วันหนึ่งกงจื่อเย่ถูกใช้ให้ออกไปขนผักกับข้าวสารพร้อมกับทาสคนอื่น ๆ เขาจึงได้เห็นว่าสวีลู่ชิงกำลังเดินเล่นอยู่กับเจ้านายของเขา ท่าทีสนิทสนมและรอยยิ้มของนางทำให้เขาไม่พอใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าท่าทีเหล่านั้นควรมีให้แค่เขาจึงเผลอตรงลิ่วเข้าไปหาทั้งคู่ในทันที
มือข้างซ้ายเอื้อมจับแขนของนางพลันดวงตาเรียวงามหันขวับมามองด้วยความตกใจก่อนจะสะบัดมือออก
คุณชายลั่วหมิงแสยะยิ้มแล้วถีบทาสชั้นต่ำกระเด็นไปชนแผงร้านค้าข้างทางอย่างไม่สบอารมณ์ที่เขากล้ามาแตะต้องสตรีว่าที่คู่หมั้น
“ไอ้เดรัจฉาน วอนหาที่ตายรึ” เขาโพล่งออกมาทันควัน ไม่พูดเปล่าแต่เข้าไปกระทืบร่างทาสผู้นั้นระบายอารมณ์ต่อหน้าผู้คนในตลาด
กงจื่อเย่ไม่เอามือบังใบหน้าหรือศีรษะแม้แต่น้อย ทิ้งตัวไร้เรี่ยวแรงปล่อยให้ถูกกระทำฝ่ายเดียวจนหัวแตกได้เลือด
ทาสในเรือนที่มาด้วยกันยืนนิ่งคิดว่าสมควรแล้วที่เขาโดนฝ่าเท้าของเจ้านาย ใครใช้ให้หาเรื่องเข้าตัวอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้มันมีอะไรดีถึงได้ตายยากตายเย็น
ชาวบ้านละแวกนั้นได้แต่มองการกระทำของคุณชายสูงศักดิ์พลางซุบซิบกันจนกระทั่งคุณชายสวีขี่ม้าผ่านมาแถวนั้นพอดี”
“คุณชายลั่วหมิง ได้โปรดใจเย็นก่อนเถอะ” เขาเอ่ยบอกคนตรงหน้า “หากมีคนตายตรงนี้ ท่านอาจจะเดือดร้อนนะขอรับ”
“เฮอะ” เจ้าตัวแสยะเหลือบตามองทาสผู้นั้นด้วยสายตาเลือดเย็น “แค่ทาสผู้หนึ่งตายจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด มันกล้าเอามือสกปรกมาแตะต้องนาง เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหวาดกลัวเพียงใด โดนแค่นี้ยังน้อยไป วันนี้ข้าจะจัดการจนมันหลาบจำ”
“คุณหนู ข้าขอโทษขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” กงจื่อเย่พยายามเอ่ยปากบอกนาง “คุณหนูอยากลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ขอรับ อย่า... อย่ากลัวข้าไปเลย ข้าไม่มีวันทำร้ายคุณหนู”
“ไอ้นี่ หุบปากเจียมกะลาหัวไว้บ้าง” คุณชายลั่วหมิงไม่พอใจมากกว่าเดิมที่ได้ยินคำพูดของกงจื่อเย่ อันที่จริง เขารู้สึกขัดหูขัดตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คิดในใจว่าทาสผู้นี้ไม่ควรอยู่ในเรือนเขาเลยจริง ๆ
“คุณชาย รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าเบื่อหน้ามันแล้ว” นางบอกคนตรงหน้าแล้วเกี่ยวแขนเขาแนบชิดใกล้จนกงจื่อเย่นิ่วหน้า คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรอย่างเดิมอีกต่อไป
“มองอะไร” เสียงนั้นดังลั่น ฝ่าเท้ายันหน้าอกกงจื่อเย่อีกครั้ง “พาตัวมันกลับจวน ข้าเสร็จธุระเมื่อใดจะกลับไปสั่งสอนมันเอง”
“...” คุณชายสวีได้แต่นิ่งเงียบไม่อาจก้าวก่ายเรื่องในจวนผู้อื่นได้ หากบอกไปแล้วคนผู้นั้นไม่ฟังก็คงได้แต่ปล่อยไปและหวังว่ากงจื่อเย่จะหลาบจำเสียทีจะได้ไม่ถูกกระทำแบบเดิมซ้ำ ๆ
“ลู่ชิง เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะไม่ปล่อยให้มันเข้าใกล้เจ้าได้อีก” เขาบอกคนข้างกาย ความคิดในหัวโลดแล่นนึกอยากกลับจวนเสียตั้งแต่ตอนนี้จะได้สั่งสอนให้ทาสในเรือนรู้จักที่ต่ำที่สูง
ใครเล่าจะรู้ว่าหลังจากที่คุณชายลั่วหมิงกลับมาถึงจวน เขาจะคว้าเอาไม้ท่อนหนาทุบตีกงจื่อเย่ไม่ยั้งมือจนอีกฝ่ายเลือดตกยางออก สภาพสะบักสะบอมทำเอาเหล่าทาสและคนรับใช้ในจวนไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังเสียด้วยซ้ำ
เสียงตุ๊บตั๊บดังลั่นไปทั่ว หากแต่คนแถวนั้นพากันเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่รู้เรื่องราว
“เอะอะอะไรกันตั้งแต่นานแล้ว” ใต้เท้าลั่วเอ่ยถามพ่อบ้านหวังจื่อขณะกำลังจิบชาหลังกลับจากวังหลวง
“คุณชายลงโทษเจ้านั่นอยู่ขอรับ” เขาพูดแต่เพียงเท่านี้ ไม่ทันได้เอ่ยชื่อว่าเป็นผู้ใด ใต้เท้าลั่วเดาได้ในทันทีว่าเจ้านั่นคือใคร หากแต่เขาไม่คิดจะทำอันใดอยู่แล้วเพราะถึงอย่างไรทาสก็ยังเป็นทาสอยู่วันยังค่ำ
ฝ่ายฮูหยินใหญ่นิ่งเงียบไม่สนใจเรื่องราวใดนอกจากความสวยความงามของสตรี กล่าวโดยรวมแล้วผู้คนในจวนสกุลลั่วใช้ชีวิตราวกับกงจื่อเย่ไม่มีตัวตน
“ไอ้ทาสไม่เจียมตัว” คุณชายลั่วฟาดท่อนไม้ตามลำตัวกงจื่อเย่ซ้ำหลายครั้ง “ไอ้ทาสชั้นต่ำ แกกล้าดีอย่างไรมาแตะต้องตัวนาง”
“...” เวลานี้กงจื่อเย่แทบไม่ได้สติ เลือดไหลอาบใบหน้า หากเปิดเสื้อผ้าดูคงมีร่องรอยฟกช้ำเต็มร่างกาย
สายตาของคุณชายลั่วหมิงมองขาทั้งสองข้างของเขาพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย “ถ้าไม่มีขา แกก็คง...”
ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ
คนใจร้ายกระหน่ำตีท่อนขาข้างขวาของกงจื่อเย่อย่างแรงจนสลบไป แต่กระนั้นกลับไม่พอใจคิดว่าควรจะทำให้คนผู้นี้ตายเสียเพราะอยู่ไปก็รกหูรกตาเสียเปล่า
พรึ่บ
ก้อนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งกระเด็นใส่ดวงตาของเขาจนเจ้าตัวร้องลั่น พยายามหาว่าผู้ใดเป็นคนทำ เสียงดังเอะอะโวยวายมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวพลันมองดูคนที่สลบไปตั้งนานแล้วอย่างไม่สบอารมณ์
เดิมทีจะโทษว่าเขาเป็นต้นเหตุแต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ากงจื่อเย่ไม่มีสติและเรี่ยวแรงมากพอจะทำร้ายเขาแบบนั้น สภาพในตอนนี้จะเป็นหรือตายยังไม่รู้ได้เลย
“คุณชาย เลือดขอรับ คุณชายเลือดไหล” เสวี่ยหนานมองหน้าเจ้านาย ตกใจจนพูดไม่รู้เรื่อง “ข้าจะไปตามหมอมาให้ขอรับ”
คุณชายสกุลลั่วมองดูมือที่เปรอะเลือดได้แต่อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกกลัวว่าตนเองจะตาบอดรีบสั่งให้คนรับใช้ไปตามหมอมาโดยเร็ว เสียงร้องของเขาทำให้ใต้เท้าและฮูหยินต่างพากันมาดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวน วุ่นวายกันหลายชั่วยามปล่อยให้กงจื่อเย่นอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น
“นายน้อยขอรับ พวกเราถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งกับดวงชะตาครั้งนี้ ทำแบบนั้นจะโดนเขาลงโทษนะขอรับ” โจวเหวินหลงกล่าวกับอีนั่วพลันมองซ้ายมองขวากลัวว่าสวีต้าเฟิงจะตามมา
“ก็ไม่ได้ช่วยสักหน่อย ข้าแค่ดีดลูกหินเล่นแต่เผอิญมันบินไปตรงนั้นพอดี” มารน้อยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เกาแก้มตัวเองไปพลาง
ขณะที่เฉินซือหยางและหลิวอิงอิงยืนกอดอกอยู่ไม่ไกลกัน “ข้ารู้ว่านายท่านอยู่ในร่างนี้แล้วพลังมารจะลดลงแต่ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้ตนเองเลือดออกถึงเพียงนี้ ไอ้มนุษย์พวกนั้นเคี้ยวสองสามทีก็หมดจวนแล้ว” เฉินซือหยางเอ่ยพึมพำ
“โจวเหวินหลงเพิ่งจะพูดอยู่หยก ๆ ว่านายท่านต้องผ่านด่านเคราะห์ ถ้ายังใช้พลังมารได้อยู่ ไม่รับรู้ถึงความลำบากมีหวังเจ้าเทพวายุคงจะแกล้งสารพัดมากกว่าเดิม” หลิวอิงอิงครุ่นคิดว่าแผนที่เจ้านายวางเอาไว้คงจะเป็นเช่นนี้
ทว่า อีนั่วกลับยิ้มบางอย่างมีเลศนัยเพราะเข้าใจความรู้สึกของบิดาว่าทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดแล้วสั่งให้ทุกคนกลับภพมารก่อนที่เทพวายุจับได้ว่าพากันแอบมาแดนมนุษย์
หิมะยังคงร่วงหล่นลงลานดินตลอดทั้งวัน ปกคลุมร่างไม่ได้สติจนแทบกลายเป็นหลุมฝังศพของเขาไปแล้ว
ช่วงจังหวะนั้นผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สวีลู่ชิงและพี่ชายมาเยี่ยมเยียนคุณชายสกุลลั่วที่เรือนหลักหลังจากรู้เรื่องที่ดวงตาของเขาบาดเจ็บ
นางเพิ่งสังเกตได้ว่าครั้งนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของทาสที่คอยสร้างความรำคาญใจเหมือนอย่างเคย หันซ้ายแลขวานึกแปลกใจไม่น้อยจนกระทั่งคุณชายสวีปลีกตัวออกมาเพื่อให้นางได้อยู่กับว่าที่คู่หมั้นสองต่อสอง เผื่อทำให้เจ้านายสกุลลั่วใจเย็นลงมาบ้างเพราะมัวแต่กังวลกลัวตนเองจะมองไม่เห็นอีกครั้ง
แท้จริงแล้ว เขาตั้งใจเดินหากงจื่อเย่เสียมากกว่าเพราะรู้สึกว่าผิดสังเกตไปเหมือนกัน หากคาดเดาจากอุปนิสัยของสหายผู้นี้แล้ว ทาสที่สร้างความขุ่นข้องใจแม้ว่าจะอยู่เฉย ๆ อย่างกงจื่อเย่คงจะโดนทำโทษไปไม่น้อย
กลิ่นของบางอย่างฉุนเข้าจมูกเขารู้ได้ในทันทีว่าเป็นกลิ่นของอะไร ยิ่งได้เห็นว่าน้ำสีแดงเปรอะเปื้อนหิมะสีขาวยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ใต้กองหิมะทับถมเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น
คุณชายสวีรีบวิ่งไปดูอาการอีกฝ่ายด้วยความเวทนา อังจมูกจับชีพจรเพราะไม่รู้ว่าร่างกายที่เย็นเฉียบนั้นตายไปแล้วหรือไม่
บ่าวในเรือนไม่สนใจชีวิตของกงจื่อเย่เป็นทุนเดิมเพราะเขาคือทาสที่ถูกใต้เท้าลั่วซื้อตัวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังให้คิดเป็นบุณคุณเสียด้วยซ้ำว่าถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือป่านนี้คงจะกลายเป็นศพฝังร่วมกับเชลยคนอื่น ๆ แล้วถึงแม้รอดพ้นคืนวันนั้นมาได้ แต่การที่เขาโดนกระทำอย่างทุกวันนี้ก็เหมือนตกนรกเสียยิ่งกว่าจนทำให้ทาสและบ่าวในเรือนคิดว่าหากเขาตายไปตั้งแต่ตอนนั้นคงจะดีคนที่มีชีวิตรอดมาเพื่อโดนทรมานแทบสิ้นลมจะอดทนทำไมนักหนาครั้งนี้คุณชายลั่วถูกสะเก็ดก้อนหินกระเด็นเข้าตาจึงพากันลืมไปเลยว่าเขาบาดเจ็บสิ้นสติอยู่ตรงนี้เพียงลำพังคุณชายสวีกวาดกองหิมะที่ปกคลุมออกแล้วตรวจร่างกายกงจื่อเย่คร่าว ๆ ลมหายใจรวยรินทำให้เขาคิดหนักว่าควรให้ความช่วยเหลือทาสในจวนสกุลลั่วอย่างไร
วันหนึ่งกงจื่อเย่ถูกใช้ให้ออกไปขนผักกับข้าวสารพร้อมกับทาสคนอื่น ๆเขาจึงได้เห็นว่าสวีลู่ชิงกำลังเดินเล่นอยู่กับเจ้านายของเขา ท่าทีสนิทสนมและรอยยิ้มของนางทำให้เขาไม่พอใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าท่าทีเหล่านั้นควรมีให้แค่เขาจึงเผลอตรงลิ่วเข้าไปหาทั้งคู่ในทันทีมือข้างซ้ายเอื้อมจับแขนของนางพลันดวงตาเรียวงามหันขวับมามองด้วยความตกใจก่อนจะสะบัดมือออกคุณชายลั่วหมิงแสยะยิ้มแล้วถีบทาสชั้นต่ำกระเด็นไปชนแผงร้านค้าข้างทางอย่างไม่สบอารมณ์ที่เขากล้ามาแตะต้องสตรีว่าที่คู่หมั้น“ไอ้เดรัจฉาน วอนหาที่ตายรึ” เขาโพล่งออกมาทันควัน ไม่พูดเปล่าแต่เข้าไปกระทืบร่างทาสผู้นั้นระบายอารมณ์ต่อหน้าผู้คนในตลาดกงจื่อเย่ไม่เอามือบังใบหน้าหรือศีรษะแม้แต่น้อย ทิ้งตัวไร้เรี่ยวแรงปล่อยให้ถูกกระทำฝ่ายเดียวจนหัวแตกได้เล
เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวชายหนุ่มอายุสิบแปดนามว่ากงจื่อเย่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เวลานี้มีหิมะโปรยปรายลงมา นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทาจากความหนาวอยู่ที่ด้านนอกเรือนใหญ่เพราะถูกคุณชายลงโทษด้วยความไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิมเขาได้แต่อดทนอดกลั้นอยู่ในใจที่จะไม่ทำอะไรคนพวกนั้นเพราะชาตินี้ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวให้สมกับบทบาททาสในเรือนแสนรันทด“เอาน้ำไปสาดมันอีก” เสียงคุ้นเคยสั่งทาสตัวเองพร้อมแสยะยิ้ม คุณชายลั่วหมิง บุตรชายเพียงคนเดียวของใต้เท้าลั่ว เสนาบดีกรมกลาโหมนั่งกระดิกเท้ามองดูทาสผู้ต่ำต้อยอย่างสบายอารมณ์เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น เสวี่ยหนาน คนรับใช้ของเขาจึงรีบกุลีกุจอตักน้ำในบ่อขึ้นมาทันที ขณะกำลังจะสาดไปที่กงจื่อเย่กลับถูกเจ้านายห้ามเอาไว้ก่อน“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให
หากแต่อีนั่วเติบโตขึ้นมาด้วยความรักของคนทั้งสองแม้จะขาดต้นไม้แห่งชีวิตไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ยังคงสามารถควบคุมความโกรธของตัวเองเอาไว้ได้จอมมารถอนหายใจแต่กระนั้นโล่งใจได้ไม่นานเพราะเทพอาวุโสประกาศกร้าวว่าเขาและอีนั่วคือศัตรู สั่งเพิ่มกองกำลังล้อมตัวและร่ายเขตแดนกักมารสายฟ้าแลบแปลบปลาบยังทำให้กงจื่อเย่ห่วงสวีลู่ชิงไม่แพ้กันจึงเรียกดาบเขี้ยวอสูรมาจัดการพวกที่ขัดขวางเทพวายุจนถอยร่นแล้วส่งตัวอีนั่วให้เขาดูแลก่อนฝ่าเข้าไปใจกลางพายุอสนีบาตเพื่อรับโทษแทนสวีลู่ชิงเขาฉวยโอกาสตอนเทพดารานิ่งงันเพราะสับสนความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาจากต้นไม้แห่งชีวิตของอีนั่ว เรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันผสมปนเปกันจนนางแยกไม่ออกว่าตัวตนใดคือนางกันแน่เวลานั้นสัมผัสได้ว่าใครบางคนกอดนางเอาไว
เทพดาราทนคำพูดประเภทนั้นไม่ไหวจึงหายตัวหนีหน้าจอมมารชั่วพริบตาถึงอย่างนั้นแล้ว เขากลับตามนางมาที่หมู่บ้านดอกท้อด้วยจนเหล่าเซียนแตกตื่นลนลานอยู่ไม่สุขสวีต้าเฟิงนั่งเล่นอยู่นอกชานกับอีนั่วพลันขมวดคิ้วทันใด “อย่าบอกนะว่า...”อีนั่วรู้ว่าผู้เป็นลุงจะพูดว่าอะไรจึงตอบต่อท้ายให้ “ท่านพ่อยังจำเรื่องราวของท่านแม่ได้เหมือนเดิมขอรับ”“เป็นไปไม่ได้” เทพวายุส่ายหน้าแต่กลับเห็นภาพจอมมารพยายามโปรยเสน่ห์ให้น้องสาวโดยไม่สนสายตาใครก็เปลี่ยนความคิดแล้วถามหลานชาย“ข้าสงสัยมานานแล้วว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบิดามารดาเจ้ารู้สึกเช่นไรกับอีกฝ่าย”มารน้อยทำสีหน้
สวีลู่ชิงฟังเรื่องราวจากบุตรชายแล้วคิดหาเหตุผลร้อยแปดประการสนับสนุนการตัดสินใจของตนเองทั้งยังปรึกษาหารือกับเทพวายุผู้เป็นพี่ชายรวมถึงสมุนมารทั้งสามอีกด้วยนางอยากรู้ว่าสิ่งที่นางคิดทำต่อไปนี้จะเกิดผลกระทบมากน้อยเพียงใดจนได้ข้อสรุปสุดท้ายเทพดาราพาจอมมารไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเขตแดนสวรรค์ เอ่ยถามความในใจของอีกฝ่ายไม่อ้อมค้อม “เจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า”“...” ดวงตาสีม่วงแดงเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย “ทำไมถึงต้องพาข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเล่า”“ข้าจำเรื่องราวของตัวเจ้าในอดีตไม่ได้เลย ด่านเคราะห์ครั้งแรกข้ายังจำทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเจ้าร้ายกาจเสียจนข้าอยากลืมเลือนหรือ”คำพูดของน
หลังเหตุการณ์ลักพาตัวสิ้นสุดลงเรื่องราวของอีนั่วถูกรายงานให้เทียนจวินได้รับรู้ เหล่าเทพเซียนอาวุโสต่างถกเถียงกันหลายชั่วยามด้วยความเคร่งเครียด หาวิธีควบคุมมารน้อยเพราะเกรงว่าเขาจะก่อความวุ่นวายเหมือนที่บิดาเคยทำสวีต้าเฟิงยังคงปกป้องน้องสาวและหลานชายเหมือนอย่างเคย “ข้ารับรองได้ว่าเขาไม่เป็นภัยต่อผู้ใดขอรับ”“ข้ายืนยันว่าอีนั่วเป็นเพียงมารน้อยธรรมดา หาใช่มารร้ายอย่างที่พวกท่านคิด เขาเป็นเพียงบุตรชายของข้า” สวีลู่ชิงเผชิญหน้ากับเทพอาวุโสเวลานี้ความเห็นถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายแต่ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่าอีนั่วไม่ควรเพ่นพ่านอยู่ในแดนสวรรค์ อีกทั้งยังต้องมีกองกำลังคอยจับตามองไม่ให้เขาฉวยโอกาสทีเผลอทำร้ายผู้ใดจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าให
ดินแดนสุญญตาสถานที่ที่อยู่ระหว่างภพมารและภพสวรรค์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าที่รกร้างว่างเปล่าจะมีมารที่มีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนตัวอยู่นับพันปีขณะที่กงจื่อเย่กำลังต่อสู้กับหลิ่งปินเพื่อแย่งชิงเทพดารากลับมา กองทัพสวรรค์ของเทพสงครามและสวีต้าเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมการศึกสงครามในครั้งนี้ในสายตาของเทพเซียนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมองว่าศัตรูที่เป็นภัยต่อสามภพมากที่สุดคือกงจื่อเย่ อดีตจอมมารที่เพิ่งจะสูญสลายไปไม่นานไม่ว่าจะมองอย่างไร ร่างกายและพลังที่สมบูรณ์เกินกว่าที่ควรคงเป็นเพราะเขาเร่งกลืนกินพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ว่าสติยังคงอยู่ครบถ้วนหรือเลือนหายแล้วใช้สัญชาตญาณนำทางอยู่กันแน่“ช้าก่อน” สวีต้าเฟิงออกคำสั่งห้ามทหารสวรรค์เคลื่อนไหวก่อนดูลาดเลาฉากการต่อสู้
เมื่อได้ยินเสียงมารน้อยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลับมาสมบูรณ์ แม้จะพยายามส่งกระแสจิตหาอีนั่วสักเท่าใด เขากลับไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายเลย“มันผู้ใดกล้าทำร้ายลูกเมียข้า” พลังมารชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ความโกรธกราดเกรี้ยวยิ่งทำให้พลังที่อยู่รอบตัวเขากลายเป็นยาพิษชั้นดีบ่อนทำลายสัตว์อสูรทีละนิดจอมมารสูบกลืนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าไปโดยไม่รู้ตัวแทบจะหลงลืมไปชั่วขณะว่าเขาคือผู้ใด พลันลึก ๆ ในใจเหมือนมีสายลมพริ้วไหวพัดผ่านต้นไม้แห่งชีวิตของเขา ดวงตาสีม่วงแดงจึงค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ“เยว่ชิงหรือ” เขาพึมพำสัมผัสความรู้สึกนั้น “เป็นเจ้าจริงหรือ”เขาหลับตาลงปล่อยใจหลงใหลกับสัมผัสอบอุ่นนั้นชั่วขณะ เมื่อพึงพอใจแล้วจึงกลับมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรต