1
งานเทศกาล
แสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็น
สตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆ
เห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้
“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผู้เป็นพี่สาว เหลียงฟางหรงเป็นบุตรสาวสุดที่รักของถีเยว่สือนอกจากมารดารักใคร่ตามใจ แม้แต่บิดาก็เอ็นดูนางมากเช่นกัน ทั่วใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มเครื่องประทินผิวชั้นดี
สิ่งใดที่คุณหนูสกุลใหญ่มี น้องสาวนางล้วนมีทุกสิ่ง เหลียงฟางหรงเหลือบดวงตาประกายมองสำรวจเรือนร่างพี่สาว เห็นว่านางแต่งกายด้วยอาภรณ์เก่า ๆ ของมารดาที่ล่วงลับก็นึกขันขึ้นมา ชุดสีขาวซีดท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเขียวอ่อนดูก็รู้ว่ามันเก่ามากเพียงใด เหลียงฟางหรูไม่มีเงิน ไม่มีอาภรณ์ใหม่ให้สวมใส่ทำได้เพียงนำของ ๆ มารดามาใส่เท่านั้น
ประกายความไม่พอใจในดวงตาน้องสาวพลันหายไปรวดเร็วเมื่อเหลียงฟางหรูสบเข้า กระทั่งอยู่ในชุดเก่า ๆ เช่นนี้ยังมิอาจกลบรัศมีความงดงามของหญิงสาวได้เลย เพราะเหตุนี้เหลียงฟางหรงที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นที่หนึ่ง จึงไม่พอใจพี่สาวต่างมารดาอยู่เสมอ...
“พี่เองก็มาได้ไม่นาน” เหลียงฟางหรูไม่เคยรับรู้จิตใจของบรรดาผู้คนในจวนนี้ เพราะนางมองทุกสิ่งด้วยหัวใจที่อบอุ่นและความดีงาม ความชั่วร้ายเลวทรามที่ถูกปกปิดจึงมิอาจมองเห็น นางตอบน้องสาวต่างมารดาด้วยรอยยิ้มใสซื่อ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของแม่รองรอยยิ้มใสซื่อแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความรู้สึกผิด
“เจ้าไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” นางคงทำให้แม่รองอับอายไม่น้อย หากสวมชุดเช่นนี้ออกไป แม้เป็นเช่นนั้นนางก็ไม่อาจทำสิ่งใดให้ดีกว่านี้ได้ ใบหน้าเรียวเล็กเริ่มมีเหงื่อซึมบ่งบอกว่านางคงรอที่นี่มานานแล้ว สองแม่ลูกหาได้สนใจเม็ดเหงื่อเม็ดโตตรงกรอบหน้าของเหลียงฟางหรู หญิงสาวประสานมือยอบตัวลงอีกครั้งขออภัยสตรีที่เริ่มสูงวัยตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด พลางกล่าวว่า “ขออภัยแม่รอง ฟางหรูไม่มีผ้าใหม่จึงได้แต่นำชุดของมารดามาสวมใส่”
“ช่างเถอะ สวมใส่ผ้าดีก็มิได้แปลว่าเป็นผู้ดี” ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยสะบัดเชิดไปอีกทาง ทั้งที่เหลียงฟางหรูกำลังคำนับนางอยู่ ใบหน้างดงามเจือนลงถนัดตา รับรู้ได้ว่าแม่รองไม่พอใจสิ่งที่นางกระทำ จึงไม่เอ่ยสิ่งได้ขึ้นมาให้ถีเยว่สือรำคาญใจอีก นางชินเสียแล้วกับการต้องใช้ชีวิตด้วยการสังเกตสีหน้าผู้อื่นเช่นนี้ หญิงมีอายุหันไปแตะแขนเรียวเร่งบุตรสาวให้ออกจากจวน เกรงว่าหากนานกว่านี้จะไม่ทันกาลเสียเปล่า
“อย่างนั้นไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันงาน”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หญิงสาวทั้งสองยอบกายรับคำแล้วเดินตามถีเยว่สือออกจากจวนไป นางเดินนำดรุณีน้อยทั้งสองไปหน้าจวนพอถึงหน้าจวนก็เร่งพากันขึ้นรถเทียมม้าไปยังถนนฟูหลิง ถนนฟูหลิงเป็นตลาดฝั่งบูรพาที่คึกครื้นที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะมีงานเทศกาลใด ที่นี่ก็มีผู้คนพลุกพล่านเสมอหากไม่อยู่ด้วยกันตลอดเกรงว่าคงพลัดหลงกันได้ง่าย
แต่เหลียงฟางหรูไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น...
สองข้างทางประดับโคมไฟตัวอ้วนสีแดงมากมาย ด้านในมีเปลวไฟจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง แคว้นจิ้งไม่มีข้อห้ามสตรีออกนอกจวนหลังยามโหย่ว จึงไม่แปลกหากแถบตลาดบนถนนฟูหลิงจะมีสตรีมากมายเดินเที่ยวเตร่กันอยู่มากมาย
สตรีมากมายแต่งกายด้วยชุดสีสันงดงาม ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องประทิน ชาดแดง แต่ละคนแขวนถุงหอมกลิ่นหอมฟุ้ง เป็นภาพที่นางมิเคยแม้แต่จะจินตนาการถึงเลย
ช่างครึกครื้นยิ่งนัก...เหลียงฟางหรูไม่เคยพบเห็นเทศกาลอย่างนี้ ค่อนข้างตื่นเต้นเหลียวซ้ายทีแลขวาทีดวงตาสุกใสราวกับดวงดาวยามฟ้าโปร่ง แม้จะตื้นเต้นนางก็ยังคงรักษามารยาทที่ถูกสั่งสอนเอาไว้
ดวงตาพิสุทธิ์วาววาบเมื่อเหลียวมองไปยังผู้คนบนถนน ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบาง นอกจวนเป็นเช่นนี้เอง สายตานางจดจ้องไปยังร้านเครื่องประทินผิว ถัดมาเป็นร้านเครื่องประดับ นอกร้านตกแต่งหรูหราโอ่อ่า แปลกตาเป็นที่สุด
กล่าวว่านางเป็นดั่งชาวบ้านชนบทเพิ่งเข้าเมืองก็ไม่ถือว่าเกินไป แต่ท่าทีนางน่ามองยิ่งนักสำหรับเงาสูงโปร่งบนชั้นสองของโรงน้ำชาฝั่งเดียวกับโรงเตี้ยมใหญ่...
หลังผ่านร้านเครื่องประดับมาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็ถึงโรงเตี้ยมที่ซึ่งจัดงานเย็บปัก โรงเตี้ยมเหอชงแห่งนี้จัดงานแข่งเย็บปักมาเกือบเจ็ดปีแล้ว และงานนี้ก็ใหญ่ขึ้นทุกที
แคว้นจิ้งมีผู้คนมาเที่ยวชมมากขึ้นทุกปี เช่นนี้แคว้นจิ้งจึงมีผู้คนเข้าออกมากที่สุดในเจ็ดแคว้นแห่งแผ่นดินต้าอัน สตรีในแคว้นจิ้งออกจากบ้านเรือนตนเองมาก็ล้วนเป็นเพราะสิ่งนี้ รถเทียมม้าหยุดลงก่อนถึงโรงเตี้ยมสามเชียะ ม่านถูกแหวกออกด้วยมือเล็กของเหลียงเซียวสาวใช้คนสนิทของเหลียงฟางหรง เหลียงฟางหรงวางมือบนฝ่ามือของสาวใช้ก้าวลงจากบันไดรถเทียมม้าแช่มช้า ดวงตาเรียวเล็กชะม้ายมองไปด้านหน้าแล้วหลุบลงอย่างเอียงอาย ถีเยว่สือสอนมารยาหญิงให้นางมากมายและนางก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี ราวกับถูกส่งผ่านสายเลือดมา เหลียงฟางหรูลงจากรถเป็นคนสุดท้ายโดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ พอลงมาก็รีบเดินตามไปเร็วรี่
ที่นี่ผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่านไปหมด เหลียงฟางหรูรีบเดินประชิดตัวน้องสาวต่างมารดา กลัวตนเองจะพลัดหลง เหลียงฟางหรงรับรู้ความคิดนั้นจึงเหยียดยิ้มให้กับท่าทางเหลียงฟางหรู นางพอใจเมื่อเห็นว่าพี่สาวต่างมารดาระแวดระวังกังวลเช่นนี้ มันทำให้คิดได้ว่าหากพลัดหลงไป นางคงไม่อาจกลับจวนเองได้...
ขอแค่นางไม่กลับจวนในวันนี้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมต้องข่าวเล่าข่าวลือไปไกลเป็นแน่
“คารวะเหลียงฮูหยิน” ผู้ดูแลโรงเตี้ยมรีบประสานมือค้อมคำนับผู้ที่เพิ่งเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดทำการค้าในถนนฟูหลิงตลาดฝั่งบูรพาก็ล้วนต้องรู้จักฮูหยินของเหลียงซ่างซู ถีเยว่สือขยับมุมปากขึ้นเมื่อผู้แลเข้ามาทัก
“ยังมีที่ว่างให้ข้าหรือไม่”
“ที่ของเหลียงฮูหยินข้าย่อมต้องเตรียมไว้ให้ ฮูหยินเชิญทางนี้” มือเรียวรีบผายไปอีกทางเมื่อถีเยว่สือถามหาที่นั่งของตนเอง ที่นี่เป็นโรงเตี้ยมมีชื่อนอกจากอาหารรสดีเป็นที่เลื่องลือ การจัดงานเย็บปักนี้ก็มีชื่อไม่แพ้กัน ผู้คนพากันมาก็เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าผู้มีฝีมือเย็บปักเป็นที่หนึ่งหน้าตาเป็นอย่างไร
โรงปักภายในแคว้นก็ล้วนเข้าร่วมงานนี้ หากเป็นผู้ชนะโรงปักผ้าก็จะมีงานตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าเป็นการประกาศความสามารถของโรงปักเลยก็ว่าได้
ผู้ดูแลพาหญิงสาวต่างวัยทั้งสี่ขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี้ยม ที่นั่งกลางอาคารชั้นสองเป็นมุมที่มองเห็นโถงด้านล่างอย่างแจ่มชัด นางนั่งลงฝั่งซ้ายของโต๊ะให้บุตรสาวสุดรักนั่งตรงกลาง ฝั่งตรงข้ามให้เหลียงฟางหรูนั่งลง
“พี่ฟางหรูชอบงานเช่นนี้หรือ” น้องสาวต่างมารดาเอียงคอเอ่ยถามท่าทางใสซื่อ ราวกับน้องสาวตัวน้อย ใบหน้าขาวใสมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีความคิดลึกลับซับซ้อนซ่อนอยู่ ยิ่งถามด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ผู้ใดจะคิดว่านางเกลียดพี่สาวเช่นเหลียงฟางหรู เกลียดจนถึงขั้นอยากให้อีกฝ่ายย่อยยับเพียงนี้
“หากบอกว่าไม่ก็คงโกหก พี่ไม่เคยออกจากจวนจึงตื่นเต้นเท่านั้น หากเป็นไปได้ก็อยากลองแข่งเย็บปักดูบ้าง”
“หากพี่แข่งจริง เกรงว่าคนเหล่านี้คงสู้มิได้” คำพูดคำจาอ่อนหวาน วันนี้น้องสาวนางน่าเอ็นดูเสียจริง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็ชื่นชมนางอยู่ตลอด แม้จะนึกแปลกใจแต่ก็รู้สึกยินดีไปพร้อมกัน
เหลียงฟางหรูยกมือขึ้นปัดปรอยผมที่ปลิวมาปรกหน้าน้องสาวออกอย่างเบามือ มือเรียวลูบไล้แผ่วเบาคล้ายกลัวอีกคนจะเจ็บเมื่อสัมผัส
แม้จะต่างมารดาแต่อย่างไรก็บิดาเดียวกัน เหลียงฟางหรูไม่เคยนึกเกลียดชังน้องสาว ซ้ำยังรักและเป็นห่วงนางอีก ต่างกับอีกฝ่ายที่จงเกลียดจงชังแต่แสร้งรักใคร่ “อะ” เหลียงฟางหรงสะดุ้งเมื่อถูกนิ้วเรียวแตะแก้ม
“พี่ฟางหรูมิลองส่งผ้าปักไปแข่งด้วยหรือ ข้าเห็นพี่เตรียมผ้ามาด้วย” ใบหน้าขาวเนียนขยับหนีมือของพี่สาวเชื่องช้า ในใจนึกรังเกียจสัมผัสเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้กล่าววาจาออกไป นางยังต้องเป็นคนดีในสายตาพี่สาวต่างมารดาผู้นี้อยู่
ขยับแล้วกล่าวเรื่องอื่นเปลี่ยนความสนใจของเหลียงฟางหรู ยามนี้นางต้องให้เหลียงฟางหรูไปจากโต๊ะเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการยากต่อสิ่งที่คิดเอาไว้
“เพียงส่งผ้าปักเท่านี้ก็ได้หรือ”
“ได้สิ หากถูกเลือกสุดท้ายก็จะได้ปักให้ผู้คนได้ดู”
“นั่นสิ ไปส่งผ้าเสียสิ อย่างไรก็นำมาแล้ว” สายตาเบื่อหน่ายมองลงไปชั้นล่างเห็นผู้ที่หมายปองไว้มาแล้ว ถีเยว่สือจึงรีบสำทับคำพูดบุตรสาวอีกแรง หญิงสาวได้ฟังก็ยิ้มตอบบางเบา ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบผ้าปักสองสามผืนออกมาเลือกเฟ้น
เลือกไม่ได้จึงให้น้องสาวช่วยอีกแรง เลือกได้ก็รีบลงไปส่งผ้าปักเอง เพื่อให้ผู้ดำเนินการกลางโถงได้สอบถามที่มาที่ไปของตนด้วย
“เจ้าค่ะ แม่รอง” ถ้วยชาถูกยกขึ้นมาโคลงไปมา ช่วยให้ยาผงที่เทลงไปเมื่อครู่ผสมกับชาโดยไว ยานี้ไม่มีสีไม่กลิ่น เจ้าของถ้วยชาย่อมไม่รับรู้ว่ามีสิ่งใดแปลกปนอยู่ด้วย
ถีเยว่สือวางถ้วยชาของเหลียงฟางหรูลงแล้วหันไปยิ้มให้บุตรสาว ยกมือลูบหัวนางเสียยกใหญ่ ไม่ว่าบอกสอนสิ่งใดบุตรสาวก็มิเคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครา
คราวนี้จะได้กำจัดหนามทิ่มแทงใจ รบกวนสายตาออกไปจากจวนเหลียงได้เสียที...
หรูซิน สามปีแล้ว หลังจากให้กำเนิดบุตร เพ่ยเลี่ยงหลินพาเหลียงฟางหรูและบุตรสาวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง คอยช่วยผู้เป็นน้องชายดูแลราชกิจต่าง ๆ เพ่ยฮุยหวงสละบรรดาศักดิ์ให้เพ่ยเลี่ยงหลิงสืบทอดตำแหน่งชินอ๋องครองแคว้นจิ้งขึ้นเป็นจิ้งอ๋อง ส่วนเพ่ยเลี่ยงหลินยังคงเป็นท่านชายของแคว้นพ่วงตำแหน่งที่ปรึกษาบ้านเมืองสงบขึ้นมากหลังจากสองพี่น้องช่วยกันดูแลบ้านเมือง เพ่ยฮุยหวงยินดียิ่งที่ได้เห็นบ้านเมืองเจริญขึ้น ชาวประชาก็มีสุขบัดนี้ยังมีหลานสาวให้คอยดูแลอีกด้วย เพ่ยหรูซินบุตรสาวคนเดียวของเพ่ยเลี่ยงหลินและเหลียงฟางหรู นางเป็นที่รักไม่ว่าผู้ใดเห็นก็เอ็นดู ยิ่งกับเพ่ยฮุยหวงเรียกร้องให้บุตรชายพาหลานสาวเข้าวังทุกวัน“ซินเอ๋อร์”“ท่านอา” เด็กสาวหันกลับไปมองผู้ที่ส่งเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ร้องออกมา ก่อนจะวิ่งถลาเข้าใส่อ้อมกอดผู้เป็นอา เพ่ยเลี่ยงหลิงอุ้มยกเด็กสาวโยนขึ้นสูงแล้วพากันหัวเราะชอบใจ เขาอุ้มเพ่ยหรูซินเดินไปพี่ชายและพี่สะใภ้“เหตุใดหลังท่านพี่เข้า
ตอนพิเศษ นรกทั้งเป็น “ข้าบอกให้ซักเบา ๆ มิใช่หรือ” หญิงสาวตรงหน้าต่อว่าเสียงดังพลางโยนอาภรณ์สีเหลืองอ่อนใส่สตรีวัยใกล้เคียงกันที่นั่งอยู่ตรงอ่างไม้ ในมือข้างหนึ่งถือไม้ซักผ้าไว้ มืออีกข้างก็จับอาภรณ์เปียกน้ำ เมื่อถูกโยนอาภรณ์ใส่หัวอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยโดน ของทุกอย่างในมือจึงถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีอีก ใบหน้างดงามขมวดเกร็งหมายจะเอาคืนสักที ไม่ทันคิดให้รอบครอบฝ่ามือเปียกชื้นก็ตวัดฟาดเสี้ยวแก้มของหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มตรงหน้าอย่างแรง “เป็นแค่คณิกาชั้นต่ำ ข้าทำให้ก็เป็นบุญของเจ้าแล้ว อย่าได้คืบจะเอาศอก” “เจ้ากล้าตีข้าเชียวหรือ ข้าจะฟ้องนายท่าน” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าคณิกายกมือประคองใบหน้าตน พลางกัดริมฝีปากทดสอบว่ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งนี้มาจากริมฝีปากนางใช่หรือไม่ “สตรีต่ำช้า เป็นแค่อนุกลับกล้าวางท่าราวกับตนเองเป็นนายหญิงของตระกูล” เหลียงฟางหรงกล่าวเสียงต่ำพลางพุ่งเข้าไปใช้มือจิกกลุ่มผมของสตรีตรงหน้าอย่างแรง
56ข้าเองก็เช่นกัน ขุนนางกังฉินทั้งหมดถูกโบยคนละหนึ่งร้อยไม้ ผู้ที่รอดจากการโบยก็ถูกเนรเทศจากแคว้นพร้อมครอบครัว ทรัพย์สินถูกยึด มีเพียงเหลียงจินฮ่าวและฮุ่ยฉีเลี่ยที่ถูกโบย ถูกวาดอักษรกังฉินไว้บนหน้า ขับไล่ไปเป็นทาสที่แถบชายแดนซึ่งกำลังสร้างกำแพงเมืองอยู่เหลียงจินฮ่าวถูกพาไปเป็นทาสใช้แรงงานพร้อมถีเยว่สือที่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอลงมาก เพราะก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในคุกนาน ถูกลงโทษได้แผลมาไม่น้อยหากไม่ใช่เพราะเหลียงฟางหรูตั้งครรภ์จึงไม่เอยากเอาชีวิตผู้ใด คนเหล่านี้คงถูกประหารไปจนสิ้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้รับโทษน้อยเลยโทษตายเว้นได้แต่โทษเป็นนั้นยากหลีกหนี เหลียงจินฮ่าวและถีเยว่สือต้องใช้แรงงานของตนเพื่อแลกอาหารกิน เหลียงฟางหรูไม่แม้แต่จะเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาตอนถูกขับไล่ นางเพียงปลายตามองแวบเดียวก็กลับไป แต่เพราะเหลียงฟางหรงเป็นคนสกุลเฉิงไปแล้วจึงมิได้ถูกเนรเทศขับไล่ไปเป็นทาสด้วย“เจ้าพอใจหรือไม่” ผู้เป็นสามีเอ่ยถามขณะกอดประคองนางอยู่บนกำแพงเ
55ข่าวดีหลังข่าวร้าย การไต่สวนเหล่าขุนนางมากมายเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ละคนล้วนให้การกล่าวโทษผู้อื่นเพียงเพื่อให้ตนเองมีโทษน้อยที่สุด เพ่ยเลี่ยงหลิงที่ไม่ได้มีความอดทนดังผู้เป็นพี่ชายจึงใช้วิธีทรมานเพื่อให้ได้รับคำสารภาพเดิมการทรมานเพื่อให้รับผิดไม่ควรถูกใช้ แต่ยามนี้เป็นยามที่ราชสำนักต้องกำจัดสิ่งไร้ประโยชน์จิ้งอ๋องจึงยอมหลับตาข้างหนึ่ง ท่านชายรองยิ่งชอบใจที่ทำแล้วไม่ถูกผู้เป็นบิดาดุด่าไม่เกินสามวันจึงได้คำตอบที่น่าพึงพอใจให้แก่ชาวประชาทั่วแคว้น สามวันก่อนเพ่ยซื่อจื่อรีบเร่งกลับตำหนักเพื่อไปดูเหลียงฟางหรูที่อยู่ ๆ ก็หมดสติ เขาคงไม่กังวลมากนักหากมิใช่เพราะนางอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ภายในใจร้อนดังถูกเปลวไฟแผดเผา ขณะที่ยืนรอฟังหมอหลวงอยู่หลังฉากกั้นก็เดินวนไปวนมา หลังฉากกั้นมีเสี่ยวไป๋และซ่านซ่านคอยดูนางอยู่เกือบสองเค่อจึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้น หมอหลวงทำท่าจะคุกเข่ารายงาน แต่เพ่ยซื่อจื่อร้อนใจจนไม่อาจทน
54ทั่วทั้งแคว้นมีเพียงท่านชายรอง “กล่าวว่าก่อกบฎก็ไม่ถูกนัก อย่างไรเสียท่านชายรองก็เป็นบุตรชายของพระชายาเอก มีสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจิ้งอ๋องได้อย่างชอบธรรม” เพ่ยเลี่ยงหลิงยืนนิ่งปล่อยให้ฮุ่ยฉีเลี่ยเป็นผู้ออกหน้าเอ่ยวาจาทั้งหมดเอง ฮุ่ยฉีเลี่ยเดิมทีกังวลว่าจะถูกประหารเพราะจิ้งอ๋องคงตรวจพบความผิดเขาจากบันทึกของเหลียงจินฮ่าว แต่เมื่อเพ่ยเลี่ยงหลิงปรากฎตัวความกลัวก็มลายหายไป เปลี่ยนเป็นขวัญกล้ากล่าวทุกสิ่งออกมา“ท่านชายใหญ่แม้จะเป็นบุตรพระชายาแต่ก็ไม่มีความชอบมากเท่าท่านชายรอง แคว้นนี้ยังคงต้องการท่านอ๋องที่ปรีชาสามารถ ออกรบไม่เกรงกลัว ควบคุมทหารได้ดุจเทพเซียน เช่นนี้ทั่วทั้งแคว้นก็มีเพียงท่านชายรองเท่านั้น แต่ท่านอ๋องไม่ทรงทอดพระเนตรใช้เพียงความชอบของพระองค์แต่งตั้งซื่อจื่อโดยไม่ดูความเหมาะสม อย่าได้กล่าวโทษข้าเลย”“เช่นนั้นผู้ที่วางยาซื่อจื่อก็เป็นเจ้าเองใช่หรือไม่ฮุ่ยฉีเลี่ย หลิงเอ๋อร์เจ้าเองก็ร่วมมือกับฮุ่ยฉีเลี่ยลอบทำร้ายพี่ชายตนเองหรือ” จิ้งอ๋องถามขึ้นอย่างปวดใจ น้ำเสียงแ
53อย่าทรงมีโทสะ บุรุษใกล้วัยชราภาพเต็มทีเดินเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม มาถึงได้ก็ถวายบังคมจิ้งอ๋องพลางกล่าวเชยชมก่อนยื่นฎีการายงานความผิดของเหลียงซ่างซู“ถวายบังคมท่านอ๋อง ยามนี้ซื่อจื่อถูกพิษจ็บป่วยไม่รู้ชะตา เรื่องนี้สืบไปสืบมาก็มิพ้นตระกูลเหลียง ข้าน้อยในฐานะขุนนางของพระองค์จึงได้เร่งตรวจสอบการทำงานของเหลียงจินฮ่าว พบว่าเหลียงจินฮ่าวผู้นี้ทุจริตเงินและรับสินบนจำนวนมากตลอดการเป็นขุนนางจึงนำรายงานมาถวายให้ท่านอ๋อง” จิ้งอ๋องได้ฟังจนจบก็พยักหน้าให้กงกงรับฎีกาและบันทึกรับสินบนจากอำมาตย์ฮุ่ยมาดู อ่านฎีกาและบันทึกรับสินบนอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าเครียดเกร็ง วางกระแทกสิ่งของในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง“ต่ำช้านัก แม้แต่เสบียงบรรเทาภัยพิบัติก็ไม่เว้น ข้าเลี้ยงขุนนางสวะเช่นนี้ไว้มีประโยชน์อันใดต่อประชา” จิ้งอ๋องผรุสวาทออกมาเสียงดังลั่นห้องทรงอักษร น้ำเสียงมีเพียงเกรี้ยวกราด ฮุ่ยฉีเลี่ยเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มย่องในใจ ใส่ใจอีกเพียงเล็กน้อยไม่แคล้วเหลียงจินฮ่าวถูกสั่งประหาร