวเองจอดรถไว้ตรงไหน ใบหน้ายังคงคว่ำอยู่
สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ในรถแล้ว ทั้งห้องโดยสารมีเพียงความเงียบเท่านั้น มีคำถามมากมายที่เอวาอยากพูดกับเขา เช่น จิ๋วกลับแล้วเหรอ ใครไปส่ง ดินหรือเปล่า พี่แจ็คมาได้ยังไง รู้ได้ยังไงว่าวาอยู่ที่นี่ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่เป็นคำถามที่อยู่ในใจเท่านั้น จิวากรลอบมองคนหน้างอที่นิ่งเงียบอยู่เป็นระยะขณะที่รถเคลื่อนไปตามท้องถนน พลางความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัวและอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ทำไมถึงไม่ชอบแก้ว?”
บรรยากาศมันใกล้จะดีอยู่แล้วจะถามแบบนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร เอวาหันขวับมามองเขาทันทีพร้อมกับหัวคิ้วที่ผูกปมโดยอัตโนมัติ และหันกลับไปไม่มีคำพูดออกจากปากเธอเลยสักคำ
“แล้วน้ำผึ้งเธอก็ไม่ชอบด้วยหรือเปล่า?”
เอวาหลับตาหนักข่มอารมณ์ไว้
“ว่าไง?”
“พี่แจ็คถามเพื่อ?” หันมามองหน้าเขาพร้อมกับควบคุมความร้อนในอารมณ์ไว้ไม่ให้สูงกว่านี้ และหลังจากนั้นภายในห้องโดยสารก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
รถวิ่งเข้ามาจอดในลานจอดรถของคอนโด จิวากรปิดไฟหน้ารถแต่ยังไม่ดับเครื่อง
“หรือเธอไม่ชอบผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้พี่กันแน่” หันมามองหน้าหญิงสาว
“หมายความว่าไงคะ?”
เอวาหันมามองหน้าชายหนุ่มขึงขังจริงจัง ยกมือกอดอก
“เธอกำลังทำให้พี่คิดว่า...”
“….” เอวารอฟัง
“เธอชอบพี่ก็เลยหึงพี่” พูดจบก็เบี่ยงตัวมาเผชิญหน้ากับเธอ เอวาก็เบี่ยงตัวหันมาเผชิญหน้ากับเขาเช่นกัน ออกอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ความโกรธพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด แต่ที่แน่ ๆ คือกลัวเขาจับได้
“วาไม่ได้...” เสียงเธอหายไปทันทีเมื่อจิวากรฉกเข้าประกบปากเธอด้วยปากขอวเขา คาสโนว่าตัวพ่อไม่รอให้เสียเวลา
เอวาตาเบิกโพลงเท่าไข่ห่าน สร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง จิวากรจูบอย่างแผ่วเบาและอ้อยอิ่งหยั่งเชิงด้วยประสบการณ์เสือ ก่อนจะถอนริมฝีปากออก สบตากับหญิงสาวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย เอวาเหมือนถูกมนต์สะกดให้แน่นิ่ง กำมือแน่นจนเกร็งไปหมด มือหนาจับไหล่บางไว้
“ยอมรับหรือยังว่าเธอชอบพี่?” คาดคั้นเอาคำตอบอย่างอ่อนโยน
“วา...ไม่ได้...” เสียงลอดริมฝีปากแผ่วเบา แต่เสียงหัวใจเต้นแรงเว่อร์
ริมฝีปากหยักประกบลงไปอีกครั้ง จิวากรเลื่อนมือมาประคองใบหน้าเธอ ก่อนจะสอดเข้าหลังใบหู ดันหน้าหวานให้รับจูบอ่อนโยนจากเขา ชายหนุ่มบรรจงจูบอย่างแผ่วเบาประหนึ่งกำลังออดอ้อนและวิงวอน ก่อนจะถอนริมฝีปากออกและจ้องตาเธอ
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับแก้ว”
“และไม่ได้เป็นอะไรกันกับน้ำผึ้ง”
“และพี่ก็ไม่ได้คบกับใครคนไหนเลย”
เขาหมายความว่ายังไงนะถึงอธิบายแบบนี้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หลุบตามองริมฝีปากที่เผยออยู่น้อย ๆ หญิงสาวบีบมือแน่นเมื่อเขาโน้มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนภาพเบลอ ก่อนจะหลับตาลง จิวากรจูบอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ดูดดื่มและเนิ่นนาน สอนให้เธอชินกับสัมผัสใหม่จากเขา ดันลิ้นอุ่น ๆ เข้าไปควานหาความหอมหวานข้างใน กลิ่นแอลกอฮอล์จากสองปากที่ผสมปนเปกันไปบวกกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนกายเธอทำให้รสจูบช่างละมุนและแสนจะโรแมนติก ก่อนที่เอวาจะค่อย ๆ ดันแผ่นอกหนาออกห่างเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มไหลไปกับอารมณ์นั้นแล้ว
“พี่แจ็ค...วาจะขึ้นห้องแล้ว” เมื่อปากเป็นอิสระ เธอพูดเสียงแผ่วเบาและหลบตาเขา
“เธอชวนพี่ขึ้นห้องเหรอ?”
ชายหนุ่มแกล้งเย้าเธอแล่นยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว เมื่อเอวาเขินจนหน้าแดงลามไปถึงใบหูแล้วท่ามกลางแสงสลัวภายในรถ
“ปะ พี่ขึ้นไปส่ง”
ปิดเครื่องยนต์ลงจากรถ เดินจูงมือเธอเข้าลิฟต์อย่างอารมณ์ดี มือกดเลขชั้นโดยไม่ต้องถามทั้งลิฟต์มีกันอยู่แค่สองคน เอวานิ่งเงียบไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จิวากรโน้มหน้าเข้าไปใกล้จุ๊บลงที่ข้างแก้มอย่างมันเขี้ยวในความเขินอายที่น่ารักของเธอ เอวาสะดุ้งโหยงเขินแล้วเขินอีกหน้าแดงเป็นลูกตำลึง และไม่รู้จะทำตัวยังไง ทำไมเขารุกหนักแบบบนี้นะ เธอคิดในใจ
ทันทีที่เข้าห้องและประตูปิดลง คนที่บอกจะขึ้นมาส่งก็ยังไม่ยอมกลับ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งวา”
จิวากรเดินเข้ามาใกล้ดึงเอวคอดเข้ามากอด อารมณ์ยังค้างตั้งแต่อยู่ในรถแล้วจะมาไล่กลับง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
“ยังคุยกันไม่จบเลย” จ้องหน้าคนในอ้อมแขน
“คุยอะไรคะ?” มองหน้าเขาแต่ก็รีบหลบตา
“พี่บอกเธอไปหมดแล้วว่าพี่ไม่มีใคร แล้วเธอล่ะ?”
“วา...ไม่มีใคร”
“แล้วไอ้นั่นล่ะ ที่ไปนั่งเฝ้าเธอที่ร้าน” จับปลายคางเธอให้หันมาเผชิญหน้า
“กีตาร์ก็แค่คนรู้จักเท่านั้น วาไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักหน่อย”
“งั้นเธอก็มีแค่พี่คนเดียว?” สรุปให้สั้น ๆ แบบเข้าข้างตัวเองด้วยรอยยิ้ม
เอวาพยักหน้ารับ ความเขินอายยังไม่หายไป
“อย่างงั้นก็หมายความว่า...เราคบกันแล้วใช่ไหม?”
“และเธอก็เป็นแฟนพี่แล้ว”
อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น ขอเป็นแฟนภายในไม่กี่นาทีหลังจากจูบอันดูดดื่ม เอวาพยักหน้า
ก่อนที่ความโรแมนติกจะดำเนินต่อไปเสียงร้องขออาหารจากท้องเธอก็ดังขึ้น สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน เอวายิ้มแห้ง ๆ ด้วยความเขิน
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







