เขามอบอาภรณ์เพลิงไสวให้นาง ก็เพียงเพื่อช่วงเวลานี้หึ นางแต่งงานกับผู้ชายแบบไหนกันแน่มีความหนาวเย็นในใจของนางณ ตอนนี้ ร่างในชุดขาวค่อย ๆ เดินมา และพูดเสียงอ่อนโยนดังขึ้น...“อาภรณ์เมฆสีทอง ข้าเป็นคนมอบให้เอง มันเป็นผลงานของศาลารุ้งเมฆาเมื่อปีที่แล้ว แต่มิเคยมอบให้ใครมาก่อน และมิได้ซื้อจากถนนเชียนเมี่ยนด้วย”ฟู่อวิ๋นโจวอธิบายอย่างจริงจังเพียงคำพูดนี้หลุดออกมา คนรอบข้างต่างตกตะลึง องค์ชายห้าเป็นคนให้รึ?องค์ชายห้ามอบชุดให้พระชายาอ๋องหรือ? ชุดที่ใส่ในงานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวงนั้นมีความหมายมากลั่วเยวี่ยอิงมีสีหน้าซีดลงอาภรณ์เมฆสีทองนั่นเป็นของจริงรึ? ลั่วชิงยวนมิได้ซื้อมาจากถนนเชียนเมี่ยนรึ?องค์ชายห้ามอบอาภรณ์เมฆสีทองให้นาง? !อีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านอ๋องมอบอาภรณ์เพลิงไสวให้นาง ในขณะที่องค์ชายห้ามอบอาภรณ์เมฆสีทองให้นางอีกนางอัปลักษณ์ผู้นี้มีสิทธิ์อะไร? !สีหน้าของฟู่เฉินหวนค่อย ๆ เคร่งขรึม ความเยือกเย็นเข้าปกคลุมดวงตา สองคนนี้ไม่สงวนท่าทีต่อหน้าเขาเลย!ในคืนนี้อยากให้ท่านอ๋องถูกผู้คนนินทาว่าพระชายามีชู้รึ?เห็นแววตาอาฆาตของฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนเข้าไปขวางตรงหน้าฟู่อวิ
มาถึงริมทะเลสาบแล้ว ลมเย็นยามค่ำคืนพัดมา ช่วยคลายอาการปวดบริเวณแก้มมีเสียงฝีเท้าเร็วดังมาจากด้านหลัง นางมองย้อนกลับไป จากนั้นก็เห็นฟู่อวิ๋นโจววิ่งมาอย่างหอบ เมื่อวิ่งมาถึงข้างหน้านาง ก็หายใจลำบากอยู่ช่วงหนึ่ง สีหน้าซีดลงและเกือบจะเป็นลมลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รีบประคองเขา ตบที่หลังเขา “ท่านดีขึ้นไหมเพคะ?"ฟู่อวิ๋นโจวสงบลมหายใจ มองนางด้วยสีหน้ากังวลและพูดว่า “คำพูดนี้ข้าควรถามเจ้า แต่ทำให้เจ้าต้องมาดูแลข้าแทน”ลั่วชิงยวนหันศีรษะและมองไปที่ทะเลสาบ “หม่อมฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องตามหม่อมฉันมาเพคะ”เขาไล่ออกไปต่อหน้าทุกคน เพียงจะทำให้คนนอกคาดเดาและนินทามากขึ้นฟู่อวิ๋นโจวเข้าใจสิ่งที่นางหมายถึง หน้าบึ้ง โทษตนเองว่า “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”“ไม่ต้องขอโทษเพคะ หม่อมฉันควรจะขอบคุณพระองค์เสียมากกว่า ถ้าไม่ใช่พระองค์ช่วยหม่อมฉันชี้แจง หม่อมฉันคงติดคุกไปแล้ว” ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะตัวเองฟู่อวิ๋นโจวเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปกติเสด็จพี่ไม่เป็นเช่นนี้ คิดว่าคงมีความเข้าใจผิดอยู่บ้าง”“ท่านอ๋องไม่ต้องทรงอธิบายแทนเขาหรอกว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับ
หรือว่าแม่ของลั่วชิงยวนเป็นอาจารย์ของนางจริง ๆ?ใจนางสั่นไปหมด ความรู้สึกที่ซับซ้อนพุ่งเข้ามา ผสมกับความกังวลและความโกรธที่พุ่งไปบนหัว“เอาของแม่ข้าคืนมา!” นางก้าวเข้าไปทันทีลั่วเยวี่ยอิงจงใจโบกมือหลบ เห็นท่าทีกังวลใจของนาง ยิ้มอย่างผู้ชนะ แกว่งถุงหอมขึ้นมาแล้วพูดว่า “ดูเหมือนจะสำคัญสำหรับเจ้านัก ข้ามอบมันให้เจ้าก็ได้! แต่ข้ามีหนึ่งเงื่อนไข!”“ตอนนี้ข้าไม่ชอบการร้องและเต้นรำในงานฉลอง หากพี่ขึ้นไปบนเวทีแสดงกลิ้งมูลด้วง ข้าจะให้ถุงหอมนี้แก่ท่าน”“ว่าอย่างไรเล่า?” ลั่วเยวี่ยอิงพูดอย่างลำพองใจขณะนั้น ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วทันทีและกำหมัดแน่นลั่วเยวี่ยอิงเลิกคิ้วและพูดว่า “ท่านลืมไปแล้วรึ? เหมือนกับที่ท่านเคยแสดงให้ข้าดูเมื่อวันเกิดปีที่สิบห้าของข้าอย่างไรเล่า หลังจากผ่านไปหลายปี มูลก้อนนี้ก็ใหญ่และกลมมากขึ้นอีก”น้ำเสียงเยาะเย้ยนั่น คำพูดที่เต็มไปด้วยความอับอาย ทำให้นิ้วที่กำแน่นของลั่วชิงยวนจิกเข้าไปในฝ่ามืออย่างแรงนี่ไม่ใช่หนแรกที่ลั่วเยวี่ยอิงทำให้ลั่วชิงยวนอับอาย!เหตุใด? เหตุใดลั่วชิงยวนต้องทำกับการกระทำเช่นนี้!ลั่วเยวี่ยอิงพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ยอมทำใช่หรือไม่? ”ดัง
สายตานั้นเต็มไปด้วยความอาฆาต บ่งบอกถึงเจตนาฆ่าอย่างแท้จริง!ลั่วชิงยวนกำหมัดแน่นและพูดว่า “ท่านอ๋องลืมอะไรบางอย่างไปหรือไม่เพคะ? ”แต่ฟู่เฉินหวนเพียงแค่มองนางอย่างข่มขู่ มองลั่วเยวี่ยอิงที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน ลูบไล้แก้มบวมแดงของนางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและกังวลว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”ลั่วเยวี่ยอิงส่ายหัว น้ำตาเป็นประกายในดวงตา เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิรู้ว่าเหตุใดช่วงนี้ท่านพี่ถึงโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุบตีหม่อมฉันเสมอ หากหม่อมฉันทำอะไรผิด ท่านพี่ก็ควรบอกหม่อมฉัน”ขณะที่พูด สายตาของนางก็มองไปที่ถุงหอมในมือของฟู่เฉินหวน สะอึกสะอื้นพูดว่า “นี่คือสิ่งที่แม่ของนางให้หม่อมฉัน หม่อมฉันพกติดตัวมาตั้งแต่เด็ก… ท่านพี่จะแย่งมันไป หม่อมฉันบอกว่านางจำผิดแล้ว นางก็ยังไม่ฟังหม่อมฉันอธิบาย... ”ลั่วเยวี่ยอิงยิ่งพูดก็ยิ่งเสียใจมากขึ้น น้ำตาไหลลงมาบนหน้าฟู่เฉินหวนมองถุงหอมในมือ ก็ขมวดขึ้นทันทีลั่วชิงยวนใจร้อนดั่งไฟ รีบพูดว่า “ท่านอ๋อง! โปรดอย่าลืมว่าท่านเคยสัญญาอะไรหม่อมฉันไว้! นั่นเป็นของที่ระลึกของแม่หม่อมฉัน!”“หม่อมฉันเพียงต้องการถุงหอมนี้ สิ่งอื่นไม่ต้องการ
งานฉลองในวังหลวงรายล้อมไปด้วยโคมแสงสีสันงดงามแวววาวตระการตา ความคึกคักสนุกสนานของการร้องรำทำเพลงและการเต้นรำ แต่ลั่วชิงยวนกลับนั่งอยู่ด้านข้างงานฉลองตัวคนเดียว รอเวลาที่งานฉลองจะสิ้นสุดลงเดิมทีก่อนหน้านี้ไม่มีใครเลยที่จะทันสังเกตเห็นนาง แต่ทันใดนั้นก็มีนางกำนัลนางหนึ่งใส่เสื้อคลุมผ้าไหมสีทองลวดลายสวยงามเดินตรงเข้ามาหานางพร้อมกับขวดเหล้าที่ยื่นส่งให้“พระชายา นี่คือเหล้าชิงกุ้ยเป็นของรางวัลจากฮองไทเฮาเจ้าค่ะ”นางกำนัลในอาภรณ์ผ้าไหมสีทองจิ่นชูเอ่ยด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่สุภาพลั่วชิงยวนสะดุ้งตัวเล็กน้อย นี่คือนางกำนัลส่วนพระองค์ฮองไทเฮามีนามว่า จิ่นชู “ฝากขอบพระทัยฮองไทเฮาสำหรับรางวัลด้วยนะ”จิ่นชูพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก แต่คนรอบตัวจำนวนไม่น้อยที่สังเกตเห็นทางด้านข้างของนางมีผู้คนกระซิบกระซาบกันว่า “แม่นางลั่วชิงยวนผู้นี้ดูจะเป็นที่โปรดปรานของฮองไทเฮายิ่งนัก มิน่า นางถึงมิได้รับโทษอันใดเลยถึงแม้จะเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างการสวมรอยแต่งงาน ที่แท้ก็มีฮองไทเฮาหนุนหลังให้”แววตาของลั่วชิงยวนฉายแววเย็นชาและมีสีหน้าที่นิ่งสงบในทันทีพวกเขาจินตนาการไม่ออกหรอ
ลั่วชิงยวนก็มีท่าทีตกใจเช่นกัน ฮองไทเฮาท่านนี้พูดจาเถรตรงไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยนี่มิใช่ครั้งแรกที่ลั่วชิงยวนเข้าพบฮองไทเฮา แต่เป็นครั้งแรกที่ถูกฮองไทเฮาเรียกตัวมาโดยลำพัง ลั่วชิงยวนไม่รู้ว่าว่า ฮองไทเฮากำลังคิดจะทำอะไร นางเพียงแค่อยากจะนั่งเงียบ ๆ เท่านั้นจนกระทั่งไทเฮาเหยียนหันมามองลั่วชิงยวนอีกครั้ง“เจ้ากำลังงุนงงอะไรเล่า ของว่างและเครื่องเคียงเหล่านี้ ไทเฮาผู้นี้จัดเตรียมไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษ ลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่ หากว่าเจ้าชอบ ข้าจะจัดเตรียมให้เจ้าในงานเลี้ยงพระราชวังในครั้งหน้า”ลั่วชิงยวนมีท่าทีตกใจเล็กน้อย นางมิได้รู้สึกภูมิใจนักที่ฮองไทเฮาตั้งใจจัดเตรียมอาหารสำหรับจัดเลี้ยงในวังที่ถูกปากกับนางเป็นพิเศษขนาดนี้“ขอบพระทัยน้ำพระทัยอันดีงามของฝ่าบาทเพคะ เพียงแต่วันนี้หม่อมฉันไม่รู้สึกอยากอาหารมากสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะว่าอาหารที่งานเลี้ยงในวังไม่ถูกปาก ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับตัวของหม่อมฉันเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของฮองไทเฮาพลันปรากฎรอยยิ้มปลื้มปีติออกมาในทันที“ข้ามองคนมิผิดเลย ช่างเป็นหญิงสาวที่รู้จักคิดจริง ๆ ตอนแรกก่อนที่อ๋องผู้สำเร็จราชก
เมื่อเห็นลั่วชิงยวนที่นิ่งอึ้งไป ฮองไทเฮาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“เกิดอะไรขึ้นรึ?”ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นปิดริมฝีปากและรีบวางขนมชิ้นนั้นลงบนโต๊ะ “ช่วงนี้หม่อมฉันมิค่อยอยากอาหารเพคะ ขนมรสชาติหวานจะทำให้หม่อมฉันคลื่นไส้เพคะ ไม่อยากจะเสียมารยาทต่อหน้าฮองไทเฮา”ฮองไทเฮาสะดุ้งเล็กน้อย แต่หากยังยิ้มได้อีกครั้งแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไร งั้นเจ้าลองอันอื่นดูสิ”ฮองไทเฮาเปลี่ยนสายตาไปทางอื่น มิได้มองไปที่ลั่วชิงยวนอีกลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางมีท่าทีสะอิดสะเอียนและมิได้แตะต้องของกินขนมอื่นใดต่อในขนมที่หมักด้วยไวน์ข้าวก้อนนี้มีกลิ่นของหญ้าทองทมิฬเจือปนอยู่ ถึงแม้ว่ากลิ่นหญ้าทองทมิฬจะมิได้ชัดมากมายเท่าใดนัก แต่กลับเป็นตัวที่สามารถส่งผลกระตุ้นแมลงพิษได้ดีทีเดียว ล่อให้พวกมันเคลื่อนไหวจนกระทั่งถึงการออกไข่ นำความเจ็บปวดทรมานมาสู่เจ้าของที่อยู่อาศัยได้และแมลงพิษก็ทำให้ลั่วชิงยวนนึกถึงเรื่องของแมลงพิษที่ถูกดึงออกมาจากร่างกายของฟู่เฉินหวนในคืนที่ฝนตกหนักหรือว่าฮองไทเฮาจะเป็นผู้ที่ส่งแมลงพิษตัวนั้นกันนะ?หากเป็นเช่นนั้น การที่ให้นางมาร่วมดื่มชารับประทานอาหารและมองดูลั่วเยวี่ยอิงถูกตบสั่งสอน เป็นเพรา
ราวกับว่าเป็นความตั้งใจของไทเฮา หลังจากที่รถม้าหยุดอยู่ที่ตำหนักอ๋องแล้ว องครักษ์สารถีก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พระชายา บัดนี้ถึงพระตำหนักแล้ว กระหม่อมจะกลับวังไปรายงานฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ลั่วชิงยวนและลั่วเยวี่ยอิงลงจากรถม้าแล้ว สารถีก็ขับรถกลับไปที่วังหลวงตามเดิมเหล่าองครักษ์นำตัวลั่วชิงยวนกลับไปที่ตำหนักอ๋อง มิได้พาลั่วเยวี่ยอิงกลับไปที่ตำหนักอัครเสนาบดี แต่กลับพาไปที่ตำหนักอ๋องด้วย เพื่อให้ฟู่เฉินหวนได้เห็นสภาพน่าเวทนาของลั่วเยวี่ยอิงครั้นเมื่อคนรับใช้ออกมาเห็นลั่วเยวี่ยอิง แวบแรกมองไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ใด หลังจากที่เห็นชัดแล้วต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน“คุณหนูรอง! โอ้ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูรองเล่า!”ลั่วเยวี่ยอิงตั้งใจล้มลงกับพื้นไปอย่างแรง สาวใช้กลุ่มหนึ่งรีบกรูกันเข้าไปช่วยพยุงนางด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นจึงรีบประคองนางเข้าไปตำหนักอ๋อง“รีบไปตามหมอเทวดากู้มาให้ว่องที่สุดบัดเดี๋ยวนี้!”ทุกคนต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนกเป็นอย่างมากลั่วเยวี่ยอิงถลึงตาจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความเคียดแค้น แววตาที่สื่อออกมาราวกับกำลังเอ่ยว่า ‘รอข้าก่อนเถอะ!’ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่น ก่อน
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน