LOGINวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่มีเรียนและไม่มีคิวเล่นดนตรีที่ร้านอาหาร แต่จิวากรก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเจ้าของร้าน ตั้งแต่เย็นเมื่อวานยันสว่างคาตา ขามานั่งแท็กซี่เพราะเอารถไปซ่อมเปลี่ยนยางรั่วทิ้งไว้ และโทรบอกน้องสาวให้ออกมารับหลังจากแขกคนสนิทที่มาร่วมงานทยอยกลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงเจ้าของร้านที่ฟุบหลับอยู่โซฟาด้านในของโซนวีไอพีเท่านั้น
ร่องรอยของปาร์ตี้เมื่อคืนยังคงทิ้งภาพไว้ให้เห็น ขวดเครื่องดื่มเปล่าที่วางเกลื่อนกลาดอยู่ทุกมุมของห้อง อีกทั้งจานอาหารและของขบเคี้ยวที่วางซ้อนทับกันอยู่บนโต๊ะยังไม่ถูกเก็บกวาดทำความสะอาดเลย เสียงดนตรีจากเพลงคาราโอเกะในจอทีวีแอลอีดีขนาดใหญ่ที่เปิดทิ้งไว้ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง
“รอแป็บนึงขอเข้าห้องน้ำก่อนปวดขี้”
จิวากรหันไปพูดกับน้องสาวหลังจากโทรให้เข้ามานั่งรอด้านใน วางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟาข้างเธอ
“นั่งฟังเพลงรอไปก่อนเดี๋ยวมา” และเดินไปเข้าห้องน้ำ
จิวารีนั่งพิงพนักโซฟาดูมิวสิกวิดีโอคาราโอเกะที่เปิดทิ้งไว้ตรงหน้าพร้อมกับฮัมเพลงตามไปด้วย สายตาเหลือบไปเห็นไมค์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ประจวบกับเพลงโปรดที่เปิดขึ้นพอดี ในใจก็นึกสนุกขึ้นมาทันทีลุกไปคว้าไมค์มาเปิดและเทสเสียงเล่นอย่างสบายใจ
ไหน ๆ พี่แจ็คก็บอกแล้วว่าไม่มีใครอยู่ งั้นขอจัดสักสองสามผลงานเพลงสักหน่อยเป็นไร กับเพลงซึ้ง ๆ เพราะ ๆ ตรงหน้า
หญิงสาวจับไมค์จ่อปากหลับตาส่งเสียงใสผ่านไมค์กับเพลงโปรดที่คุ้นหู ปล่อยความรู้สึกล่องลอยเข้าไปในเนื้องเพลงประหนึ่งคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความรักที่กำลังสุกงอม
ไม่พอแค่นั้นเธอสวมวิญญาณศิลปินลุกขึ้นยืนพร้อมกับโยกตัวช้า ๆ ตามจังหวะสบาย ๆ ทั้งที่เปลือกตายังปิดอยู่ มโนภาพว่าด้านหน้าคือคนที่มาให้กำลังใจและนั่งฟังเธอร้องเพลงและอินไปกับเธออยู่ในตอนนี้ จบไปแล้วหนึ่งเพลงแต่คนที่เข้าห้องน้ำก็ยังไม่โผล่ออกมา และคนที่ร้องเพลงอยู่ก็ดูเหมือนจะยิ่งอินเข้าไปใหญ่กับอีกเพลงที่กำลังขึ้นอินโทร ให้เธอได้เตรียมปลดปล่อยความรู้สึกผ่านไมค์อีกครั้ง
ก็เลยแค่รัก...อยู่ในใจไม่บอกใครเลย รักไม่เปิดเผย แต่เต็มหัวใจไม่มีวันเอ่ย แค่เธอหันมาฉันก็ยิ้มได้ทั้งวัน ไม่ต้องรู้ก็ได้ แค่ได้รักเธอแบบนี้...ก็พอ ไม่เป็นไรเลยถ้าเธอไม่รู้ ฉันก็รับได้ ขอแค่ในใจ...ก็พอ
“เฮ้ย จะกลับไม่กลับ?” เสียงสกัดดาวรุ่งจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำปิดปุ่มบันเทิงของนักร้องสาวให้สะดุดลง จิวากรคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายและเดินออกไปทันที
“เดี๋ยวสิพี่แจ็ค รอด้วย” วางไมค์ลงที่เดิมและก้าวขาถี่ ๆ ตามไป
“ไม่ปิดเพลงก่อนเหรอ?” เธอถามขณะที่เดินกึ่งวิ่งตามหลังร่างสูงของพี่ชาย
“เดี๋ยวพี่คิมเขาก็ปิดของเขาเองไม่ต้องยุ่งเรื่องของชาวบ้าน” พร้อมกับมะเหงกที่เคาะลงเบา ๆ ตรงกลางศีรษะน้อง
“กำลังร้องเพลงสนุกเลย ขี้เสร็จเร็วจัง?”
“ง่วงจะตายอยู่แล้ว” จิวากรบ่นอุบอิบ
คิมหันต์ โงหัวขึ้นอย่างยากลำบากจากการดื่มที่ไม่บันยะบันยังตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแค่อยากเห็นหน้าเจ้าของเสียงเมื่อครู่ ที่ปลุกเขาตื่นมาจากความมึนเมาได้ มองตามร่างของหญิงสาวที่กำลังเดินคุยกับพี่ชายออกจากร้านไป
“อะไรนะพี่แจ็ค?”
“จะให้ไปเทสร้องเพลงที่ร้านเหรอ?”
“อือ...พี่คิมเขากำลังหานักร้องหญิงเพิ่ม”
เขาหมายถึงคิมหันต์เจ้าของร้านอาหารและเป็นหัวหน้าวงดนตรีที่อยากฟังจิวารีร้องเพลงสด ๆ อีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น
หลังเลิกเรียนคาบบ่ายจิวารีมานั่งรอตามนัดเพื่อเทสเสียงอย่างตื่นเต้น ในห้องซ้อมดนตรีของร้านอาหารที่แบ่งเป็นโซนพักผ่อนไว้ในมุมวีไอพี ด้านข้างมีห้องกระจกที่ม่านถูกรวบไว้มองเห็นด้านในห้องได้อย่างชัดเจน ด้านในมีโซฟา และเตียงนอนขนาดเล็ก ป้ายหน้าประตูระบุข้อความ “ห้องพักนักดนตรี” คงเป็นห้องนี้กระมังที่พี่ชายเธอนอนพักในวันที่เล่นดนตรีจนดึกและไม่กลับบ้าน ที่นี่เขาดูแลพนักงานดีใช้ได้ทีเดียว หญิงสาวคิดในใจ
“สวัสดีค่ะ” จิวารียกมือไหว้เจ้าของร้านหลังจากที่เดินเข้ามาพร้อมกับจิวากร
“สวัสดีครับ”
คิมหันต์ทักทายอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองหน้าหญิงสาวอย่างพิจารณา เบื้องต้นคือหน้าตาและบุคลิกโดดเด่นใช้ได้ เสียงโอเค ส่วนอื่นๆ ที่จะปรับตัวเข้ากับวงได้หรือไม่นั้นค่อยว่ากันอีกที
พูดคุยทักทายกันพอสมควร เพื่อให้คลายความตื่นเต้นและเป็นกันเอง การร้องเพลงเทสเสียงก็เริ่มขึ้น เพลงแล้วเพลงเล่าจนเป็นพี่พอใจของคิมหันต์
“เดี๋ยวรอวงมาครบก็ลองร้องกับดนตรีสดดูว่าเป็นไงบ้างนะ แจ็คเป็นธุระให้พี่ที พี่ต้องออกไปทำธุระแป็บนึงเดี๋ยวจะรีบกลับมา”
“ได้ครับพี่คิม”
ไม่นานสมาชิกวงก็มาครบทีม แต่กว่าจะพูดคุยแนะนำให้รู้จักทุกคนก็ใช้เวลาพอสมควร การร้องเพลงกับเล่นดนตรีสดจึงเริ่มขึ้น ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เนื่องจากสมาชิกมีแต่ผู้ชายที่ค่อนข้างชิว
มอส นักร้องนำชายที่ร้องเพลงประกบคู่เข้ากับหญิงสาวได้อย่างลงตัว ตามหัวข้อที่คิมหันต์ส่งเข้ามาให้ดูไลน์กลุ่ม และที่สำคัญทุกคนรู้ว่าเธอคือน้องสาวของจิวากร และเธอเองก็ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้อย่างง่ายดายด้วยนิสัยที่ออกจะแมน ๆ แต่ก็มีมุมอ่อนโยนของความเป็นผู้หญิงอยู่ในที อีกทั้งอ่อนน้อมกับรุ่นพี่ในวง ทุกอย่างจึงลงตัวได้อย่างง่ายดาย
“ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ของวงนะ”
คิมหันต์ยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อขอสัมผัสมือกับจิวารี แสดงความยินดีกับผลการเทสที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
“ขอบคุณมากนะคะพี่คิม”
ยกมือไหว้และยื่นมือทั้งสองข้างไปกุมมือคิมหันต์และเขย่าเบา ๆ อย่างลืมตัวพร้อมรอยยิ้ม ความดีใจที่ได้งานทำและมีรายได้เป็นของตัวเองแสดงออกผ่านทางแววตาที่ไหวระริกแพรวพราวระยิบระยับจนเก็บอาการไม่อยู่
“ไม่ได้” พ่อโจเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาดไม่เห็นด้วยที่ลูกสาวจะไปเป็นนักร้องในร้านอาหารเพื่อให้มีรายได้
“โหพ่อ...พี่แจ็คก็อยู่ด้วยตลอดไม่เป็นไรหรอกน่า...นะ”
“เรียนหนังสือให้ดีก่อนไหม ค่อยมาคิดเรื่องทำงานกลางคืนเนี่ย ไอ้แจ็คมันผู้ชายเอ็งเป็นผู้หญิงมันไม่เหมือนกัน เดี๋ยวก็ติดเหล้าเมายามาวุ่นวายไปกันใหญ่อีก”
“แรงไปนะพ่อ จิ๋วไปทำงานร้องเพลงนะไม่ได้ไปเที่ยว อีกอย่างจะให้งอมืองอเท้า ขอพ่อ ขอพี่แจ็คทุกวันจิ๋วก็ไม่อยากขอแล้ว” ใบหน้างอง้ำแกล้งทำหน้าเศร้า
“แต่แกขอตลอดไม่ใช่เหรอ?” ผู้เป็นพี่สวนขึ้นทันที
“ก็จิ๋วไม่มีงานทำนี่นา ถ้าได้ทำงานจิ๋วก็ต้องขอพี่น้อยลงอยู่แล้วไหมล่ะ”
“นะพ่อ...นะ...จิ๋วสัญญาจะไม่ดื่มไม่เหลวไหล จะทำแต่งานและจะเป็นเด็กดี”
“….” ไม่มีเสียงตอบรับ
“น้า...ค้า...” กอดแขนพ่อและเขย่าไปมาออดอ้อนหวังให้ผู้เป็นพ่อใจอ่อน
“….” มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น
“ให้มันทำเถอะพ่อแจ็ครำคาญ” จริง ๆ แล้วคือช่วยน้องพูดตามสไตล์ของเขา
“แกดูแลมันได้หรือยังไงถึงอยากให้มันทำนัก?”
“โฮ...พ่อ ไอ้จิ๋วมันโตเป็นควายแล้วนะมันดูแลตัวเองได้”
“โตเฉย ๆ ไม่ต้องเป็นควายก็ได้มั้ง”
หันมาตาเขียวใส่พี่ แต่ชายหนุ่มที่ไม่รู้สึกรู้สากับสายตานั้นเลยสักนิด ผู้เป็นพ่อที่นั่งถอนหายใจมองลูกสาวเกาะแขนทำตาปริบ ๆ ออดอ้อนอยู่ข้าง ๆ
“เออ ๆ” และสุดท้ายก็ใจอ่อนยอมให้เธอไปร้องเพลงตามคำขอจนได้
“แต่บอกไว้ก่อนนะการเรียนต้องไม่มีปัญหา และอย่าเหลวไหล”
“สัญญาจ้ะพ่อ” ชูสามนิ้วเหมือนลูกเสือก่อนจะหอมลงแก้มผู้เป็นพ่ออย่างอารมณ์ดี
ดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นไม่แพ้เจ้าตัว จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณหนูเอวา หลังจากฟังคำบอกเล่าของเพื่อนสาวว่าจะไปร้องพลงพี่ร้านอาหารที่จิวากรทำงานอยู่
“เริ่มทำงานวันไหนฉันจะไปเชียร์เธอ?”
“เชียร์เชออะไรกันไม่ใช่ลงแข่งบอลสักหน่อย” พูดอย่างอารมณ์ดี
“เออน่า ฉันหมายถึงไปให้กำลังใจน่ะ”
เอวาจองโต๊ะด้านหน้าเวทีเรียบร้อยในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อมาให้กำลังใจเพื่อนในการร้องเพลง แน่นอนว่าเธอไม่ได้มาคนเดียว อิทธิพล ธีธัช และตะวัน ที่ถูกเธอหิ้วมาด้วยก็นั่งหน้าสลอนอยู่กันพร้อมหน้า
วงดนตรีที่ขึ้นร้องตั้งแต่หัวค่ำจบลงแล้ว คิวต่อไปคือวง แบลคสวีท ที่กำลังซาวด์เซ็คอยู่เพื่อเตรียมขึ้นเล่นต่อ
เสียงนุ่ม ๆ ของหนุ่มหล่อนักร้องนำเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ด้านล่างได้ไม่เบา อีกทั้งความหล่อระดับเทพในมาดศิลปินที่ทำให้แฟนคลับสาว ๆ มานั่งเฝ้าอยู่หน้าเวทีได้เกือบทุกวัน
จิวารีที่ผ่านการร้องเพลงเพียงแค่สัปดาห์แรกก็เริ่มชิวแล้ว หรือมันอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ของเธอก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเพลงช้าซึ้ง ๆ หรือเพลงจังหวะมันส์ ๆ ก็ปล่อยจอยกับลูกค้าในร้านได้อย่างสบาย แถมมีลูกเล่นกับเพื่อนร่วมวงและนักร้องนำเสมอเพื่อสร้างบรรยากาศ
อิทธิพลยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบ ดูจากสายตาแล้วไอ้รูปหล่อนักร้องนำคนนี้ไม่ใช่ย่อย มองตาเดียวก็รู้ว่าคิดอะไรกับจิวารี ผู้ชายด้วยกันทำไมจะมองไม่ออก
หลังเสร็จงานก็ลงมานั่งที่โต๊ะกับเพื่อน ๆ ช่วงดึกที่ไม่มีวงเล่นแล้ว ทางร้านเปลี่ยนเป็นเปิดเพลงจังหวะเบา ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้นักดื่มที่ยังติดลมและนั่งสนทนากันต่อ เสียงหัวเราะประสานกับเสียงแหกปากของลูกค้าที่เครื่องดื่มในร่างออกฤทธิ์เต็มกำลังแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับง่าย ๆ แต่บางโต๊ะก็เริ่มทยอยเดินออกแล้ว สักพักผู้คนในร้านเริ่มบางตา
“จิ๋วดื่มไหม?” เอวายื่นแก้วเครื่องดื่มคามิคาเซ่ของตัวเองส่งให้
“ไม่ดีกว่าเดี๋ยวพ่อได้กลิ่น”
“ป่านนี้พ่อหลับแล้วมั้ง” เชียร์ให้เพื่อนดื่ม
“เออว่ะ” ก่อนจะยกขึ้นจิบพร้อมถอนหายใจผ่อนคลาย
“ฉันชอบเวลาแกร้องเพลงโคตรเท่” ชมเพื่อนอย่างตื่นเต้นถึงแม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเธอร้องเพลง
“เหนื่อยจะตาย”
อีกมุมคือจิวากรที่ยังเดินมาไม่ถึงโต๊ะเพราะโดนสาว ๆ ดักไว้ยื่นแก้วเครื่องดื่มส่งให้ เอวามองทะลุไปถึงพ่อคาสโนว่าที่ยืนหน้าแป้นให้สาว ๆ แทะโลมอยู่อีกฝั่งด้วยรอยยิ้ม หากมีแฟนเป็นนักดนตรีคงปวดใจอยู่ไม่น้อยกับผู้ชายประเภทนี้
“เสน่ห์แรงไม่เบานะมึงไอ้แจ็ค” ธีธัชรินเครื่องดื่มให้เพื่อนหลังจากเดินมาถึงโต๊ะ
“กูมันรูปหล่อไม่ได้หน้าเหี้ยเหมือนมึงนี่”
“อ้าวไอ้สัส” ธีธัชโวย พร้อมกับรอยยิ้มของจิวากร
“ไอ้ดินสาวเหล่มึง”
ธีธัชสะกิดเพื่อนให้มองหญิงสาวที่ส่งสายตาทอดสะพานข้ามโต๊ะมาหา อิทธิพลหันมองตามคำบอกของเพื่อน หญิงสาวโต๊ะถัดไปไม่ไกลนักยกแก้วเครื่องดื่มชูขึ้นกลางอากาศเป็นสัญญาณว่าชวนเขาชนแก้ว ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างสุภาพและชูแก้วขึ้นก่อนจะยกขึ้นจิบและวางลง ไม่ได้สานสัมพันธ์ต่อกับสายตาคู่นั้น
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







