LOGINภายในห้องที่เงียบสงัดในคอนโดหรู จิวารีนอนลืมตาในความมืด อาการปวดเกร็งที่หน้าท้องปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมากลางดึก และไม่สามารถข่มตาให้หลับต่อลงไปได้อีกเลย ค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวรบกวนคนเมาที่กำลังหลับลึกอยู่ข้าง ๆ และเดินไปเข้าห้องน้ำ
ออกจากห้องน้ำก็เดินเข้าไปที่โซนห้องครัว เพื่อหาน้ำร้อนดื่มบรรเทาอาการปวดท้องจากวันนั้นของเดือนที่มาถึงแล้ว นั่งสังเกตตัวเองอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องนอนและปลุกเอวา
“เอวา” เรียกเพื่อนสาวที่หลับอยู่โดยยังไม่เปิดไฟในห้อง
“เอวา” เพิ่มระดับเสียงขึ้นเมื่อเอวายังคงไม่ขยับ
คนที่ถูกปลุกงัวเงียตื่นขึ้นมา พลิกตัวลืมตาในความสลัวและปรับสภาพความมึนงงของสมองอยู่พักใหญ่กว่าระบบจะเข้าที่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
“ฉันปวดท้อง...แกมียาแก้ปวดท้องเม็นหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวขยับตัวแล้ว แสงไฟจากห้องนั่งเล่นที่ส่องเข้ามาด้านในเพราะเธอเปิดประตูห้องนอนไว้
เอวาลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลือเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์โคมไฟที่หัวเตียง
“อยู่ในลิ้นชักตรงนั้นน่ะ” หลังจากรวบรวมสติได้ และชี้มือไปที่โต๊ะมุมห้องบอกเพื่อน จิวารีเดินไปเปิดลิ้นชักและหยิบยามา เดินกลับออกไปในโซนห้องครัวอีกครั้ง รินน้ำใส่แก้วและกินยา เอวาเดินตามมาด้วยสภาพที่ดูไม่จืดหลังจากหลับไปพร้อมกับชุดเดิมในการชมคอนเสิร์ต
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจทิ้งของเอวา เมื่อสภาพร่างกายมันอ่อนแรงเส้นเอ็นมันยืดยาน เหมือนอะไหล่หลวมไปทั้งร่าง ไม่รู้ว่าเกิดจากการดื่มหรือเพราะฤทธิ์จากการจิกตบกับแก้วกาญกันแน่
เดินไปหยิบแก้วมาวาง เป็นตู้เย็นรินน้ำเย็นใส่แก้ว ยกขึ้นดื่มอึกใหญ่เหมือนกระหายหนักจากการทำงาน และนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามจิวารี
“เป็นไงบ้าง ปวดมากหรือเปล่า ไปหาหมอไหม?” มองหน้าซีดของเพื่อนสาว
“กินยาแล้วไม่เป็นหรอก เดี๋ยวคงดีขึ้น” จิวารีปฏิเสธ
“พรุ่งนี้แกมีนัดกับแม่ไม่ใช่เหรอ ไปนอนต่อเถอะฉันไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนดีกว่า แล้วค่อยมานอนต่อ” ถ้านั่งเฝ้าคนปวดท้องทั้งคืน ตื่นมาพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำธุระกับแม่ต่อ เดี๋ยวพิมพ์พรรณจะสงสัยกับสภาพไม่เต็มร้อยของเธอ
เอวาเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ส่วนคนที่ปวดท้องหลังจากกินยาแล้วก็ขึ้นเตียงนอนไม่นานก็ผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ยา
อาการปวดหน่วงที่หน้าท้องปลุกเธอให้ตื่นอีกครั้งในตอนสาย พร้อมกับอาการปวดตุบ ๆ ที่ข้างขมับจนต้องนิ่วหน้า ปวดท้องไม่พอยังจะมาปวดหัวผสมโรงกันไปอีก คว้าโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงมาดูเวลาที่หน้าจอ และข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
เอวา : ฉันเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับ
เอวา : เดี๋ยวจะซื้อของเข้ามาทำอะไรกินที่ห้องนะ แต่ถ้าแกหิวก็ต้มบะหมี่กินรองท้องก่อนเลย
เอวา : อย่าลืมกินยาแก้ปวดล่ะ
ลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายเผื่อจะสดชื่นขึ้นมาบ้าง สำหรับวันนั้นของเดือนที่แสนจะทรมาน ดีว่าเป็นวันหยุดที่ไม่ต้องออกไปเรียน ส่งข้อความบอกจิวากรหากอาการปวดท้องดีขึ้นจะรีบกลับไปช่วยพ่อขายของ หยิบยาที่เอวาเตรียมไว้ให้ขึ้นมากิน และออกมานอนพักที่โซฟาด้านนอก ด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์ไข้ที่ดึงเปลือกตาให้หนักอึ้งจนต้องล้มตัวลงนอนและหลับไปอีกครั้ง
เอวาโทรหาเพื่อนสาวที่นอนรออยู่ที่คอนโดจนนับครั้งไม่ได้ แต่ปลายสายก็ไม่รับ โทรเข้าเบอร์ห้องก็แล้ว ความเป็นห่วงและกังวลใจก็ก่อตัวขึ้น หลังจากที่บอกจะรีบกลับแต่ต้องเปลี่ยนแผนเพราะธุระของแม่ที่หิ้วเธอไปเป็นเพื่อนนั้นดูเหมือนจะยืดยาวออกไปอีก
“ฮัลโหลดิน”
“วามีเรื่องรบกวนหน่อยได้ไหม?” โทรหาเพื่อนชาย
อิทธิพลหิ้วกล่องอาหารพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือ เดินขึ้นคอนโดตามคำขอร้องของเอวา หลังจากร้อนใจเพราะความเป็นห่วงเพื่อน ชายหนุ่มกดออดหน้าประตูอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากคนที่อยู่ด้านใน สุดท้ายเอวาก็บอกรหัสหน้าประตูให้เขาเปิดเข้าไปเพราะความเป็นห่วงเพื่อน
ภาพที่เห็นคือจิวารีนอนหลับสนิทเหมือนซ้อมตายอยู่บนโซฟา ก่อนจะถ่ายรูปส่งให้เอวาเพื่อคลายความกังวล ขนาดเขาเดินเข้ามาในห้องได้สักพักเธอยังไม่รู้สึกตัวเลย จะหลับลึกอะไรเบอร์นั้น ชายหนุ่มพยายามใช้เสียงทำโน่นทำนี่เพื่อปลุกให้เธอตื่นแต่ก็ไม่เป็นผล เดินเข้าใกล้ร่างที่กำลังหลับสนิทอยู่
“จิ๋ว” ส่งเสียงปลุกแต่ร่างที่นอนอยู่ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เปลือกตาโตปิดสนิทแผงขนตางอนเป็นแพเรียงกันชวนมอง แม้ใบหน้าของเธอตอนนี้จะซีดเซียวเหมือนสีไก่ต้ม ริมฝีปากของเธอแห้งผาก ไอร้อนจากกายเธอส่งผ่านออกมาจนเขาสัมผัสได้ในระยะใกล้
“จิ๋ว”
มือแตะไหล่เขย่าเบา ๆ ปลุกเธออีกครั้ง เจ้าของชื่องัวเงียลืมตาตื่นแบบสะลึมสะลือ มองเจ้าของเสียงที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาที่พร่ามัวจนภาพเบลอ แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเป็นใคร
“ดิน” เสียงลอดริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบา
“ไม่สบายหรือหรือเปล่า?” อิทธิพลป้อนคำถามพร้อมกับใช้หลังมืออังที่หน้าผากเธอ หญิงสาวไม่ตอบแต่พยุงตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับนิ่วหน้าจากอาการปวดเกร็งที่ท้องน้อยเป็นระยะ
“เอวาโทรหาตั้งหลายสายแต่เธอไม่รับเลยเป็นห่วงให้เราขึ้นมาดู”
ชายหนุ่มนั่งลงที่โซฟาข้างเธอ มองใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาว จิวารีคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูด้วยใบหน้าอิดโรย
“ปิดเสียงไว้น่ะไม่ได้ยิน”
“เหมือนเธอจะมีไข้นะไปหาหมอไหม?” ถามด้วยความเป็นห่วงแต่หญิงสาวส่ายหน้า
“ปวดท้องกินยาเดี๋ยวก็หาย”
คำว่าเดี๋ยวก็หายเหมือนจะไม่ได้ผล หญิงสาวก้มหน้างอตัวมือกุมท้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เม้มปากและหลับตาข่มอาการปวดที่เหมือนจะรุนแรงขึ้น ยาแก้ปวดที่กินไปก่อนหน้าไม่ได้ผลเลยหรือยังไง ทั้งหัวทั้งท้องเหมือนจะแข่งกันปวดอย่างสนุกจนเจ้าของร่างเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
“ไปหาหมอดีกว่า”
พยุงคนป่วยลุกขึ้นและอุ้มเธอเดินออกมาจากห้อง โดยไม่ฟังเสียงทัดทานพึมพำของเจ้าของร่างที่ยังดื้อไม่อยากไปหาหมอ จิวารีหลับตาลงซบหน้าที่หัวไหล่ชายหนุ่มจากอาการเวียนหัว แถมท้องไส้ยังจะมาผสมโรงปั่นป่วนพะอืดพะอมชวนอาเจียนอีก ร่างกายของเธอมันเป็นบ้าอะไร นี่คือจิวารีที่แข็งแรง นักกีฬาผู้รักสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเชียวนะ จะพยศอะไรกันอีก นี่คงจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์หลากชนิดของตะวันบวกกับไข้ทับระดูเป็นแน่
จิวารีนั่งรอรับยาหลังจากตรวจเสร็จแล้วเพียงไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นหนึ่งที่เป็นเลิศด้านการบริการ ดูแล้วค่ารักษาน่าจะเอาเรื่องอยู่แต่เธอไม่รู้ตัวเลขเนื่องจากอิทธิพลเป็นธุระจัดการให้ทุกอย่าง เธอมีหน้าที่แค่นั่งรอเท่านั้น
“ขอบคุณนะดินที่พามาหาหมอ” จิวารีเอ่ยคำขอบคุณหลังจากขึ้นรถออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว
“ค่ารักษาเท่าไหร่เดี๋ยวฉันคืนให้นะ”
“ไม่เป็นไรเรามีบัตรรักษาฟรีไม่ต้องจ่ายอะไร”
โกหกชัด ๆ เห็นควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่ายาอยู่เลย ยังจะบอกรักษาฟรีอะไรก่อน สายเปย์เหมือนเอวากระมัง
“เป็นไงบ้างดีขึ้นไหม?” เขาถามเปลี่ยนเรื่อง
“อือ” พยักหน้า เป็นเพราะยาที่คุณหมอฉีดให้ที่ออกฤทธิ์เร็วเพียงไม่นานความปวดก็เริ่มทุเลาลง ส่งข้อความไปบอกที่บ้านและเอวาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล รถเคลื่อนไปตามถนนแต่ไม่ใช่เส้นทางที่จะกลับบ้านหรือคอนโดของเอวา
“จะไปไหนเหรอ?” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นทันที
“หิว” คือคำตอบสั้น ๆ
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบบริเวณร้านอาหารหรูหราหมาเห่า ตั้งแต่ทางเข้ายันเคาน์เตอร์ด้านหลัง แม้จะมีกลิ่นอาหารหลากเมนูปะทะจมูกบ้าง แต่ขณะเดียวกันกลิ่นอโรมาที่สร้างบรรยากาศจากโซนพักผ่อนถัดไปของมุมวีไอพีก็โชยมาอ่อน ๆ ให้ผ่อนคลาย แต่ยังไม่ทันจะป้อนคำถามใด ๆ เสียงเรียกก็ดังขึ้น
“มาแล้วเหรอลูก” สองหนุ่มสาวหันตามเสียงเรียกของดวงยี่หวา
“สวัสดีครับแม่”
“สวัสดีค่ะคุณน้า”
จิวารียกมือไหว้ดวงยี่หวาที่เดินออกมาทักทาย
“แม่ให้แม่ครัวเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้วไปกินก่อนเลยค่ะร้อน ๆ จะได้อร่อย” ส่งยิ้มให้สองหนุ่มสาว
“แม่ไม่กินเหรอครับ?”
“แม่ต้องออกไปทำธุระข้างนอกแต่รอเจอดินกับจิ๋วก่อน” เธอหันมองหน้าหญิงอ่อนวัยส่งยิ้มอ่อนโยนให้ พร้อมถามไถ่อาการป่วยของจิวารี
“หายไว ๆ นะลูกแม่ไปละนะวันหลังค่อยคุยกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
สองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโซนวีไอพี ที่แม่ครัวจัดเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยจนเต็มโต๊ะ
“ที่นี่ร้านนายเหรอ?”
“เปล่า...ร้านแม่”
“กินเถอะจะได้รับกลับไปพักผ่อน”
หญิงสาวกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ และลอบมองเพื่อนชายที่ตักข้าวใส่จานให้เธอและเขา แค่เหตุการณ์ในวันนั้นแค่ครั้งเดียวแม่ของเขาถึงกับใจดีและเอ็นดูเธอขนาดนี้ แค่ไม่สบายยังให้แม่ครัวทำกับข้าวไว้รอตั้งมากมาย คงจะเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเลยกระมัง ก็แน่ล่ะลูกคนเดียวนี่นา จากคำบอกเล่าของเอวา แต่ก็เป็นคนรวยที่มีน้ำใจไม่ใช่น้อย
“ขอบคุณนะดิน” เธอเอ่ยคำขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบคุณบ่อยจัง” ตวัดสายตามองหน้าเธอและยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับตักอาหารใส่จานให้
“อันนี้อร่อยลองชิมดู เมนูขึ้นชื่อของร้านเลยนะ กินเยอะๆ จะได้หายไว ๆ”
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







![คนดีของเฮียมังกร [ผัวเอวดุ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)