แน่นอน ด้วยมาตราฐานของจั๋วซือหรานแล้ว ถือว่าราบรื่นแต่ถ้าในสายตาคนอื่น...การบิดคอคนคุ้มกันสองคน เอาชุดพวกเขามาใส่ น่าจะถือว่าไม่ใช่เรื่องราบรื่นนักจั๋วซือหรานจัดระเบียบเสื้อผ้า บนใบหน้างาม คิ้วขมวดขึ้นมา ทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะเพราะชุดของคนคุ้มกันพวกนี้กลิ่นไม่ค่อยน่าดมนัก ทำเอานางหงุดหงิดขึ้นมาและทำให้จั๋วซือหรานยิ่งอยากทำภารกิจให้เสร็จไวไวในวังสวนของราชวงศ์ ทิวทัศน์ทุกจุดล้วนสวยงาม ศาลาน้อยหอสูง สวนดอกไม้อาคารริมน้ำ...ดังนั้นจึงหาลำบากจริงๆ องค์จักรพรรดิจะถูกจัดให้อยู่ทางไหน บอกได้ยากมากจะไปค้นหาทีละเรือนๆ ก็ดูจะไม่เข้าท่าจั๋วซือหรานครุ่นคิด เหลือบมองหน่วยลาดตระเวนนั่นกำลังเข้ามาหน่วยลาดตระเวนในวังสวนราชวงศ์ไม่ใช่สี่คนก็แปดคนใช้ได้อยู่ กลุ่มที่เข้ามานี้ เป็นกลุ่มที่มีสี่คน"ดวงดีใช้ได้" จั๋วซือหรานแอบคิด จากนั้นนางรวมนิ้วหากัน แล้วดีดนิ้วเสียงป้าบออกไปสองเสียงทำการเคลื่อนไหวล่อให้พวกเขาเข้ามาตรงจุดที่นางซ่อนอยู่แล้วจัดการซะ จะได้ไม่เป็นการตีหญ้าให้...เอ เหมือนจะพูดแบบนี้ไม่ได้ เอาเป็นว่านางกลัวจะยุ่งยากแล้วกันแต่ว่าใครจะรู้ กลุ่มสี่คนนี้พอได้ยินเสียงดีดนิ้ว
แต่ไฟวิเศษของมันคือความแข็งแกร่งที่สุดของพวกมันเพียงไม่นาน คนคุ้มกันสี่คนนั้นก็ถูกเจ้าก้อนเนื้อทั้งสี่ควบคุม ทั้งหมดถูกลากกลับมาจุดที่จั๋วซือหรานซ่อนอยู่พวกเขาถลึงตาเบิกโพลง มองจั๋วซือหรานตาไม่กระพริบจั๋วซือหรานถามขึ้น "ข้ามีคำถามจะถามพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะตอบมาดีดี"พวกเขายังคงถลึงตามองนาง เพียงแต่ในดวงตามีแต่ความดูหมิ่น เหมือนกำลังเยาะเย้ยถากถางคำพูดของนางน่าจะเพราะจั๋วซือหรานรูปร่างเล็กบาง แล้วยังสวมชุดคลุมของคนคุ้มกันอีก ดูแล้วมันออกจะ...ประหลาดอยู่หน่อยๆยากที่จะทำให้พวกเขาเกิดความระวังตัวจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง เอ่ยต่อว่า "ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในวังสวนราชวงศ์ที่พวกเจ้าอยู่ จะเคยได้ยินชื่อของข้าไหม แต่ก็แนะนำตัวเสียหน่อยแล้วกัน ข้าสกุลจั๋ว จั๋วซือหราน"ตอนที่ทั้งสี่คนได้ยินชื่อนี้ ดวงตาก็เบิกโพลงกว้างกว่าเดิม อย่างกับแทบจะทะลักร่วงจากเบ้าตาแล้วความดูหมิ่นในสายตาก่อนหน้านี้ หายวับจนหมดในพริบตา ในดวงตาเหลือไว้เพียงความหวาดกลัว"ดูท่าจะเคยได้ยินชื่อของข้าสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเรียบๆ "ไม่มีความแค้นก็ไม่ใช่ศัตรูกัน เข้าไม่อยากจะสร้างความลำบากใจให้คนบริสุทธิ์ ขอแค่พวกเจ้า
"ข้าจะพูดทั้งหมด! จริงๆ!"คนคุ้มกันคนนี้รีบตอบกลับ ราวกับว่าถ้าช้าไปนิดหน่อย จั๋วซือหรานจะลงโทษเขาอย่างไรอย่างนั้นแต่ในใจเขากลับแอบคิดว่า แค่ล่อให้จั๋วซือหรานไปยังจุดที่คนคุ้มกันเยอะที่สุดก็พอ นางจบไม่สวยแน่สองมือหรือจะสู้หลายคน!ไหนจะเรื่องที่นางเป็นแค่หญิงสาวคนเดียวอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากนางมีฝีมือจริง คงไม่ต้องเอาพวกเขาทั้งสี่คนควบคุมมาซ่อนเพื่อเค้นปากตรงนี้หรอกนางบุกเข้าไปก็จบแล้วไหม?เขาเห็นจั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างพอใจ ในใจก็แอบคิด นี่จะทำให้นางติดกับ!"ฝ่าบาทอยู่ที่...!"เขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นหญิงสาวใบหน้าสะสวยคนนี้ ดวงตาโค้ง อยู่ในท่าทางยิ้มจนทำให้คนรำคาญไม่ลงบอกกับเขาว่า "ไม่ ไม่ต้องบอกข้า นำทางข้าไปก็พอ ถ้าหากกล้าเล่นตุกติก ข้าก็จะเชือดเจ้าตรงนั้นเลยค่อยหนีออกไป ส่วนเจ้าแล้วเพื่อนเจ้าที่เหลือ แน่นอนว่าไม่รอด"จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าจะปลูกไหมกู่เอาไว้บนตัวพวกเจ้า"สายตาพวกเขาเปลี่ยนไปทันทีขนาดคนคุ้มกันคนนี้ที่เดิมที่วางแผนอะไรในใจอยู่ ก็ยังต้องหยุดคิดไปเลยจั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า "ไป เดินสิ"ไหมกู่ของขนมถั่วแดงทิ้งไว้บนตัวคนนั้น แล้วเอาคนคนนี้ทิ้งไว้ใน
นางเก็บพวกก้อนเนื้อเข้ามา และยังทยอยทิ้งไหมกู่ไว้บนตัวพวกเขา จากนั้นก็เตะเข้าไปในกอหญ้าพวกเขาต่อให้อยากจะไปรายงาน แต่ก็เป็นเรื่องอีกพักหนึ่งหลังจากนี้แล้วจากนั้นจั๋วซือหรานก็สะบัดมือ เดินเข้าไปในเรือนนั้นในเรือนสิ่งแวดล้อมไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีการคุ้มกันที่แน่นหนาด้วย ดูแล้วเหมือนเป็นที่ที่ไม่มีคนมากกว่าจั๋วซือหรานเดินสบายๆ เข้าไปแต่นางก็มีประสาทรับรู้ที่เฉียบคมมาก สัมผัสได้แน่นอนว่าตนเองถูกจับจ้องอยู่นางเดินตรงเข้าไปในสิ่งปลูกสร้าง นางมองระยะห่างระหว่างตนเองกับสิ่งปลูกสร้างนั่นนางรู้สึกว่า ถ้าเป็นตนเอง แล้วคิดจะปกป้องคนที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างนั้น จะไม่มีให้ทางคนเข้าใกล้นระยะสิบจั้งและเป็นไปตามคาด ตอนที่ตนเองเดินเข้าไปใกล้จะถึงระยะสิบจั้ง!จู่ๆ ก็มีเสียงแหวกอากาศดังเข้ามา!ปราณกระบี่ราวกับลมภูเขาทะเลครั่งโถมพัดเข้ามา!ในมือจั๋วซือหรานปรากฏดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วรพิบตา ก็ประมือกับอีกฝ่ายไปนับสิบกระบวนท่า!อดพูดไม่ได้เลย ถ้าไม่นับเรื่องความสามารถอื่นๆ เอาแค่ทักษะยุทธ์ ทักษะกระบี่ล่ะก็ พลังของคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างมาก!ในสิบกว่ากระบวนท่านี้ จั๋วซือห
จอมกระบี่ชุดเทาหลังจากพุดจบ จั๋วซือหรานก็ผ่อนลมโล่ง พยักหน้าอย่างเข้าใจ "โอ้ แค่ป่วยเท่านั้นสินะ"จอมกระบี่ชุดเทาพอได้ยินคำนี้ ก็มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดแค่รู้สึกว่า...หญิงสาวคนนี้ช่างกล้าหาญเหลือเกิน!แต่นี่ก็ประหลาดมาก ตอนที่ได้ยินจั๋วซือหรานพูดคำว่า 'แค่'ป่วยเท่านั้น จอมกระบี่ก็รู้สึกขึ้นมาทันที ว่านับตั้งแต่ตอนที่ฝ่าบาทถูกกักบริเวณอยู่ในวังสวนนี้ตอนที่ฝ่าบาททรงประชวร แต่แพทย์จากวังสวนก็ยังไม่อยากจะเชื่อเขาในฐานะที่เป็นผู้ติดตามข้างกายฝ่าบาท ไม่เคยออกห่างจากเรือนเลยแม้แต่ก้าวเดียว และไม่กล้าให้คนเข้ามาด้วยแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนพูดว่า 'แค่' มาก่อน ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ที่จัดการได้ไม่ยากแม้จะทำให้ความพยายามอย่างต่อเนื่องของเขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าจอมกระบี่ชุดเทาพอคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่หญิงสาวคนนี้ทำในช่วงนี้ก็ยังรู้สึกว่า...คำพูดของนางน่าจะเป็นเรื่องจริงในสายตานาง รู้สึกว่า 'ก็แค่ป่วยไป' เท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ทำให้เขารู้สึก ผ่อนใจโล่งขึ้นมาจริงๆจั๋วซือหรานยิ้มตาหยีมองจอมกระบี่ชุดเทา เอ่ยขึ้นว่า "ถ้าหากท่านวางใจล่ะก็ สามารถพาข้าไปรักษ
ที่เขาผิดหวังและระแวดระวังขนาดนี้ ก็พอเข้าใจได้"ข้าน้อยเข้าใจแน่นอน แต่ว่า...นางมอบยาลูกกลอนมาให้ บอกว่าเป็นน้ำใจจากนาง ไม่ว่าฝ่าบาทจะป่วยอย่างไร พอมียาลูกกลอนนี้ ก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้" จอมกระบี่ชุดเทาชิงหงเอ่ยขึ้นซือคงเหมี่ยนตอนที่ได้ยิน ในดวงตาที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายขึ้นทันที "จริงหรือ?""ข้าน้อยจะทดสอบให้เดี๋ยวนี้"จอมกระบี่ชุดเทาชิงหงพูดจบ ก็ขูดส่วนหนึ่งของยาลูกกลอนอย่างระมัดระวัง ส่งเข้าไปในปาก "พอชิมแล้วก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร กลิ่นของยาเข้มข้นชัดเจน สีสันก็ดีมาก"ชิงหงมองซือคงเหมี่ยนอย่างเปี่ยมความหวัง "ฝ่าบาท..."ซือคงเหมี่ยนยังคงลังเล ถูกกักบริเวณมาเสียนาน พวกความเชื่อมั่นระหว่างคนด้วยกัน แทบจะหายไปจนหมดสิ้นแล้วชิงหงโขกศีรษะ เอ่ยขึ้นว่า "ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ที่นี่มีคนคุ้มกันหนาแน่น ฝ่าบาทเองก็สุขภาพอ่อนแอ ข้าไม่สามารถพาฝ่าบาทออกไปได้ จึงทำได้แค่ติดอยู่ที่นี่ต่อไป""ในว่าอาหารในเรือนก็ใช้หมดไปตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว อาหารที่ด้านนอกส่งเข้ามาก็ไม่รู้ว่ามีพิษหรือไม่จึงไม่กล้ากินกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะเลี่ยง..."เลี่ยงความตายไม่พ้นแล้ว คำพ
ความรู้สึกว่านางมีมารยาทก่อนหน้านี้ สลายหายไปจนหมดจากใจของซือคงเหมี่ยน"เช่นนั้นข้าก็เข้าไปแล้วนะ" จั๋วซือหรานยิ้มตาหยี ก้าวเท้ายังคงสบายๆ เหมือนเดินเล่นในสวน"เจ้านี่ไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยนะ" ใบหน้าซือคงเหมี่ยนคาดเดาอารมณ์ได้ยาก ตาทั้งสองจ้องมองนาง แม้จะชราภาพ แต่ว่าตอนนี้ดวงตาของเขาไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้าแล้วบนความรู้สึกเหมือนในที่สุดก็ฟื้นฟูกำลังวังชาจิตวิญญาณขึ้นมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานยิ้มเอ่ยว่า "หลักๆ คือข้าต้องทำเวลาน่ะ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเองก็กินยาลูกกลอนข้าไปแล้ว"ซือคงเหมี่ยนน่าจะเพราะมองเห็นความหวังบางๆ ในช่วงอับจน ตอนนี้อารมณ์ก็ไม่แย่นัก พอได้ยินนางเอ่ยขึ้น จึงยิ้มแล้วบอกว่า "ทำไมล่ะ กินยาลูกกลอนเจ้าลงไปแล้วก็เลยไม่เกรงใจได้อย่างนั้นหรือ?"เขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้จะกลัวขึ้นบ้าง แต่ใครจะรู้ว่านางกลับ...พยักหน้า "อืม""อืม?" คำตอบนี้ทำเอาคนคิดไม่ถึงเลย ซือคงเหมี่ยนเองก็งงงันไปแล้วจั๋วซือหรานยิ้มตอบ "ถ้าหากข้าวางยาอะไรลงไปล่ะ ฝ่าบาทตอนนี้ก็คงจะไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าจึงเข้ามาได้อย่างไรล่ะ"ซือคงเหมี่ยนจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะขึ้นมา "น้องเจ็ดหาคนนิสัยแบบเจ้ามา ไ
จั๋วซือหรานพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป จากนั้นจึงพูดสิ่งที่ซือคงเหมี่ยนคิดไม่ถึงออกมา "ข้าคิดว่าสามารถช่วยท่านออกไปได้เลย""!!!" ต่อให้เป็นจักรพรรดิที่สงบนิ่งมาแต่ไหนแต่ไร เวลานี้ก็ยังถูกคำพูดของจั๋วซือหรานจนคุมสีหน้าไว้ไม่ได้เหมือนกันจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "พลังผู้ติดตามข้างกายท่านคนนี้สู้ได้สบาย ข้ากับเขาร่วมมือกันช่วยพาท่านออกไปน่าจะไม่ใช่ปัญหาเลย"ซือคงเหมี่ยนพอได้ยินคำพูดนาง ก็พูดไม่ถูกว่ามีความรู้สึกอย่างไร คงเป็นเพราะช่วงนี้รู้สึกอึดอัดใจมากเขาเป็นจักรพรรดิ! เคยมีความรู้สึกอึดอัดแบบนี้เสียที่ไหน...ดังนั้นตอนนี้พอได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน สิ่งที่ซือคงเหมี่ยนคิดถึงก่อนกลับไม่ได้ความสงสัย หรือการถอยหนีแต่เป็น...ความโล่งใจความโล่งใจที่สามารถหลุดพ้นจนก 'คุก' นี่ได้เสียที!ดังนั้นเขาจึงถามว่า "เรื่องนี้พูดจริงหรือ?"จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ข้าพูดแต่ความจริงมาตลอด""ดี!" ซือคงเหมี่ยนดันเตียงคิดจะยืนขึ้นมาจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าขอรักษาท่านก่อน แล้วพวกเราค่อยออกไปก็ยังไม่สาย"ซือคงเหมี่ยนเห็นนางหยิบเข็มทองออกมา ถึงแม้จะยังระแวดระวังอยู่บ้าง แต่ก็พยายามผ่อนคลายลงมาให
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"