พอได้ยินเสียงของเขา จั๋วซือหรานก็แหงนตาขึ้นมองไปทางประตูหลังปันอวิ๋นยังคงอยู่ในชุดคลุมสีทองม่วง ดูไม่ค่อยจะแตกต่างจากภาพลักษณ์เแื่อยชาก่อนหน้านี้เท่าไรนักเพียงแต่เส้นผมที่ก่อนหน้านี้ปล่อยกระเซอะกระเซิงอยู่ด้านหลังแล้วมันไว้หลวมๆ ตอนนี้กลับถูกหวีจนเป็นระเบียบเรียบร้อยจั๋วหวายยืนอยู่ข้างๆเขา พอสบตากับพี่สาว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา"มาได้พอดีเลย" จั๋วซือหรานกวักมือหาเขาจั๋วหวายเดินเข้ามา "มีอะไรหรือ?""อีกเดี๋ยวข้าจะให้เจิ้นเจียงไปเคี่ยวยา เจ้ากับสองคนนี้ดื่มไปด้วยกันเลย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นจั๋วหวายเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่ดูผอมแห้งเห็นกระดูกถูกฝังเข็มไว้บนเตียงไม้ที่ประกอบจากโต๊ะง่ายๆ สองตัวนั่นแล้ว"พวกเขาเป็นอะไรไปหรือ?" จั๋วหวายถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ถูกคนสำนักเมฆาวารีเอาไปเป็นผู้ทดลองยามาแล้ว"จั๋วหวายถลึงตาโต เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา แล้วยังมีความตกใจที่เพิ่งรู้ตัวตามมาด้วย"ใช่ ใช่...ผู้ทดลองยาที่ข้าเกือบจะไปทำนั่นน่ะหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้า "ผู้ทดลองยาที่เจ้าเกือบไปทำแล้วนั่นล่ะ เจ้ายังฉลาดหนีมาไว ดังนั้นสถานการณ์ยังพอไหว ถ้าเจ้า
จั๋วซือหรานให้เจิ้นเจียงนำสามพ่อลูกไปจัดแจงหาห้องพักที่เรือนหลังจั๋วหวายปกติก็เงอะงะ แต่ตอนนี้กลับเฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว รู้ว่าพี่สาวกับพี่ปันน่าจะมีเรื่องคุยกัน บวกกับเขาเองก็เห็นใจพี่น้องสองคนนี้ด้วย ก็เลยตามเจิ้นเจียงออกไปช่วยจัดแจงที่พักให้พวกเขาจั๋วซือหรานนั่งอยู่ตรงนั้น หยิบเตาต้มยาเล็กๆ ที่เจิ้นเจียงนำมาด้วยเมื่อครู่เพราะกลัวว่ายาจะเย็นมาวางไว้ จากนั้นจึงหยิบกระบอกดินเผาที่ดูโบราณมากออกมา แล้วต้มอะไรบางอย่างไม่นานนัก ก็มีกลิ่นหอมลอยออกมาจากในกระบอกดินเผาปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มอง รู้สึกอยากรู้อยากเห็น "นี่คืออะไรหรือ?"จั๋วซือหรานคิดๆ ตอบว่า "นมย่าง""อร่อยไหม?""แน่นอน แต่ไม่แน่ใจว่าข้าจะทำได้อร่อยหรือเปล่า""ข้าขอดื่มหน่อยได้ไหม?"ปันอวิ๋นถามอย่างตั้งใจจั๋วซือหรานเห็นท่าทางเขาแล้ว ยกมุมปากขึ้นหลังจากต้มเสร็จแล้ว ก็แบ่งให้ปันอวิ๋นถ้วยหนึ่งเขาดื่มลงไปอย่างพึงพอใจหลังจากดื่มหมดก็ทำเสียงแจ๊บๆ จากนั้นก็ยื่นกล่องใบหนึ่งให้จั๋วซือหราน ทำเหมือนยื่นหมูยื่นแมว "นี่""อื๋อ?" จั๋วซือหรานมือข้างหนึ่งยังถือถ้วยนมย่างอยู่ นิ้วของมืออีกข้างก็เปิดฝากล่องออกเบาๆภาพที่อยู่ด้านใ
แต่ปันอวิ๋นก็คิดไม่ถึง ว่าจั๋วซือหรานจะเข้าใจความหมายที่เขาอยากแสดงออกมาได้มุมปากจั๋วซือหรานยกเป็นเส้นโค้ง รอยยิ้มกลับไม่ไปถึงในดวงตาน้ำเสียงดูจืดจาง "จากคำพูดของเจ้าหุบเขา เน้นย้ำคำว่ามืดมิดสุดสว่างไสวสุดหลายครั้ง คือกำลังเตือนข้าถึงคุณสมบัติร่างการสว่างไสวสุดของเฟิงเหยียนใช่ไหม?"นางเว้นช่วง เอ่ยต่อว่า "เช่นนั้นก็พอจะอนุมานอย่างสมเหตุสมผลได้ ว่าเบื้องหลังของสำนักเมฆาวารี..."นางแหงนตา ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาเรียวยาวของปันอวิ๋นถามขึ้นว่า "คือสภาผู้อาวุโสใช่ไหม"เส้นโค้งที่มุมปากจั๋วซือหราน มีความหมายประชดประชันอยู่ด้นาใน "มองไม่ออก เลยว่าขอบเขตธุรกิจของสภาผู้อาวุโสจะกว้างขวางขนาดนี้"ปันอวิ๋นถึงแม้จะไม่รู้ความหมายขอบเขตธุรกิจจากคำพูดของจั๋วซือหรานอย่างถูกต้อง แต่ก็ฟังออกถึงความประชดประชันในคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานได้อย่างชัดเจนปันอวิ๋นถอนหายใจเบาๆ "แค่ประโยคเดียวเจ้าก็ขบคิดจนเข้าใจได้เลย..."จั๋วซือหรานยิ้มๆ ในรอยยิ้มตอนนี้ไม่มีการประชดประชัน ดูแล้วพอเทียบกับเจตนาการประชดก่อนหน้านี้ กลับดูจริงใจเป็นพิเศษ"เจ้าหุบเขากำลังชมว่าข้าฉลาดหรือ? ขอบคุณที่ชมนะ"ปันอวิ๋นเองก็ไม่พูดอะ
แต่นี่นาง...ไม่กลัวที่จะบุกรังคนอื่น แล้วถูกคนอื่นจับไปเลยหรือ?นี่มันต้องมีความกล้าแค่ไหนกันนะ จึงจะตัดสินใจแบบนี้ออกมาได้?ระยะห่างจากเมืองอวิ๋นถึงเนินเขาเมฆาวารี ไม่ได้ไกลมากนักอยู่ที่หนึ่งร้อยลี้ หรือห้าสิบกิโลเมตรโดยประมาณอันที่จริงในเมืองอวิ๋น ก็สามารถมองเห็นเนินเขาลูกนั้นได้จั๋วซือหรานไปทางเนินเขาลูกนั้นไม่นานนัก...ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาของเนินเขาเมฆาวารีแล้วตอนอยู่ที่ตีนเขาเนินเขาเมฆาวารี นางก็เห็นศิษย์สำนักเมฆาวารีอยู่ที่ประตูภูเขาแล้ว พอเห็นนางก็ราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจแต่ก็ยังต้องเข้ามาขวางนางไว้ด้วยความจงรักภักดีต่อหน้าที่"คนไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าเนินเขาเมฆาวารี""ส่งตัวคนสำนักเมฆาวารีคืนมา จะถือว่าแล้วกันไป...ไม่ถือโทษโกรธเคืองอีก"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็หัวเราะ "แล้วกันไปหรือ...พวกเจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว"ผลลัพธ์คือ...ตั้งแต่ที่ประตูภูเขา ไล่ขึ้นไปตลอดทาง ขบวนเชลยของจั๋วซือหรานก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆตอนที่ในที่สุดมาถึงลานกว้างตำหนักใหญ่สำนักเมฆาวารีบนไหล่เขาจำนวนเชลยของจั๋วซือหราน...เอาจริงๆ ต่อให้นางจะยกมือฟันฉับๆ แต่ก็ญังเสียเวลาอยู่"บังอา
และไม่รู้ว่าเพราะเสียงคมดาบสี่เสียดสีกับพื้นมันน่าขนลุกเกินไปหรือเปล่าสรุปคือ พวกเขาเงียบกันลงไปทันทียิ่งไปกว่านั้น พอคู่กับเสียงนี้ นางก็ดูมีมาดเป็นเพรชฆาตจริงๆจั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้ไม่ต้องพูดอะไร ก็เพียงพอที่จะใช้ท่าทางของตนเอง ตอบคำถามเมื่อครู่ของคนเหล่านี้ได้แล้วนางคิดจะทำอะไร นางหมายความว่ายังไง นางหมายความว่ายังไงกันแน่?ตอนนี้พวกเขากระจ่างแจ้งในใจนางคิดจะสังหารคน ถ้าหากพวกเขาไม่ส่งตัวน้องชายนางออกมาอย่างไร้ริ้วรอย นางจะจัดการคนสำนักเมฆาวารีเสียที่นี่ซะจั๋วซือหรานเหลือบมองดวงตะวันบนท้องฟ้า พิจารณาเวลาอยู่ครู่หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ก่อนจะถึงกำหนดที่ข้าบอกไว้สามวันก่อน ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยาม"นางสะบัดดาบยาวในมือ "หลังจากครึ่งชั่วยาม ถ้าข้ายังไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะเริ่มสังหารคนทันที"จั๋วซือหรานเหลือบมองเหล่าเชลยผาดหนึ่ง เชิดคางไปทางหวงเจี้ยนถัง "เริ่มสังหารจากคนนี้ก่อนเลย"คำพูดเหล่านี้ที่หน้าตำหนักใหญ่ของจั๋วซือหราน เพียงไม่นานก็ส่งไปถึงตำหนักหลังของสำนักเมฆาวารีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง กำลังนั่งฟังเนื้อหารายงานด้วยสีหน้าบูดบึ้งนิ้วมือกำแน่น ในแ
เสียงของนางอดเข้มงวดขึ้นมาไม่ได้ "ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอะไร! แต่เจ้านั่นล่ะ! อย่าให้ตัวตลกมาทำให้สติแตก!"ศิษย์หดคอลง ไม่กล้าพูดอะไรอีกตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีคนในสำนักเข้ามารายงาน น้ำเสียงฟังดูร้อนรนมาก "เจ้าสำนัก!""ว่ามา" สุ่ยจิ้งหลานขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นเยียบลงคนในสำนักรายงานว่า "ผู้อาวุโสอิงไปที่ตำหนักหน้าแล้ว"คำพูดของศิษย์ก่อนหน้าเหล่านั้น แค่ทำให้สุ่ยจิ้งหลานรำคาญขึ้นมาเท่านั้น แต่นางยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับแต่ตอนนี้เนื้อหาที่คนในสำนักมารายงาน กลับทำให้สุ่ยจิ้งหลานหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง "อะไรนะ?! เขาจะไปทำอะไร! ทำไมไม่มีใครห้ามเขาไว้!"คนในสำนักเอ่ออ่าอยู่ด้านนอก ตอบอะไรไม่ได้อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักหรือศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ก็รู้ดีแก่ใจ ขวางเขาหรือ? จะไปขวางอย่างไรกัน?ตัวตนของผู้อาวุโสอิงบนเนินเขาเมฆาวารีนั้นค่อนข้างพิเศษและสูงส่ง นอกจากฐานะผู้อาวุโสแล้ว เขายังมีอีกฐานะที่ทำให้คนหวาดกลัวยิ่งกว่าเขาคือสามีของเจ้าสำนัก แม้เจ้าสำนักจะแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งไม่มีสองในเนินเขาเมฆาวารี แต่ก็ยังเคารพผ่อนปรนต่อสามีมาโดยตลอดใครจะกล้าไปขวางเขากัน?ต่อให้ก่อนหน้านี้รู
จั๋วซือหรานตอนที่เห็นสายตาจั๋วเฮ่ออิงเจ้าพ่อไม่ได้เรื่องคนนี้สมองไปหมดแล้วหรือไงกันน่าจะไม่ถึงกับจงใจไม่รู้จักนางกับจั๋วหวายหรอกนะจะว่าไปตอนที่เขาออกไปจั๋วหวายยังเล็กอยู่ หลังจากโตมาก็เปลี่ยนไปเยอะ การจะจำไม่ได้ก็ปกติแล้วนางเองก็มีใบหน้าเหมือนตอนเด็กราวกับถอดแบบกันมา ยิ่งไปกว่านั้นยังคล้ายคลึงกับจั๋วเฮ่ออิงมากเขาไม่มีทางมองไม่ออกสายตาของคนเราโกหกได้ยาก จั๋วซือหรานมองออกจากในแววตาเขา เขาไม่รู้จักตนเองจริงๆเช่นนั้น เรื่องนี้ก็อธิบายได้แล้วเจ้าพ่อไม่ได้เรื่องของตนเองคนนี้ น่าจะเหมือนกับท่านอ๋องน้อย สติแตกไปหมดแล้วคิดถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็อดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ยกขึ้นจนเป็นยิ้มเยาะตนเองคนอื่นมีโชคชะตาที่อ้างว้าง แต่นางนี่สิ ชีวิตนี้ไปเจอกับดาวลืมเลือนอะไรมาหรือไง คนนั้นคนนี้ก็จำนางกันไม่ได้เลย?จั๋วเฮ่ออิงจ้องมองหญิงสาวสวยตรงหน้าคนนี้เดิมทีเขาก็เคยได้ยินวีรกรรมหญิงสาวคนนี้หลังมาถึงเมืองอวิ๋นและมายังเนินเขาเมฆาวารีแห่งนี้แม้จะรู้สึกว่าจุดเริ่มของนางไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้าจะมาฆ่าแกงกันล่ะก็ ดูจะเกินไปหน่อยเรื่องหลายเรื่องสามารถเจรจากันดีดีได้ แก้ปัญหากันดีดีได้ไม่ต้อ
รู้สึกแค่หวงเจี้ยนถังไม่รู้พูดจาประชดประชันอะไรอยู่จั๋วเฮ่ออิงขมวดคิ้ว จ้องหวงเจี้ยนถังเย็นชา "ถ้าจะฉีกหน้ากันจริง เจ้าจะเป็นคนแรกที่ถูกเอาไปบูชายัญ รีบๆ หุบปากซะ"หวงเจี้ยนถังถูกคำนี้ของเขาขัดจังหวะ เดิมทียังคิดจะอาละวาด แต่พอคิดถึงสิ่งที่หญิงบ้าคนนี้พูดไว้ก่อนหน้า ว่าพอถึงเวลา จะโบกดาบมาทางเขาเป็นคนแรก...หวงเจี้ยนถังจึงนิ่งเงียบไปจั๋วเฮ่ออิงไม่พูดอะไรอีก แค่จ้องมองจั๋วซือหรานต่อ ในสายตาแฝงแฝงไว้ด้วยการไถ่ถามเห็นได้ชัดว่าความคิดก่อนหน้านี้ยังไม่หายไป ยังคิดอยากจะคุยกับจั๋วซือหรานก่อนจั๋วซือหรานครุ่นคิด เลิกคิ้วขึ้น "ก็ไม่ใช่จะไม่ได้""เช่นนั้นเชิญ" จั๋วเฮ่ออิงทำสัญญาณมือเชื้อเชิญ นำจั๋วซือหรานเข้าไปในตำหนักหน้าจั๋วซือหรานเดินเข้าไปยังตำหนักหน้า พิจารณาฉากด้านในสำนักเมฆาวารีไม่ถือเป็นสำนักที่ใหญ่เป็นพิเศษอะไร แต่ดูจากตำหนักหน้าและลานกว้างหน้าประตูตำหนักแล้ว ดูโอ่อ่าเอาการอยู่พวกสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นจะมีขนาดโอ่อ่าแค่ไหน ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ"ดื่มชาไหม?" เสียงชายหนุ่มที่ดูหนักแน่นแต่อ่อนโยน ดังลอดเข้ามาจากด้านหน้าน่าจะเพราะ เสียงนี้ในความทรงจำ อันที่จริงก็คุ้นเคยอยู่แล้
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย