บ่าวในเรือนไม่สนใจชีวิตของกงจื่อเย่เป็นทุนเดิมเพราะเขาคือทาสที่ถูกใต้เท้าลั่วซื้อตัวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังให้คิดเป็นบุณคุณเสียด้วยซ้ำว่าถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือป่านนี้คงจะกลายเป็นศพฝังร่วมกับเชลยคนอื่น ๆ แล้ว
ถึงแม้รอดพ้นคืนวันนั้นมาได้ แต่การที่เขาโดนกระทำอย่างทุกวันนี้ก็เหมือนตกนรกเสียยิ่งกว่าจนทำให้ทาสและบ่าวในเรือนคิดว่าหากเขาตายไปตั้งแต่ตอนนั้นคงจะดี
คนที่มีชีวิตรอดมาเพื่อโดนทรมานแทบสิ้นลมจะอดทนทำไมนักหนา
ครั้งนี้คุณชายลั่วถูกสะเก็ดก้อนหินกระเด็นเข้าตาจึงพากันลืมไปเลยว่าเขาบาดเจ็บสิ้นสติอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง
คุณชายสวีกวาดกองหิมะที่ปกคลุมออกแล้วตรวจร่างกายกงจื่อเย่คร่าว ๆ ลมหายใจรวยรินทำให้เขาคิดหนักว่าควรให้ความช่วยเหลือทาสในจวนสกุลลั่วอย่างไร
“เอ่อ คุณชายสวีขอรับ” หนึ่งในบ่าวรับใช้สีหน้าเลิ่กลั่กไม่คิดว่าแขกคนสำคัญจะมาเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้
“เกิดเรื่องอันใดถึงต้องถูกทำโทษรุนแรงมากเพียงนี้” เขาเอ่ยถามความจริงพลางคาดเดาคำตอบจากคนตรงหน้า
“ข้าน้อยได้ยินเพียงว่ามันไปแตะต้องตัวคุณหนูสวี คุณชายลั่วหมิงจึงลงโทษขอรับ แต่มันไม่ยอมพูดเสียทีว่าจะไม่ทำอีก” เขาหันซ้ายหันขวากลัวว่าใครจะมาเห็นเข้าว่าพูดเรื่องในจวนให้ตนนอกรับรู้ “เอ่อ... คุณชาย มันตายหรือยังขอรับ”
“เฮ้อ... ยัง... แต่อาการไม่สู้ดีนัก เรียกหมอมารักษาก่อนจะสายดีกว่า” คุณชายสวีกล่าวกับบ่าว แต่เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะทำตามจึงถามย้ำอีกครั้ง “จะปล่อยให้เขาตายต่อหน้าเจ้าหรืออย่างไร”
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ คุณชายลั่วไม่มีคำสั่งอื่นใด ข้าน้อยไม่กล้าตามหมอมาหรอกขอรับ”
ท่าทางหวาดกลัวของเขาพอจะทำให้คุณชายสวีเดาออก ในใจเริ่มคิดแล้วว่าการหมั้นหมายของน้องสาวเพียงคนเดียวกับบุตรชายสกุลลั่วดูไม่เข้าท่าเสียเลย
บิดาของทั้งสองสกุลรู้จักกันมานาน พวกเขาจึงอยากให้บุตรสาวบุตรชายหมั้นหมายกันไม่ใช่เรื่องแปลก แถมคุณชายลั่วยังเป็นสหายร่วมชั้นเรียนเดียวกันกับคุณชายสวี แน่นอนว่าต้องมีภาษีดีกว่าคนอื่น ๆ
ทว่า เมื่อครั้งที่ได้ยินว่าน้องสาวต้องแต่งงานกับผู้ใด คุณชายสวีกลับคัดค้านจนทุกคนได้แต่สงสัยว่าคุณชายบ้านนั้นไม่ดีตรงไหน เขาได้แต่บอกเพียงว่าสัญชาตญาณมันฟ้อง ฉากเบื้องหน้าที่เขาแสดงให้เห็นนั้นอาจมีเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่
กฎเก่าแก่ของบ้านเมืองนี้ค่อนข้างแปลก ทาสที่เกิดจากเชลยต่างเมืองมักถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของไร้ชีวิต เจ้านายมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง หากสั่งให้ไปตายก็ต้องยอมทำตามโดยไม่มีข้อแม้
แม้ทุกวันนี้ อดีตฮ่องเต้ชำระล้างกฎข้อนั้นไปแล้วเพราะเห็นสมควรว่าหนึ่งชีวิตย่อมมีค่าเท่ากันแต่ขุนนางสูงศักดิ์กลับไม่ยอมรับง่าย ๆ
หลายจวนในเมืองหลวงแห่งนี้จึงมีเรื่องราวมืดมนซ่อนอยู่ไม่น้อย ขอเพียงแค่หลบอยู่ใต้จมูก อย่าให้เรื่องพวกนี้ถึงพระเนตรพระกรรณก็พอ
บางครั้ง ฮ่องเต้มิอาจทำทุกอย่างตามพระทัยได้เพราะอำนาจที่ไม่เข้มแข็งพอยืนหยัดเหนือเสนาบดีฝ่ายต่าง ๆ เรื่องราวร้องเรียนที่อยู่ในฎีกาจึงมักเกิดขึ้นเพราะฝ่ายตรงข้ามพยายามหาเรื่องตัดอำนาจบริหารเสียมากกว่า
คุณชายสวีส่ายหน้าแล้วกระซิบบอกบ่าวผู้นั้นว่า “เขาตายแล้วล่ะ รีบไปรายงานคุณชายลั่วเถอะจะได้จัดการศพให้เรียบร้อย ปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ เกิดโรคระบาดขึ้นมาคงมีแต่พวกเจ้าที่จะซวยซ้ำซ้อนไม่มีทางรักษา”
“ตะ... ตายอย่างนั้นหรือขอรับ แต่เมื่อครู่ คุณชายบอกว่ายัง”
“เจ้ามัวแต่ลีลาไม่ช่วยเหลือสักที ตอนนี้สายไปเสียแล้ว ยังไม่รีบไปรายงานอีกรึ แล้วอย่าบอกล่ะว่าเห็นข้าที่นี่” แววตาของเขาดุดันคาดโทษที่คนตรงหน้าไม่ยอมทำตามที่บอก ทำท่าจะดึงดาบออกจากฝักถ้าบ่าวผู้นั้นยังชักช้าอยู่
“ขอรับ” เขาพยักหน้าแล้วรีบวิ่งแจ้นไปหาเจ้านายในทันที
ช่วงจังหวะที่ไม่มีใครอยู่ คุณชายสวีหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงที่พกติดตัวเป็นประจำแล้วหยิบใส่ปากของกงจื่อเย่ พึมพำว่า “อดทนอีกหน่อย หากยังโชคดีอยู่บ้างเจ้าคงรอดมาได้”
เมื่อคุณชายลั่วได้ยินบ่าวรับใช้บอกเช่นนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูสวี ข้ารู้สึกปวดตรงนี้เล็กน้อย เห็นทีต้องพักผ่อนเสียแล้ว”
“เจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพลันเห็นว่าพี่ชายเดินมาหาพอดี “ท่านพี่ วันนี้คงต้องรีบกลับแล้ว คุณชายลั่วจะได้พักผ่อน”
“อืม” เขาพยักหน้าไม่พูดอะไรมากความ “เอาไว้วันหลังพวกข้าจะมาเยี่ยมใหม่ หวังว่าคุณชายจะหายดีในเร็ววัน”
“ขอบคุณ” เสียงร่ำลาผ่านไปครู่หนึ่ง คุณชายสกุลลั่วจึงวิ่งไปดูทาสผู้นั้นในทันที สั่งบ่าวที่ยืนรออยู่ว่า “ไปดูสิว่ามันตายหรือยัง”
หนึ่งในนั้นกล้า ๆ กลัว ๆ เอามืออังจมูกที่ไร้ลมหายใจก่อนหันมาบอกเจ้านายว่า “ตายแล้วขอรับ”
“เฮอะ รีบเอาไปทิ้งให้ห่างจากจวนข้า” คุณชายสั่งบ่าวพวกนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ต่อไปนี้จะไม่มีผู้ใดให้เขาระบายอารมณ์ได้ตามใจอีกแล้ว
สายตาชั่วร้ายมองรอบตัวหาเหยื่อคนต่อไปจนทำให้พวกบ่าวรับใช้ที่เหลือขนลุกซู่ไปตาม ๆ กัน
ข้างนอกนั้น
คุณชายสวีสั่งให้คนติดตามแยกตัวไปล่วงหน้าแต่ระหว่างทางพบเจอคนรู้จักจึงหยุดสนทนาทักทายตามประสา “ลู่ชิง เจ้ารอข้าที่ร้านเครื่องประดับสักครู่ได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” สวีลู่ชิงยิ้มให้เขาเหมือนอย่างเคยพลางยืนเลือกเครื่องประดับจากต่างเมือง
เสียงแปลกประหลาดเบา ๆ ทำให้นางสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเพราะคิดว่ามีคนเข้ามาใกล้ แต่เมื่อหันกลับไปไม่มีผู้ใดยืนอยู่รอบตัวนางเลย
หากแต่เสียงนั้นยังคงล่องลอยมาจากที่แห่งหนึ่งไม่ไกลนักจนทำให้นางสงสัยขึ้นมา สีหน้าของบ่าวที่อยู่ข้างกายนางเหมือนไม่รับรู้เสียงนั้นด้วย สวีลู่ชิงเผลอเดินตามหาต้นเสียงไปอีกทางหนึ่งผ่านซอกซอยเล็ก ๆ ข้างร้านเครื่องประดับเพียงลำพัง
จนกระทั่งได้เห็นว่าบ่าวจวนสกุลลั่วหน้าตาคุ้น ๆ กำลังไสรถเข็นไม้ไปที่ด้านหลังหมู่บ้านด้วยความทุลักทุเล
พื้นดินขรุขระมีก้อนหินเล็กระหว่างทางทำให้ล้อรถเข็นสะเทือนหลายครั้งจนมือข้างซ้ายของใครบางคนโผล่ออกมาจากเสื่อที่ห่อตัวเขาเอาไว้
ทันทีที่เห็นสร้อยลูกปัดสีม่วงแดงฟ้าเส้นเล็ก ๆ ที่ข้อมือข้างนั้น ดวงตาของสวีลู่ชิงเบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะจำได้ว่าของสิ่งนั้นผู้ใดเป็นเจ้าของ
เลือดที่เปรอะเปื้อนทั่วมือทำให้นางนึกถึงสิ่งที่คุณชายสกุลลั่วกล่าวก่อนจากกันวันนั้นว่าจะลงโทษทาสที่บังอาจแตะต้องนางให้สาสม
หัวใจของสวีลู่ชิงเต้นรัว แววตาสั่นระริกเพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณชายลั่วหมิงจะทำโทษรุนแรงถึงปานนั้น
“ลู่ชิง” เสียงเรียกของพี่ชายทำให้นางตื่นจากความคิดตนเอง ใบหน้างามซีดเผือดเพราะสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ทำให้พี่ชายมองไปทางนั้นจึงรู้ได้ในทันที
“ท่านพี่...” นางเรียกคนตรงหน้า มือสองข้างจับชายแขนเสื้อของเขา “ท่านพี่... ข้า...ข้าจำสร้อยข้อมือเส้นนั้นได้...เป็นเขา...”
“ลู่ชิง เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน หายใจเข้าออกช้า ๆ” คนเป็นพี่พยายามปลอบนาง
“เป็นเพราะข้าหรือ ข้าทำให้เขาถูกลงโทษ” น้ำตาเริ่มเอ่อคลอเบ้า แววตาเศร้ารู้สึกผิดมองพี่ชายเหมือนกลั้นความรู้สึกท่วมท้นในใจไม่ไหว “ท่านพี่... ข้าไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่ไม่อยากให้เขามายุ่งกับข้า แต่ว่า... แต่ข้ากลับทำให้เขา...”
คุณชายสวีถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกอดนางเอาไว้ กระซิบบอกว่า “เมื่อครู่ข้าเจอเขา ยังไม่ตายหรอก ข้าสั่งให้คนตามไปแล้ว ข้ารู้ว่าเขาเข้มแข็งมากพอ เจ้ารออีกสักหน่อยเถอะนะ”
เขาคาดการณ์ว่าบ่าวพวกนั้นคงจะทิ้งร่างกงจื่อเย่ไว้ในป่าเพื่อล่อให้สัตว์ล่าเนื้อทำลายซากจนเหลือแต่กระดูกจะได้ไม่ต้องจัดการหาที่ฝังศพให้ยุ่งยาก ช่วงที่พวกเขากลับออกมา คนของสกุลสวีจะเข้าไปช่วยเหลือแล้วพากงจื่อเย่ไปรักษาตัวที่อื่น
เมื่อทำอย่างนั้น คุณชายลั่วหมิงจะได้เข้าใจว่ากงจื่อเย่ตายไปแล้ว ส่วนทาสที่เคยอยู่ใต้บัญชาก็จะได้หลุดพ้นสถานะนั้นเสียที
บ่าวในเรือนไม่สนใจชีวิตของกงจื่อเย่เป็นทุนเดิมเพราะเขาคือทาสที่ถูกใต้เท้าลั่วซื้อตัวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังให้คิดเป็นบุณคุณเสียด้วยซ้ำว่าถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือป่านนี้คงจะกลายเป็นศพฝังร่วมกับเชลยคนอื่น ๆ แล้วถึงแม้รอดพ้นคืนวันนั้นมาได้ แต่การที่เขาโดนกระทำอย่างทุกวันนี้ก็เหมือนตกนรกเสียยิ่งกว่าจนทำให้ทาสและบ่าวในเรือนคิดว่าหากเขาตายไปตั้งแต่ตอนนั้นคงจะดีคนที่มีชีวิตรอดมาเพื่อโดนทรมานแทบสิ้นลมจะอดทนทำไมนักหนาครั้งนี้คุณชายลั่วถูกสะเก็ดก้อนหินกระเด็นเข้าตาจึงพากันลืมไปเลยว่าเขาบาดเจ็บสิ้นสติอยู่ตรงนี้เพียงลำพังคุณชายสวีกวาดกองหิมะที่ปกคลุมออกแล้วตรวจร่างกายกงจื่อเย่คร่าว ๆ ลมหายใจรวยรินทำให้เขาคิดหนักว่าควรให้ความช่วยเหลือทาสในจวนสกุลลั่วอย่างไร
วันหนึ่งกงจื่อเย่ถูกใช้ให้ออกไปขนผักกับข้าวสารพร้อมกับทาสคนอื่น ๆเขาจึงได้เห็นว่าสวีลู่ชิงกำลังเดินเล่นอยู่กับเจ้านายของเขา ท่าทีสนิทสนมและรอยยิ้มของนางทำให้เขาไม่พอใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าท่าทีเหล่านั้นควรมีให้แค่เขาจึงเผลอตรงลิ่วเข้าไปหาทั้งคู่ในทันทีมือข้างซ้ายเอื้อมจับแขนของนางพลันดวงตาเรียวงามหันขวับมามองด้วยความตกใจก่อนจะสะบัดมือออกคุณชายลั่วหมิงแสยะยิ้มแล้วถีบทาสชั้นต่ำกระเด็นไปชนแผงร้านค้าข้างทางอย่างไม่สบอารมณ์ที่เขากล้ามาแตะต้องสตรีว่าที่คู่หมั้น“ไอ้เดรัจฉาน วอนหาที่ตายรึ” เขาโพล่งออกมาทันควัน ไม่พูดเปล่าแต่เข้าไปกระทืบร่างทาสผู้นั้นระบายอารมณ์ต่อหน้าผู้คนในตลาดกงจื่อเย่ไม่เอามือบังใบหน้าหรือศีรษะแม้แต่น้อย ทิ้งตัวไร้เรี่ยวแรงปล่อยให้ถูกกระทำฝ่ายเดียวจนหัวแตกได้เล
เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวชายหนุ่มอายุสิบแปดนามว่ากงจื่อเย่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เวลานี้มีหิมะโปรยปรายลงมา นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทาจากความหนาวอยู่ที่ด้านนอกเรือนใหญ่เพราะถูกคุณชายลงโทษด้วยความไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิมเขาได้แต่อดทนอดกลั้นอยู่ในใจที่จะไม่ทำอะไรคนพวกนั้นเพราะชาตินี้ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวให้สมกับบทบาททาสในเรือนแสนรันทด“เอาน้ำไปสาดมันอีก” เสียงคุ้นเคยสั่งทาสตัวเองพร้อมแสยะยิ้ม คุณชายลั่วหมิง บุตรชายเพียงคนเดียวของใต้เท้าลั่ว เสนาบดีกรมกลาโหมนั่งกระดิกเท้ามองดูทาสผู้ต่ำต้อยอย่างสบายอารมณ์เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น เสวี่ยหนาน คนรับใช้ของเขาจึงรีบกุลีกุจอตักน้ำในบ่อขึ้นมาทันที ขณะกำลังจะสาดไปที่กงจื่อเย่กลับถูกเจ้านายห้ามเอาไว้ก่อน“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให
หากแต่อีนั่วเติบโตขึ้นมาด้วยความรักของคนทั้งสองแม้จะขาดต้นไม้แห่งชีวิตไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ยังคงสามารถควบคุมความโกรธของตัวเองเอาไว้ได้จอมมารถอนหายใจแต่กระนั้นโล่งใจได้ไม่นานเพราะเทพอาวุโสประกาศกร้าวว่าเขาและอีนั่วคือศัตรู สั่งเพิ่มกองกำลังล้อมตัวและร่ายเขตแดนกักมารสายฟ้าแลบแปลบปลาบยังทำให้กงจื่อเย่ห่วงสวีลู่ชิงไม่แพ้กันจึงเรียกดาบเขี้ยวอสูรมาจัดการพวกที่ขัดขวางเทพวายุจนถอยร่นแล้วส่งตัวอีนั่วให้เขาดูแลก่อนฝ่าเข้าไปใจกลางพายุอสนีบาตเพื่อรับโทษแทนสวีลู่ชิงเขาฉวยโอกาสตอนเทพดารานิ่งงันเพราะสับสนความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาจากต้นไม้แห่งชีวิตของอีนั่ว เรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันผสมปนเปกันจนนางแยกไม่ออกว่าตัวตนใดคือนางกันแน่เวลานั้นสัมผัสได้ว่าใครบางคนกอดนางเอาไว
เทพดาราทนคำพูดประเภทนั้นไม่ไหวจึงหายตัวหนีหน้าจอมมารชั่วพริบตาถึงอย่างนั้นแล้ว เขากลับตามนางมาที่หมู่บ้านดอกท้อด้วยจนเหล่าเซียนแตกตื่นลนลานอยู่ไม่สุขสวีต้าเฟิงนั่งเล่นอยู่นอกชานกับอีนั่วพลันขมวดคิ้วทันใด “อย่าบอกนะว่า...”อีนั่วรู้ว่าผู้เป็นลุงจะพูดว่าอะไรจึงตอบต่อท้ายให้ “ท่านพ่อยังจำเรื่องราวของท่านแม่ได้เหมือนเดิมขอรับ”“เป็นไปไม่ได้” เทพวายุส่ายหน้าแต่กลับเห็นภาพจอมมารพยายามโปรยเสน่ห์ให้น้องสาวโดยไม่สนสายตาใครก็เปลี่ยนความคิดแล้วถามหลานชาย“ข้าสงสัยมานานแล้วว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบิดามารดาเจ้ารู้สึกเช่นไรกับอีกฝ่าย”มารน้อยทำสีหน้
สวีลู่ชิงฟังเรื่องราวจากบุตรชายแล้วคิดหาเหตุผลร้อยแปดประการสนับสนุนการตัดสินใจของตนเองทั้งยังปรึกษาหารือกับเทพวายุผู้เป็นพี่ชายรวมถึงสมุนมารทั้งสามอีกด้วยนางอยากรู้ว่าสิ่งที่นางคิดทำต่อไปนี้จะเกิดผลกระทบมากน้อยเพียงใดจนได้ข้อสรุปสุดท้ายเทพดาราพาจอมมารไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเขตแดนสวรรค์ เอ่ยถามความในใจของอีกฝ่ายไม่อ้อมค้อม “เจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า”“...” ดวงตาสีม่วงแดงเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย “ทำไมถึงต้องพาข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเล่า”“ข้าจำเรื่องราวของตัวเจ้าในอดีตไม่ได้เลย ด่านเคราะห์ครั้งแรกข้ายังจำทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเจ้าร้ายกาจเสียจนข้าอยากลืมเลือนหรือ”คำพูดของน
หลังเหตุการณ์ลักพาตัวสิ้นสุดลงเรื่องราวของอีนั่วถูกรายงานให้เทียนจวินได้รับรู้ เหล่าเทพเซียนอาวุโสต่างถกเถียงกันหลายชั่วยามด้วยความเคร่งเครียด หาวิธีควบคุมมารน้อยเพราะเกรงว่าเขาจะก่อความวุ่นวายเหมือนที่บิดาเคยทำสวีต้าเฟิงยังคงปกป้องน้องสาวและหลานชายเหมือนอย่างเคย “ข้ารับรองได้ว่าเขาไม่เป็นภัยต่อผู้ใดขอรับ”“ข้ายืนยันว่าอีนั่วเป็นเพียงมารน้อยธรรมดา หาใช่มารร้ายอย่างที่พวกท่านคิด เขาเป็นเพียงบุตรชายของข้า” สวีลู่ชิงเผชิญหน้ากับเทพอาวุโสเวลานี้ความเห็นถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายแต่ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่าอีนั่วไม่ควรเพ่นพ่านอยู่ในแดนสวรรค์ อีกทั้งยังต้องมีกองกำลังคอยจับตามองไม่ให้เขาฉวยโอกาสทีเผลอทำร้ายผู้ใดจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าให
ดินแดนสุญญตาสถานที่ที่อยู่ระหว่างภพมารและภพสวรรค์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าที่รกร้างว่างเปล่าจะมีมารที่มีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนตัวอยู่นับพันปีขณะที่กงจื่อเย่กำลังต่อสู้กับหลิ่งปินเพื่อแย่งชิงเทพดารากลับมา กองทัพสวรรค์ของเทพสงครามและสวีต้าเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมการศึกสงครามในครั้งนี้ในสายตาของเทพเซียนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมองว่าศัตรูที่เป็นภัยต่อสามภพมากที่สุดคือกงจื่อเย่ อดีตจอมมารที่เพิ่งจะสูญสลายไปไม่นานไม่ว่าจะมองอย่างไร ร่างกายและพลังที่สมบูรณ์เกินกว่าที่ควรคงเป็นเพราะเขาเร่งกลืนกินพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ว่าสติยังคงอยู่ครบถ้วนหรือเลือนหายแล้วใช้สัญชาตญาณนำทางอยู่กันแน่“ช้าก่อน” สวีต้าเฟิงออกคำสั่งห้ามทหารสวรรค์เคลื่อนไหวก่อนดูลาดเลาฉากการต่อสู้
เมื่อได้ยินเสียงมารน้อยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลับมาสมบูรณ์ แม้จะพยายามส่งกระแสจิตหาอีนั่วสักเท่าใด เขากลับไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายเลย“มันผู้ใดกล้าทำร้ายลูกเมียข้า” พลังมารชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ความโกรธกราดเกรี้ยวยิ่งทำให้พลังที่อยู่รอบตัวเขากลายเป็นยาพิษชั้นดีบ่อนทำลายสัตว์อสูรทีละนิดจอมมารสูบกลืนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าไปโดยไม่รู้ตัวแทบจะหลงลืมไปชั่วขณะว่าเขาคือผู้ใด พลันลึก ๆ ในใจเหมือนมีสายลมพริ้วไหวพัดผ่านต้นไม้แห่งชีวิตของเขา ดวงตาสีม่วงแดงจึงค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ“เยว่ชิงหรือ” เขาพึมพำสัมผัสความรู้สึกนั้น “เป็นเจ้าจริงหรือ”เขาหลับตาลงปล่อยใจหลงใหลกับสัมผัสอบอุ่นนั้นชั่วขณะ เมื่อพึงพอใจแล้วจึงกลับมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรต