จั๋วซือหรานทราบอยู่เสมอว่าจะมีโรคระบาดและนางได้วางแผนและเตรียมการไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ได้เริ่มเตรียมเปิดศูนย์การแพทย์และร้านขายยาทันทีหลังจากจบการแข่งขันกับตระกูลเหยียนหากนางไม่ทราบเรื่องนี้ นางจะไม่เห็นด้วยกับแผนการที่ท่านแม่กลับไปเยี่ยมบ้านคุณตาหลังจากนางทราบเรื่องของบ้านคุณตานางเห็นด้วยกับท่านแม่ เพราะนางอยากให้วัสดุยาของบ้านคุณตาส่งเข้ามาในเมืองหลวงด้วยแต่สิ่งที่จั๋วซือหรานคาดไม่ถึงก็คือตอนนี้เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางรู้สึกว่านางได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางไปมากจั๋วเห้อหรงยังไม่ยอมสำนึกผิดอีก ยังสร้างปัญหาอีก จนกระทั่งถึงขั้นตายหากถึงขึ้นนั้น ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้จริง ๆเพราะในชะตากรรมของเจ้าของร่างเดิม เมื่อตระกูลจั๋ว ถูกลงโทษและสั่งเนรเทศ คนแรกที่ถูกสัลงโทษคือจั๋วเห้อหรงแม้ว่าจั๋วซือหรานจะรู้สึกว่าจุดจบนี้เสมือนทำชั่วได้ชั่วแต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่ต้องสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมว่า... นางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกจากโชคชะตาของตัวเองจั๋วเห้อหรงยังคงทำผิดพลาดเดิมเช่นเดียวกับทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ ตระกูลจั๋วอาจยังคงต้องถูกทำลายในเหตุการณ์นี้เช่นเดิมแล้ว...ท่าน
เดิมทีเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวรู้สึกธุรกิจนี้ทำไม่ได้ แต่เมื่อเขาเห็นแววตาอันชัดเจนในดวงตาที่สวยงามของนาง นางมีท่าทางที่สงบและมีกลยุทธ์นั้น ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของนางซึ่งทำให้คนเชื่อนางอย่างมากเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวเม้มริมฝีปากแน่น เขาคิดครู่หนึ่ง "ถ้าอย่างนั้น บอกข้าหน่อยสิ หากไม่ใช่เพราะโกรธ แล้วเจ้าทำเช่นนี้ทำไม"จั๋วซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบา ๆ "ข้าไม่สามารถบอกเหตุผลได้ ข้าบอกได้แค่ว่า หากม่ช่องทางนำส่งวัสดุยาเข้าเมืองหลวง เราจะไม่เจ๊งแน่ ๆ "“ทำไมเจ้าถึงมั่นใจขนาดนี้” เจ้าสำนกของหอฟ้าดาวจ้องมองนางจั๋วซือหรานคิดครู่หนึ่ง จากนั้นนางยิ้มและพูด "ข้าจะหาคนจ่ายให้"ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาพยักหน้าและพูดอย่าง 'โหดร้าย'ว่า หาจั๋วซือหรานทำในสิ่งที่นางพูดไม่สำเร็จ เขาจะไม่มีวันปล่อยนางไปแน่ ๆจั๋วซือหรานไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านเรื่องนี้ นางได้วางแผนในใจแล้วไม่เพียงเท่านั้น จั๋วซือหรานยังให้เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวจัดสนามแข่งให้นางภายในสองสามวันจากนั้นนางจึงแยกย้ายกับเจ้าสำนักของหอฟ้าดาว นางทำตามที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพูด มุ่งหน้าไปท
เฟิงเหยียนส่งจั๋วซือหรานกลับบ้านเมื่อพวกเขามาถึงประตูจวนของจั๋วซือหราน ทั้งสองก็หยุดฝีเท้าเดิมทีพวกเขาคงอยากคุยกันหน่อยก่อนที่เขาจะพูด มีเงาของใครบางคนปรากฏ จากนั้นผู้พิทักษ์เงาในชุดดำหลายคนก็คุกเข่าต่อหน้าเฟิงเหยียนจั๋วซือหรานมองไปที่ชายชุดดำเหล่านั้น นางจำเครื่องประดับที่อยู่บนเสื้อผ้าของผู้พิทักษ์เงาได้แต่นางก็รู้สึก... ว่าเครื่องประดับนั้นดูไม่ค่อยเหมือนเสื้อผ้าปกติที่ผู้พิทักษ์เงาของเฟิงเหยียนจั๋วซือหรานตระหนักได้ทันทีว่า บางทีนี่อาจเป็นเพียงผู้พิทักษ์เงาของจวนเฟิง แต่ไม่ใช่ผู้พิทักษ์เงาของเฟิงเหยียนเมื่อจั๋วซือหรานหันกลับไปมองเฟิงเหยียนอีกครั้ง นางสังเกตสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกและเย็นชาในตอนแรกที่เขาเผชิญหน้ากับจั๋วซือหราน แม้ว่าเขาจะไม่มีสีหน้าอันอ่อนโยนและอบอุ่นก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็สงบอยู่เขาไม่ค่อยเย็นชาเท่าไรแต่ขณะนี้เขาเย็นชาอย่างมากเฟิงเหยียนมองพวกเขาอย่างเฉยเมย เขาพูดออย่างไร้ความรู้สึก “มีอะไร”ผู้พิทักษ์เงาในชุดดำหลายคนยังคงคุกเข่าด้วยความเคารพ และเสียงของพวกเขาฟังดูสงบและไม่แยแสพวกเขาปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง " ซื่อจื่อ เกิดเรื่องใ
นี่เป็นอะไรกันเนี่ย นางดูดพลังหยางและเติมพลังหยินจากเขา เขาต้องเอาคืนหรือแต่จั๋วซือหรานยังไม่ทันคิดเรื่องนี้ เฟิงเหยียนก็ปล่อยนางไปแล้ว สีหน้าของเขาดูราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย สงบและไร้เดียงสาในทางตรงกันข้าม ริมฝีปากของนางแดงและบวม และการที่นางยกมือและเช็ดปากของนางเบา ๆ ทำให้นางดูกังวลและอึดอัดมากยิ่งขึ้น“ ท่านอ๋อง เจ้า...”“หากข้าไม่ดูดกลับบ้าง พรุ่งนี้เจ้าจะถูกพลังนั้นเผา” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานจำได้ว่าหลังจากนางรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาแล้ว นางถูกพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาปลุกเข้าร่างกายของนาง และวันรุ่งขึ้น นางเจ็บตัวจนตั้งสติไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยนางกลอกตาและเอื้อมมือไปจับข้อมือของเฟิงเหยียนเฟิงเหยียนเพียงรู้สึกได้ถึงมีพลังอันบริสุทธิ์กำลังไหลเข้าสู่ระบบเส้นลมปราณของเขา เขารู้สึกสบายตัวมากเขารู้สึกพลังนั้นไม่ใช่พลังไฟของตระกูลเฟิง และไม่ใช่พลังไม้ของตระกูลจั๋วนั่นเป็นพลังที่บริสุทธิ์และมหัศจรรย์มาก ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายได้ชั่วขณะหนึ่งจั๋วซือหรานกล่าวว่า "เอาเป็นว่าข้าตอบแทนข้าละกัน เนื่องจากเจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยคว
“ใช่แล้ว เหยียนเอ๋อร์ เจ้าแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่” ผู้อาวุโสถามเฟิงเหยียนตรวจดูเป็นคร่าว ๆ เขาตอบ "ข้าหมดปัญญาขอรับ"ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งยอมรับความจริงนี้ไม่ได้ เขาคิดเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาเป็นผู้ที่ฝึกฝนเฟิงช่านเอง และเฟิงช่านก็ยังเป็นรุ่นหลังที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดอีกด้วยแต่ตอนนี้เฟิงช่านกลายเป็นเช่นนี้ผู้อาวุโสท่านนี้พูดอย่างวิตกกังวล “ทำไมจะไม่มีทางออก ทำไมจะไม่มีทางแก้ปัยหาล่ะ เจ้าดูออกอยู่ใช่ไหม พวกเขาถูกวางยาพิษทั้งนั้น ในเมื่อถูกวางยาพิษ เจ้าต้องมีทางแก้ปัญหาสิ”ผู้อาวุโสจ้องมองที่ดวงตาของเฟิงเหยียนอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของผู้อาวุโสโหดร้ายเล็กน้อย"เจ้าร้อยพิษไม่กล้ำกลายมิใช่หรือ"สีหน้าของเฟิงเหยียนไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเขามีพลังอันรุนแรงที่สุด ตระกูลของเขาได้ผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ไว้ในตัวร่างกายของเขา เขามีไฟที่รุนแรงและทรงพลังเช่นนี้เขายังจะถูกพิษกัดกร่อนได้อย่างไร พิษทั้งหมดจะถูกไฟเผาจนไม่เหลืออะไรเลยเฟิงเหยียนเหลือบมองผู้อาวุโสท่านนี้ เขาตอบ "ข้าร้อยพิษไม่กล้ำกลายก็จริง แต่พวกเขาไม่ใช่"“แล้ว แล้วตอนนี้เราต้องทำอย่างไรดี” ไม่น่าแปลกใ
มีความสามารถแต่ถูกทำร้ายหรือได้รับอันตรายตระกูลเฟิงนำหน้ามาเป็นเวลานาน ดังนั้นต้องมีใครบางคนไม่ยอมตระกูลเฟิงแน่ ๆจั๋วซือหรานไม่รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนเฟิงนางกลับบ้านและรีบไปพักผ่อน จากนั้นนางเข้าไปในพื้นที่น้ำพุวิเศษของนางจั๋วซือหรานมองแวบเดียว นางตกใจทันทีเดิมทีนางไม่มีความรู้สึกมากมายต่อพลังวิเศษไม้โดยกำเนิดของตระกูลจั๋ว แต่เมื่อนางเห็นพืชอันสีเขียวชอุ่มในพื้นที่น้ำพุวิเศษอัตราการเติบโตของพืชเหล่นนี้เร็วกว่าอัตราการเติบโตในพื้นที่น้ำพุวิเศษของชีวิตก่อนหน้านี้ตั้งสามหรือห้าเท่าอย่างเห็นได้ชัดจั๋วซือหรานตกใจอย่างมาก และนางพอใจมากจริง ๆ ดังนั้นนางจึงขยันทำงานหนักในพื้นที่น้ำพุวิเศษตลอดทั้งคืนจนกระทั้งเช้าวันรุ่งขึ้น จั๋วซือหรานตื่นขึ้นมา นางยังรู้สึกตัวเองเหนื่อยอยู่เล็กน้อยแม้ว่านางหลับไปแล้วก็ตามเหมือนฝันว่านางโดนฆาตกรไล่ตามทั้งคืน นางพยายามวิ่งหนีในฝันไปทั้งคืน นางมีความรู้สึกเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเหนื่อยเมื่อตื่นนอนนางไม่ได้เหนื่อยทางกายภาพ แต่เหนื่อยตรงจิตใจล้วน ๆฝูซูรายงานที่นอกประตู “คุณหนูขอรับ มีแขกมาขอรับ”จริง ๆ แล้วน้ำเสียงของฝูซูค่อนข้างเคร่งขรึมเล็ก
จั๋วซือหรานมองแขกที่มาจากราชวงศ์ แขกที่กำลังนั่งอยู่สวมชุดที่งดงามไม่มีความอบอุ่นในรูม่านตาของนาง ส่วนใหญ่เป็นเพราะแขกท่านนี้จ้องมองนางอย่างไม่รู้จักเก็บตัวรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความคิดอันชั่วร้าย ซึ่งทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้" แม่นางจิ่ว ไม่เจอกันนานเลย” ซือคงยวี่พูดขณะที่เขามองจั๋วซือหราน เขายิ้ม “ตอนแรกข้ายังคิดอยู่ว่า เมื่อแม่นางจิ่วต้องพบกับความวุ่นวายมากมายในเมืองหลวงในเมื่อเร็ว ๆ นี้ แม่นางคงต้องเหนื่อยทั้งใจและกาย แต่ข้าคิดไม่ถึง..."ขณะที่เขาพูด เขามองจั๋วซือหรานอย่างละเอียด เขายิ้มและพูด" แม่นางจิ่วยังคงสวยราวกับดอกไม้ ไม่เพียงแต่สีหน้าของแม่นางไม่ซีดเซียวและเหนื่อยล้า แต่แม่นางยังสวยและมีเสน่ห์มากกว่าที่เราเคยเจอในก่อนหน้านี้”จั๋วซือหรานไม่ปฏิเสธคำชมของเขา นางยิ้มอย่างไร้ความจริงใจและพูด "ท่านมาที่นี่ มีธุระอันใด"“มีสิขอรับ” อ๋องชินยวี่ยิ้มและตอบ เขาปรบมือเบา ๆ จากนั้นมีคนรับใช้เดินเข้ามาจากประตูและยื่นใบรายการของขวัญให้จั๋วซือหรานด้วยความเคารพจั๋วซือหรานรับใบรายการนี้แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ๋องชินหมายความหว่า”อ๋องชินยวี่ยิ้มและกล่าวว่า "ข้ามาที่นี่ด้วยมือเปล่าได้ส
ซือคงยวี่กล่าวต่อ "และข้าถือโอกาศนี้ฉลองให้กับแม่นางจิ่วพอดี "“ฉลองหรือเพคะ” จั๋วซือหรานถามกลับ“ แม่นางจิ่วสอบติดแพทย์กลั่นยา ชนะตระกูลเหยียน และตอนนี้เจ้าได้ปลุกพลังสายเลือดแห่งตระกูลสายเลือดของตระกูลจั๋วแล้วด้วยซ้ำ เราไม่ควรฉลองกันหรือ” ซือคงยวี่ยิ้มและตอบ“ท่านอ๋องได้รับข่าวไวจังเพคะ” จั๋วซือหรานกระตุกริมฝีปากของนางซือคงยวี่ยิ้มและเดินไปหาจั๋วซือหราน เขาเอื้อมมือไปตบไหล่ของนางเบา ๆ แล้วพูดว่า "ดังนั้นข้าเลยตั้งใจเลื่อนงานเลี้ยงน้ำชาให้แม่นางจิ่วโดยเฉพาะ แม่นางจิ่ว คราวนี้เจ้าคงจะไม่ปฏิเสธข้าแล้วใช่ไหม"ในขณะที่ซือคงยวี่พูด เขาก็ตบไหล่ของจั๋วซือหรานเบา ๆ เมื่อเขาพูดจบ มือของเขาก็ตบไหล่ของนางเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาก็วางมือที่ไหล่ของนางจั๋วซือหรานสังเกตถึงความแข็งแกร่งบนไหล่ของนาง นางขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา "หากท่านอ๋องไม่อยากเอามือข้างนี้แล้ว ท่านอ๋องบอกหม่อมฉันก็ได้ ทำไมต้องวางผิดที่ล่ะ"“เจ้าพูดอะไรนะ” ซือคงยวี่ไม่ทราบตัวเองไม่ได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานชัดเจน หรือเขาฟังผิดเพราะเช่นเดียวกับคนรับใช้ที่คิดไว้ในก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาเลยดังนั
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"