ไทเฮาเถียนทอดถอนพระทัยหนักหน่วง “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทราบอยู่แล้วว่า ตระกูลเถียนนั้นสายสกุลสืบต่อยากนัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ จำนวนผู้สืบสายตรงตามสายหลักยิ่งนับวันยิ่งลดน้อยถอยลง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาปฏิบัติต่อเป่าซื่อผู้ที่เติบโตมีชีวิตรอดมาได้อย่างยากลำบากนั้น ก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะผ่อนปรนปล่อยปละเกินไปบ้าง”ผู้ตรวจการเถี่ยกลับฮึดฮัดขึ้นมาทันทีโดยไม่ลังเล “ปล่อยปละไปบ้างงั้นหรือ? นี่มันไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิงต่างหาก! หากเห็นว่าเขาเป็นของล้ำค่าจริง ก็ควรสอนให้เขารู้จักหลักแห่งการเป็นคน มิใช่ปล่อยปละละเลยเช่นนี้ในทุกเรื่อง ปล่อยให้เสเพลไปทุกทาง!”เด็กเล็กนั้น แท้จริงแล้วก็คือเงาสะท้อนของผู้ใหญ่หาได้เข้าใจสิ่งใดไม่ สอนเขาอะไร เขาก็เรียนรู้เช่นนั้น บัดนี้ที่ไทเฮาตรัสว่าปล่อยปละไปบ้าง ผู้ตรวจการเถี่ยถึงขั้นไม่สามารถเห็นด้วยได้เขากล่าวหนักแน่นราวกับตอกลงบนหินผา “ไทเฮา พระองค์กล้าเสด็จออกไปสักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เสด็จไปทอดพระเนตรลานสุนัขชานเมืองหลวงสักหน่อยไหม? ไปดูบิดามารดาที่สูญเสียบุตรหลาน ไปดูราษฎรที่สูญเสียญาติพี่น้อง!”ไทเฮาเถียนพลันหรี่พระเนตรลง เสียงสั่นเครือพลางทอดพระเ
ขณะที่ราชเลขาธิการฉู่ป๋อกำลังนำขุนนางสำนักขุนนางหลวงปรึกษาว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีอยู่นั้น ขันทีเซี่ยก็เหลือบเห็นว่ามีขันทีน้อยแอบชะโงกศีรษะอยู่ด้านนอก จึงรีบย่องออกไป ครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมสีหน้าอึดอัดใจ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท ไทเฮาเสด็จมาพะยะค่ะ”สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางพลันมืดครึ้มลงทันทีผู้ตรวจการเถี่ยก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา “ไทเฮาจะต้องเสด็จมาเพื่อทูลขอความเมตตาแน่นอน! แต่เรื่องนี้เลวร้ายเกินไปนัก หากตระกูลเถียนรอดพ้นโทษไปได้โดยง่าย เช่นนั้นแล้วแผ่นดินนี้ยังจะมีความยุติธรรมเหลืออยู่อีกหรือ?! ราษฎรจะยังศรัทธาต่อขุนนางและราชสำนักได้อีกหรือไม่?!”เขากล่าวอย่างร้อนรนว่า “กระหม่อมจักไปทูลต่อไทเฮาด้วยตัวเอง!”ทันใดนั้นเอง ขันทีใหญ่อีกคนชื่อจงจินสุ่ยก็รีบก้าวเข้ามา กราบทูลรายงานต่อฮ่องเต้หย่งชางด้วยเสียงเร่งร้อนว่า “ฝ่าบาท! ไทเฮาทรงฉลองเพียงชุดขาวไว้ทุกข์ เสด็จมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระตำหนักไท่จี๋ด้วยเท้าเปล่าพ่ะย่ะค่ะ!”อะไรนะ?!เหล่าขุนนางทั้งหลายถึงกับอึ้งไปถ้วนหน้าฮ่องเต้หย่งชางก็ขมวดพระขนงแน่นที่จริง พระองค์หาใช่พระโอรสโดยสายเลือดของไทเฮาไม่ เมื่อตอนเ
ผู้ตรวจการเถี่ยยังคงสวมชุดขาวไว้ทุกข์ปล่อยผมสยาย คุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าววาจาด้วยความชอบธรรมว่า “ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชา ตลอดหลายปีมานี้ ทรงสังหารขุนนางกังฉิน ลอกหนังพวกมันเป็นอุทาหรณ์ ทรงตั้งกฎหมายด้วยพระองค์เอง เปิดโรงเรียนให้ราษฎรได้อ่านเขียนหนังสือ……”“แต่ต่อให้พระองค์ทรงทำดีเพียงใด ราษฎรกลับไม่มีใครล่วงรู้!” เขาพูดพลางหอบหายใจแรงด้วยความโกรธจัด “สาเหตุนั้นอยู่ที่ใด? ก็อยู่ที่บรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางกินตำแหน่งเปล่าเหล่านี้! แต่ละคนด้านหนึ่งเสวยผลประโยชน์จากบรรดาศักดิ์ที่ตนมีอยู่ ด้านหนึ่งก็ยังละโมบไม่รู้จักพอ!”ฉู่ป๋อถอนหายใจเบา ๆผู้ตรวจการเถี่ยคือขุนนางที่ดีจริงแท้เขาเติบโตมาอย่างยากแค้น บิดาตายตั้งแต่ยังเล็ก มารดาก็แต่งงานใหม่ พาเขาไปอยู่กับครอบครัวใหม่เหมือนเป็นตัวเกะกะติดปลายมือ แต่ผู้ตรวจการเถี่ยกลับไม่เคยลืมกำพืด ทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของบิดา เขาจะลอบซื้อกระดาษเงินกระดาษทองไปเซ่นไหว้เสมอจนครั้งหนึ่งถูกพ่อเลี้ยงพบเข้า จึงถูกขับไล่ออกจากบ้านเด็กเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง ต้องอาศัยเลี้ยงชีพด้วยการต้อนวัว ซักผ้า ช่วยเลี้ยงเด็กในหมู่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมใฝ่เร
เจ้าเหล่าเถี่ยนี่เขาจะวิ่งพุ่งไปโขกเสาแล้วจริง ๆ หรือ!ฮ่องเต้หย่งชางพลันปวดหัวขึ้นมาทันที รีบตะโกนเรียกลู่อี้เฟิงว่า “เร็ว ๆ ๆ! ขวางเขาไว้! ขวางเขาไว้!”ผู้ตรวจการเถี่ยเอ่ยอย่างองอาจผึ่งผายว่า “เจ้าเถียนเป่าซื่อผู้นี้ ไม่เคยเห็นค่าชีวิตคนเลย ตั้งแต่หลายปีก่อนก็ทำให้มีผู้ตายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับถูกตระกูลเถียนใช้สารพัดวิธีปกปิดเอาไว้หมด!” “อย่างเมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเพราะสุนัขตัวหนึ่ง ถึงกับคิดจะฟาดตีเอาชีวิตคุณชายสองคนแห่งจวนหย่งผิงโหว ในสายตาของเขา มนุษย์ยังต่ำต้อยยิ่งกว่าสุนัขเสียด้วยซ้ำ!”“บ้านเมืองเรามีขุนนางตระกูลใหญ่เช่นนี้ ผู้ที่ตีมิได้แตะต้องมิได้ ได้เพียงลืมตาดูเขาสำราญอหังการไปทั่วโดยไม่มีใครห้าม!”“แล้วพวกเจ้าด้วย!”เขาหันกาย พลางถ่มน้ำลายใส่เหล่าขุนนางทั้งหลาย “ล้วนเป็นพวกไร้ค่าที่กินแรงบ้านเมืองไม่ต่างจากศพเน่า! เป็นพวกประจบสอพลอหาผลประโยชน์! พวกเจ้าที่ร่ำเรียนตำราของนักปราชญ์มาก็เสียเปล่า พวกเจ้าคือความอับอายของตำแหน่งขุนนางผู้ปกครองราษฎร!”“ลานสุนัขที่ทงโจว! มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายไม่รู้กี่ชีวิต ใช้คนเป็นอาหารสุนัขมากี่ปีแล้ว! ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าไม่มีใครล่ว
ในท้องพระโรงเงียบสงัด หากเข็มตกคงได้ยินชัดเซียวจิ่งจาวคุกเข่าตัวตรงแน่ว เอ่ยเสียงสะอื้น “เสด็จปู่ หลานพาคุณหนูเฝิงไปชมการประลอง แต่ใครเล่าจะรู้ว่า...”เขาหยุดไปเนิ่นนาน กว่าจะหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่ เอ่ยอย่างเจ็บปวด “ใครเล่าจะรู้ เพียงเพราะหลานยื่นมือไปก้าวก่าย โต้เถียงกับเฉิงเอินกง เรียกร้องให้รีบช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ตรวจสอบความจริงเรื่องลานสุนัข ตระกูลเถียน ตระกูลเถียนก็ปล่อยสุนัขกัดคุณหนูเฝิง คู่หมั้นของหลานจนตาย!”เฮือก!บัดนี้ในท้องพระโรงไม่เงียบงันอีกต่อไป แต่ทุกคนกลับอดเสียงฮือฮาไว้ไม่ได้คำพูดเมื่อครู่ของเซียวจิ่งจาวหมายความว่าอย่างไร?!หมายความว่า ตระกูลเถียนคิดแก้แค้น คิดแก้แค้นที่เซียวจิ่งจาวเข้ามาแทรกแซง จึงปล่อยสุนัขกัดเฝิงไฉ่เวยตาย! กัดว่าที่พระชายาจวิ้นอ๋องตาย?!ตระกูลเถียน ตระกูลเถียนคิดว่าตนเองเป็นไท่ซ่างหวง[1]แล้วกระนั้นหรือ?!แม้แต่ฉู่ป๋อก็อดมิได้เงยหน้าเหลือบตาขึ้น มองเซียวจิ่งจาวอย่างพินิจหนึ่งแวบก่อนหน้านี้ล้วนคิดกันว่า วังบูรพามีเพียงพระราชนัดดาเท่านั้นที่ค้ำจุนอยู่แต่บัดนี้มองดูแล้ว จวิ้นอ๋องหนานอานก็เป็นผู้ที่โดดเด่นมิใช่น้อย!ดูศิลปะในการเจรจาของเขา
เดิมที ชีหยวนหาได้รู้สึกอันใดไม่ เพียงแค่เวียนศีรษะเล็กน้อยฮูหยินผู้เฒ่าชีถึงกับตกตะลึง รีบถาม “แล้วควรทำอย่างไรดี?”หมอหลวงหูถอนหายใจแรง “คุณหนูใหญ่ชี ท่านมียาแก้พิษใช่หรือไม่?”ชีหยวนรับคำ “มี ข้ากินไปแล้ว”......หมอหลวงหูอดกลอกตาไม่ได้ ยาแก้พิษก็กินไปแล้ว แล้วจะเรียกเขามาทำไมกัน?!บาดแผลนี้อีกไม่นานก็สมานเองมิใช่หรือ?!แต่ถึงจะขุ่นเคือง เขาก็ยังอดถามมิได้ “จริงสิ คุณหนูใหญ่ชี ยาแก้พิษของท่านนั่น ข้าขอดูได้หรือไม่?”เขาสงสัยใคร่รู้จริง ๆ ยาแก้พิษของคุณหนูใหญ่ชีดูท่าจะได้ผลเลิศแท้!ชีหยวนพยักหน้า ถอดน้ำเต้าเล็กที่เอวส่งให้ไป๋อิน ให้นางนำออกไปให้เขาส่วนตัวนางเองก็รวบเสื้อผ้านั่งขึ้น “ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ท่านย่า ท่านน้าสะใภ้รองไม่ต้องกังวล บัดนี้สิ่งที่ข้าอยากรู้ยิ่งกว่าคือ เรื่องนี้เป็นเช่นไรแล้ว”เป็นเช่นไรหรือ?หมอหลวงหูจิ๊ปาก “เมืองหลวงวุ่นวายโกลาหลไปทั้งเมืองแล้ว!”เซียวจิ่งจาวเร่งม้าอย่างไม่หยุดยั้งกลับสู่เมืองหลวง ครั้นถึงก็รีบเข้าเฝ้าฮ่องเต้หย่งชาง นำความทั้งปวงกราบทูลโดยละเอียดให้ฮ่องเต้หย่งชางทรงทราบเดิมที ฮ่องเต้หย่งชางเร่งรัดให้สำนักขุนนางหลวงรีบจัดสรรเงินบ