เมื่อเดินเข้าไปในประตูหิน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือห้องโถงขนาดใหญ่ มิได้โอ่อ่าสง่างามดังท้องพระโรงก่อนหน้านี้เครื่องเรือนภายในที่แห่งนี้คล้ายกับห้องโถงสำหรับต้อนรับแขกของบ้านทั่วไป การตกแต่งจัดวางทุกอย่างล้วนแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นบนผนังมีภาพเขียนและตัวอักษะแขวนไว้ บนโต๊ะมีแจกันและกระถางต้นไม้หลังฉากกั้นลายดอกไม้และนกมีโต๊ะเตี้ยและกระถางธูปวางหันหน้าไปทางหน้าต่าง ด้านนอกเป็นทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้และพืชพรรณส่งกลิ่นหอมอยู่ภายนอกปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง จิบสุราอุ่นพลางชมหิมะความงดงามในใต้หล้ามนุษย์คงไม่มีสิ่งใดเกินกว่านี้แล้วอีกด้านหนึ่งยังมีพิณโบราณวางพิงกำแพงไว้ มีอาวุธตั้งเรียงรายทั้งดาบ หอก กระบี่ ง้าว สตรีบรรเลงพิณ บุรุษฝึกกระบี่ ซึ่งเป็นดั่งภาพเทพเซียนคู่หนึ่งน่าเสียดายที่สายพิณของพิณโบราณนั้นขาดสะบั้นลั่วชิงยวนค่อย ๆ ลูบพิณโบราณ ในใจกลับเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมา“ด้านในนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตมาก ไปเดินหากันเถิดว่ามีอะไรให้กินหรือไม่”หงไห่กล่าวพลางเดินไปยังด้านหลังคนอื่นก็เดินตามเขาเข้าไปยังด้านหลังเมื่อออกไปแล้ว ทิวท
“นี่คือของเจ้า ส่วนนี่ของคนใบ้”“ยาถอนพิษและยาทาแผลภายนอกแตกต่างกัน อย่าได้สับสน!”หงไห่รับห่อยาไปด้วยรอยยิ้มจาง “ขอบคุณ!”ในชีวิตนี้นอกจากโฉวสือชีแล้วก็ยังไม่มีใครเคยดีกับเขาถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนมอบยาให้เขาหงไห่รู้สึกดีใจ ถือห่อยาแล้วรีบร้อนไปยังห้องครัวลั่วชิงยวนและคนใบ้ยังจัดห้องตำรามิเสร็จ หงไห่ก็ทำอาหารเสร็จแล้วทั้งสี่คนล้อมวงนั่งอยู่ที่โต๊ะ สายตามองอาหารจานผักและน้ำแกงบนโต๊ะ แม้จะเรียบง่ายยิ่งแต่ก็รู้สึกว่าอร่อยเหลือเกินโดยเฉพาะข้าวสวยร้อน ๆ ทุกคนหิวโหยกันมาก กินข้าวกันไปคนละหลายชาม ในที่สุดก็อิ่มท้อง“ประเดี๋ยวข้ากับหงไห่จะหาดูว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีทางออกไปได้หรือไม่ พวกเรามิอาจอยู่ที่นี่ตลอดไปได้”โฉวสือชีกล่าวลั่วชิงยวนพยักหน้า “ไปหาดูก็ดี ต้องมีทางออกไปได้แน่นอน”“แล้วต้องระวังโหยวเซียงด้วย หากนางรู้จักที่นี่ดีจริง นางจะต้องกลับมาตามหาพวกเราอีกเป็นแน่”เดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าคงกำจัดโหยวเซียงไปได้แล้วแต่กลไกของประตูหินบานนั้น เมื่อนำมาเรียงกันกลับกลายเป็นอักษรตัวโหยวขึ้นมาทำเอาลั่วชิงยวนอดที่จะสงสัยฐานะของโหยวเซียงมิได้ นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผ
หัวใจของนางเต้นแรง เงาร่างดุร้าย ตาโปนดวงใหญ่ทำให้ลั่วชิงยวนจำได้ในทันทีฝูเหมิ่ง!ฝูเหมิ่งมาอีกแล้ว!คนใบ้พุ่งเข้ามาในทันใด ดึงลั่วชิงยวนไปหลบอยู่หลังชั้นตำราแล้วทำสัญญาณมือให้เงียบจากนั้นก็เป่าตะเกียงให้ดับลง แล้วหลบไปอยู่อีกฝั่งประตูห้องส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แล้วเปิดออกชายที่ใบหน้าหายไปครึ่งซีกปรากฏกายที่หน้าประตูด้วยท่าทางดุร้ายลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อมองแล้วก็พบว่าเป็นใบหน้าอีกใบหน้าจริง ๆ ที่ปรากฏในคันฉ่องสุริยันจันทรานั่นคือใบหน้าของชายคนนั้นที่นางเห็นในคืนนั้นแต่ในบางครั้งก็จะมีใบหน้าของฝูเหมิ่งปรากฏขึ้นมาด้วยเพียงแต่วิญญาณของฝูเหมิ่งมิแข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย ร่างกายของเขาเกือบจะถูกอีกฝ่ายเข้ายึดครองไปหมดแล้วนางหยิบกระบี่ห้วงสวรรค์ออกมากรีดปลายนิ้ว แล้วเริ่มวาดอักขระกระบี่ธรรมดามิอาจรับมือเขาได้แล้วทว่ายังวาดอักขระมิเสร็จดี จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นมาจากเหนือหัวของลั่วชิงยวนตามมาด้วยวัตถุหนักที่กำลังพุ่งเข้าหาเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่น่าสยดสยองและดุร้ายลั่วชิงยวนใจหายวูบทว่าฝูเหมิ่งยังมิทันได้แตะต้องตัวน
แรงมหาศาลซัดกระแทกฝูเหมิ่งออกไป ช่วยคนใบ้ไว้ได้สำเร็จนางถือกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นบุกประชิดเข้าไปอีกครั้ง ฟาดฟันฝูเหมิ่งจนมิอาจต้านทานได้อานุภาพช่างรุนแรงยิ่งนัก ราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกจองจำมานับพันปี ในที่สุดก็ได้ลิ้มรสเลือดและมิอาจหยุดยั้งได้อีกต่อไปแม้กระทั่งลั่วชิงยวนยังสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตและความเกลียดชังอันรุนแรงในใจของสตรีผู้นั้นสุดท้ายฝูเหมิ่งก็พ่ายแพ้และหนีหายไปเดิมทีนางตั้งใจจะไล่ตาม แต่ร่างกายของลั่วชิงยวนใกล้จะรับมิไหวแล้วยันต์แผ่นนั้นบีบบังคับให้สตรีชุดแดงผู้นั้นออกไปจากร่างของลั่วชิงยวนในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนก็ทรุดเข่าลงกับพื้นแล้วกระอักเลือดออกมาคำโตเบื้องหน้าของนางคือชุดสีแดงสดที่ปลิวไหวตามลมยามราตรีในเวลานี้เอง ลั่วชิงยวนก็สังเกตเห็นว่า รองเท้าปักลายสีแดงของนางเหมือนเป็นรองเท้าที่สวมในวันแต่งงานเสียงที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มดังขึ้น “อย่าลืมสิ่งที่เจ้าสัญญาไว้กับข้า”“ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีก”ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าซีดเผือดภายใต้แสงจันทร์และผมยาวดำขลับสยายลงบนบ่าในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนกลับรู้สึกว่าคุ้นหน้าอยู่บ้างความกล้าหาญที่แฝงอยู่บนใบหน้าของนา
ลั่วชิงยวนก็รับรู้ได้เช่นกันว่าร่างของเขาแข็งทื่อไป นางจึงรีบกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าบาดแผลของเจ้าสาหัสมาก ข้าเพียงทายารักษาบาดแผลให้เจ้าเท่านั้น”คนใบ้พยักหน้าเขานั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ ทำท่าทีสงบนิ่ง แต่ก็อดมิได้ที่จะกำแขนเสื้อแน่นลั่วชิงยวนขยับเข้าไปใกล้ ตั้งใจจะเช็ดตัวและทายาให้เขา ในใจนางตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของเขามีแต่บาดแผลสาหัส มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงผ่ายผอมเช่นนี้ราวกับเป็นโครงกระดูก เห็นไหปลาร้าและซี่โครงชัดเจนยิ่ง ดูแล้วน่าสงสารนักฟู่เฉินหวนหลุบตามองสตรีที่อยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมจางจากเส้นผมของนางโชยเข้าสู่ปลายจมูก เขามองคิ้วขมวดและสีหน้าวิตกกังวลของนางเมื่อใกล้ชิดเช่นนี้ เขาปรารถนาอยากจะกอดนางไว้เหลือเกินแต่เขาทำมิได้เขาพยายามควบคุมตนเองให้สงบอย่างหนัก แม้กระทั่งควบคุมลมหายใจให้คงที่หลังจากที่ลั่วชิงยวนพันแผลเสร็จก็ไปต้มยามาให้แล้ววางไว้ข้าง ๆ เพื่อรอให้อุ่นลงในขณะที่อากาศยามราตรีค่อนข้างดี ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะหันไปถามเขาว่า “เหตุใดบนร่างกายเจ้าจึงมีบาดแผลมากมายเพียงนี้?”คนใบ้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนทำท่าขยับนิ้วบอกว่าจะเขียนแต่ไม่มีกระดาษและพู่กัน
ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากขึ้นเขามา คนใบ้ก็ช่วยชีวิตนางไว้หลายครั้งแน่นอนว่านางปรารถนาให้คนใบ้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นแต่คนใบ้กลับส่ายหน้า แล้วเขียนตอบว่า เจ้าขอแต่สิ่งที่เจ้าต้องการเถิด มิต้องกังวลเรื่องข้า“มิกังวลหรอก ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน” ลั่วชิงยวนมิได้กล่าวต่อ เพราะดูท่าทางแล้วคนใบ้มิค่อยเต็มใจนักสายลมยามราตรีพัดมาพร้อมกับความหนาวเย็นที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา“กลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะสำรวจในห้องตำราต่อว่ายังมีเบาะแสอื่นใดหรือไม่”จากนั้นลั่วชิงยวนก็กลับไปยังห้องตำราแต่คนใบ้กลับมิได้กลับเข้าไปในห้อง เขาเฝ้ายามอยู่นอกห้องตำรา......ในความมืดมิด ฝูเหมิ่งวิ่งหนีสุดชีวิตด้านหลังของเขามีร่างในชุดสีแดงที่ยังคงไล่ตามติดเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของสตรีชุดแดงดังขึ้น “จิ้งเฉิง เจ้าจะหนีไปที่ใด บัดนี้เพิ่งจะกลัวหรือ มิสายไปหน่อยหรืออย่างไร”ฝูเหมิ่งหันหลังกลับไปมองด้วยความหวาดกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา และยังคงวิ่งหนีหลบหลีกไปเรื่อย ๆขณะที่หงไห่และโฉวสือชีกำลังสำรวจหาทางในป่า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็ตกใจรีบหลบเข้าไปในพุ่มไม้ทั้งสองมิกล้าส่งเสียงใดออกมาแล้วก็ได้เห็นฝูเหมิ
ลั่วชิงยวนสะดุ้งลุกขึ้นตื่นด้วยความตกใจ เห็นชุดสีแดงวูบผ่านทางช่องว่างหน้าต่างนางเดินไปเปิดประตู ก็เห็นหงไห่ถือดาบยาวเดินออกมาด้วยท่าทีดุดันลั่วชิงยวนปลอบ “ไม่มีอะไร มิใช่หลอนไปเองหรอกหรือ ไปพักเถิด”เดิมทีหงไห่ตั้งใจจะบอกว่าเขาเห็นเงาสีแดงจริง ๆ แต่เมื่อเห็นว่าลั่วชิงยวนมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาจึงมิได้เอ่ยคำใดต่อจากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องเมื่อลั่วชิงยวนกลับเข้าไปที่ห้อง ก็เห็นสตรีชุดแดงผู้นั้นกำลังรอคอยนางอยู่ในห้อง“อวี๋ตันเฟิ่งหรือ?” ลั่วชิงยวนถามอย่างลองเชิงสตรีชุดแดงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าก็ฉลาดนี่”“เจ้าตายได้อย่างไร?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสนใจ ด้วยอยากรู้ว่าเหตุใดที่นี่จึงมีสภาพเช่นนี้ความเคียดแค้นผุดขึ้นมาในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่ง “ถูกคนที่ข้ารักที่สุดฆ่าตาย”“คนที่เจ้ารักที่สุดหรือ?” ลั่วชิงยวนนั่งลงด้วยท่าทางผ่อนคลาย ตั้งใจจะฟังเรื่องราวของอวี๋ตันเฟิ่ง“เจ้าก็คงได้เห็นไปบ้าง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ข้าสร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของข้า”“จุดประสงค์แรกเริ่มคือ การรับคนที่ถูกระบุว่าเป็นทาส ข้ามิอาจเปลี่ยนแปลงใต้หล้าอยุติธรรมผืนนี้ได้ แต่ข้าสามารถทำทุกวิถี
จู่ ๆ ใบหน้าของนางพลันกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เส้นเลือดฝอยจำนวนมากแผ่ขยายไปบนใบหน้าซีดขาว เส้นเลือดชวนสยองขวัญปูดโปนออกมาใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัวยิ่งนักลั่วชิงยวนรีบขว้างยันต์แผ่นหนึ่งออกไปผลักอวี๋ตันเฟิ่งออกไปจนนางกระเด็นไปติดผนังดูจากท่าทางแล้ว นางเกรงว่าอยู่ดี ๆ อวี๋ตันเฟิ่งอาจควบคุมตนเองมิได้และทำร้ายผู้คน“หากเจ้าคิดมิออก ข้าจะช่วยเจ้าเอง”ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมาแล้วสร้างวงเวทกักขังอวี๋ตันเฟิ่งไว้นางค่อย ๆ หลับตาลงภาพในอดีตอันงดงามของเมืองแห่งภูตผีผุดขึ้นเบื้องหน้าเจ้าเมืองจัดงานสมรสในยามนั้นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นระหว่างหน้าผาอลังการและสง่างามยิ่งนัก มิได้มีบรรยากาศมืดมนแต่อย่างใดมีอาคารอยู่ทั้งสองข้างของสะพานเหล็ก ถนนหนทางกว้างขวาง ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสี แพรพรรณสีแดงปลิวไสวเกี้ยวแต่งงานถูกหามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง บุรุษที่ขี่ม้าคือโหยวจิ้งเฉิงสตรีในเกี้ยวมีริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด ดวงตาสุกใส มีท่าทางองอาจสง่างาม แต่ก็มิอาจซ่อนเร้นความเขินอายของความเป็นสตรีได้นางเต็มไปด้วยความสุขในวันนี้ที่ได้แต่งงาน ทว่าในคืนส่งตัว
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน