วันนั้นหลังจากจางอวี่เยี่ยนถูกซูเซวี่ยนตบไปฉาดหนึ่งก็โวยวายไปอีกสองรอบ แต่หลังจากที่ถูกสั่งสอนไปนางก็ว่าง่ายแล้ว ไม่กล้าขัดคำสั่งซูเซวี่ยนอีก นางต้องเรียนรู้ที่จะประจบเอาใจ ปรนนิบัติเขาอย่างไร้ศักดิ์ศรีเหมือนสาวใช้ในเรือนของเขาอย่างไรก็ตาม แม้นางจะไม่มีเกียรติ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เรียกนางว่าฮูหยิน และนางไม่ต้องไปทำงานเหมือนสาวใช้วันนี้ด้านนอกหิมะตกหนัก เกล็ดหิมะปลิวไสวราวขนห่าน ยามที่นางอยู่ในเมืองหลวงไม่เคยเห็นหิมะตกหนักเช่นนี้มาก่อน ตอนออกจากเมืองหลวง ท่านแม่บรรจุสินเดิมให้นางถึงสามคันรถเต็มๆ และได้เตรียมเสื้อผ้าที่ใส่ในฤดูหนาวไว้ให้นางอย่างพรั่งพร้อมด้วยในเวลานี้ นางทำได้เพียงดูของต่างหน้าคน คิดถึงบ้านที่เมืองหลวง คิดถึงมารดานางคิดไม่ถึงว่า ท่านแม่ทัพซูจะมีอนุภรรยามากมายเช่นนี้ กระทั่งบางคนยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางอีกเมื่อมองดูดวงตาที่คับแค้นและหดหู่แต่ละคู่ในจวน ความหวาดหวั่นและขลาดกลัวก็เต็มรื้นขึ้นมาในหัวใจของจางอวี่เยี่ยน นางยิ่งระมัดระวังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องให้ซูเซวี่ยนทำพิธีแต่งงานกับนางอีก นางรู้สึกว่าแม้ปากพวกเขาจะเรียกนางว่าฮูหยิน แต่นางได
นางถือโอกาสกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าต้องการกลับบ้านเจ้าค่ะ ข้าจะไปดูท่านแม่ของข้า” นางแค่ต้องการหนีเท่านั้นทันใดนั้น ใบหน้าของซูเซวี่ยนก็ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาแล้วหายไป “ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ อีกทั้งหิมะยังตกหนักจนปิดทาง ที่ชายแดนก็กำลังทำสงครามอีก สถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ เจ้าจะกลับไปได้อย่างไร”“แต่ท่านแม่ของข้า…”“ข้าจะให้คนของสกุลซูไปดูที่จวนสกุลจางเอง เจ้าจงพักอยู่ที่นี่อย่างวางใจ ไม่ได้ไปที่ใดทั้งนั้น” น้ำเสียงของเขาไม่อนุญาตให้สงสัย ยิ่งไม่อนุญาตให้ต่อต้านสวี่หมัวมัวที่รออยู่ด้านข้างรับปลอบใจนาง “ฮูหยินโปรดระงับความเสียใจ ท่านเขยจะต้องจัดการจนเรียบร้อยแน่เจ้าค่ะ”สวี่หมัวมัวเป็นหมัวมัวคนสนิทที่ฮูหยินรองสกุลจางจัดมาอยู่ข้างกายจางอวี่เยี่ยน นับตั้งแต่พวกนางมาถึงชายแดนและเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนสกุลซู พวกนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวเช่นกันไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินก็จับคุณหนูไปขึ้นเตียงเสียแล้ว ไม่มีกฎธรรมเนียมแม้แต่น้อย ทว่าพวกนางก็ได้แต่โกรธอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะไม่ว่าอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซูเป็นผู้ไปสู่ขอต่อสกุลจางด้วยตนเอง และคุณหนูยังเป็นภรรยาในนามของเขา พวกนาง
ซูเซวี่ยนมิได้รับคำ เพียงฟังเซี่ยซางชี้ไปที่กระบะทรายแล้ววิเคราะห์อย่างมั่นใจหลายปีมานี้ เป็นเพราะฮ่องเต้มิได้มอบโอกาสให้เหิงอ๋องได้สวมชุดเกราะออกศึก มิเช่นนั้นอาณาเขตของต้าโจวก็คงมิได้มีเพียงเท่านี้สายตาของฮ่องเต้ยังคงสั้นเกินไป เหิงอ๋องมีอุดมการณ์และความทะเยอทะยาน หากซูถิงหว่านใช้การไม่ได้ สกุลซูยังมีบุตรสาวนางอื่นที่ส่งมาปรนนิบัติได้ในเวลานี้ เจียงจิ่นเหยียนก็นำข่าวของเมืองหลวงมาแล้วเช่นกัน นอกจากข่าวเสบียงและสิ่งของที่กำลังเดินทางมาแล้ว เขายังนำข่าวอีกชิ้นหนึ่งมาด้วย “พระชายาถูกลอบสังหาร จวนของจางกั๋วกงเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”หลังเซี่ยซางได้ฟัง สายตาของเขาก็ดั่งมีเปลวเพลิงอันร้อนแรงกองหนึ่งกำลังลุกโชน “เป็นผู้ใดที่ลงมือกับพระชายากัน? หรวนหร่วนกับลูกเป็นอย่างไรบ้าง”เจียงจิ่นเหยียนกล่าวต่อว่า “ยังดีที่ข้างกายพระชายามีคนอยู่ มือสังหารจึงทำไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ นางกับซื่อจื่อน้อยล้วนปลอดภัยดี แต่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองของสกุลจางมิได้โชคดีเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“ในจดหมายบอกว่าเป็นจีเฉิน เขาหามือสังหารมา แต่หลังมือสังหารถูกจับก็กินยาพิษฆ่าตัวตายหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกมันมิใช่มือสังหารทั่ว
เพราะองค์ชายสี่ก็เป็นธุระในเรื่องนี้เช่นกัน นางจึงดึงพระชายาขององค์ชายสี่เข้าไปด้วย แต่พระชายาองค์ชายสี่เป็นคนสกุลจาง สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางจึงหาข้ออ้างมาไว้ทุกข์ที่สกุลจางได้อีกหลายวันมานี้ไม่เพียงกินน้อย ยังพูดน้อยอย่างมาก ญาติสนิททั้งสองท่านมาเสียชีวิตติดกัน นางจะเศร้าโศกเสียใจก็เป็นเรื่องธรรมดา คำพูดประเภทคนตายไม่อาจฟื้นคืนพวกนั้นนางก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพราะมิใช่บิดามารดาของนางและเรื่องก็มิได้เกิดขึ้นกับตัวนางจีเฉินถูกขังอยู่ในคุกอยู่ตลอด ไม่ว่าจะสอบปากคำอย่างไรเขาก็ยังคงยืนหยัด ไม่ยอมเปิดโปงสกุลซูออกมาเจียงเฟิ่งหัวหยิบเสื้อเสื้อคลุมตัวหนึ่งไปที่เบื้องหน้าจางอวี่มั่วแล้วคลุมให้นาง “พี่สะใภ้”เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน จางอวี่มั่วก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว หากมิใช่เพราะเฝิงจิ้งย่วนคอยสรรหาวิธีมาทำอาหารให้นางทาน ร่างกายของนางจนอ่อนล้าจนล้มลงนานแล้วนางมองซากปรักหักพังตรงหน้าด้วยดวงตาที่บวมแดง “เพราะข้ากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พวกท่านจึงมอบความรักทั้งหมดให้ข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกท่านจะจากข้าไปเร็วขนาดนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ที่แท้เป็นเพราะเหตุใดกัน เหตุใดป้าสะใ
หลายวันมานี้ท่านคอยดูแลข้า อยู่เป็นเพื่อนข้า และยังอดทนและให้อภัยต่อความเอาแต่ใจของข้าอีก”“เด็กโง่ มีแม่คนไหนที่ไม่อดทนไม่ให้อภัยลูกของตัวเองกัน ตอนนี้เจ้าเป็นเมียของจิ่นเหยียนแล้ว ก็เท่ากับเป็นลูกสะใภ้ของแม่เช่นกัน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา แม่รู้ว่าเจ้าเสียใจและเป็นทุกข์ อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถิด พอร้องออกมาก็ดีแล้ว”“แต่อวี่มั่ว ท่านปู่และท่านย่าของเจ้าคงเดาได้แล้วว่าหากพวกท่านจากไปเจ้าจะต้องเสียใจเป็นแน่ แม่คิดว่าพวกท่านคงไม่อยากให้เจ้าเป็นทุกข์และปราศจากความสุข หากพวกเขารู้ว่าเจ้าทรมานตนเองเช่นนี้ ก็คงไม่อาจจากไปอย่างวางใจเช่นกัน” เฝิงจิ้งย่วนก็ได้แต่ปลอบใจนางแบบนี้“อื้ม ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” มิใช่ว่านางรับรู้ไม่ได้ถึงความเป็นห่วงของเจียงฮูหยิน แต่เป็นเพราะนางอยากทำตามใจตัวเองมากเกินไปสักครั้ง เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางร้องไห้อย่างเต็มที่ในจวนสกุลจางแล้ว นางก็คิดเช่นกันว่า หากนางไม่แต่งงาน ท่านปู่กับท่านย่าก็จะไม่ตายใช่หรือไม่ ล้วนเป็นความผิดของนาง เป็นนางเอาแต่ใจตัวเองถึงได้ทำร้ายพวกท่านป้าสะใภ้รองตายไปแล้ว นางไม่มีแม้แต่คนจะให้ถามว่าเพราะเหตุใด นางแม้แต่ต้องไปหาใคร
“ประการที่สอง นางอาจถูกคนฆาตกรรมเช่นกัน แต่นางยอมรับในที่เกิดเหตุว่านางสังหารผู้อาวุโสทั้งสองแห่งสกุลจาง จึงล้มล้างความเป็นไปได้ประการที่สองไปอีก”“เดิมข้าคิดว่าครั้งนี้จีเฉินหนีไม่รอดแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าเขาคงไม่ตายแล้ว เมื่อไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาลอบสังหารข้า ก็ไม่อาจตัดสินโทษเขาได้ และไม่อาจขังเขาไว้ในคุกตลอดไป นี่เป็นสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดที่ข้านึกออกในยามนี้แล้ว”จางอวี่มั่วฟังความหมายของนางออกแล้ว กล่าวคือเดิมนางคิดจะเอาชีวิตจีเฉิน แต่ตอนนี้เป็นเพราะสกุลซูคอยช่วยเขาอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาถึงจะไม่ตาย “ที่สกุลซูอยากจัดการเจ้า เพราะพวกเขาต้องการช่วยชายารองซู”เจียงเฟิ่งหัวพยักหน้า “เพราะข้าครอบครองตำแหน่งพระชายาเหิงอ๋อง ในสายตาคนสกุลซู ข้าจึงเป็นคนที่ขัดขวางเส้นทางของซูถิงหว่าน ต้องกำจัดข้าทิ้ง ซูถิงหว่านจึงจะขึ้นครองตำแหน่งได้”“อาศัยสิ่งใดกัน พวกเขาอาศัยสิ่งใดมาทำเช่นนี้ เจ้าถึงจะเป็นภรรยาที่ท่านอ๋องแต่งด้วยอย่างถูกต้อง” จางอวี่มั่วอ่อนแอแต่มิได้โง่เขลา การแต่งเข้าราชวงศ์ ย่อมมีการแก่งแย่งชิงดีเล่นเล่ห์เพทุบายต่อกันเช่นนี้ ก็เหมือนกับในครั้งก่อน พวกเขาก็คิดจะเล่นงานเจียงเฟิ่ง
รองผู้ว่าจางที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวกับเจียงเฟิ่งหัวว่า “คำพูดพวกนี้ ทุกวันเขาต้องท่องออกมารอบหนึ่ง และเพราะไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนสั่งการเรื่องการลอบสังหารพระชายา ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่กล้าเอาชีวิตเขาจริงๆ อีกทั้งคืนนั้นก็มืดมิดไปหมด และสายตาของทุกคนก็ยังจับจ้องไปที่ยังเพลิงที่ไหม้สกุลจาง ส่วนชาวบ้านที่รายรอบก็ถูกมือสังหารพวกนั้นทำให้ตกใจ จึงไม่มีผู้ใดสามารถเป็นพยานได้ว่าจีเฉินลอบสังหารพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”เขาก็ถามใต้เท้าหยางแล้ว ในตอนที่เขามาถึง จีเฉินก็ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนพื้นแล้ว ผู้ที่ลงมือคือหลินอวี่ บนพื้นมีมีดสั้นอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นของจีเฉิน อีกเล่มเป็นของหลินอวี่หลินอวี่เพราะต้องการปกป้องพระชายาจึงได้ลงมือทำร้ายจีเฉิน การที่หลินอวี่ทำให้มือของเขาพิการไปข้างหนึ่งแต่ไม่ถูกทวงถามความรับผิดชอบ พวกเขาก็ลำบากใจมากแล้วตอนนั้นหากหลินอวี่สังหารคน ผู้ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำตอนนี้ก็คงเป็นหลินอวี่แล้วแม้จีเฉินจะมีมีดสั้นแต่ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเขานำมีดสั้นมาลอบสังหารพระชายา เพราะพระชายาทรงไม่เป็นอะไร และหลินอวี่ก็ไม่เป็นอันใดเช่นกันส่วนมือสังหารที่ยิงศรลับใส่พระชายา ส
เสียงของนางไม่ดังไม่เบา แค่เมื่อครู่ดังไปถึงหูจีเฉินพอดี อันที่จริงแล้ว จะส่งผลกระทบต่อเซี่ยซางหรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญเลย เพราะยามนี้เหิงอ๋องกำลังต่อสู้ขับไล่อริศัตรูเพื่อแว่นแคว้นอยู่ข้างนอก ฝ่ายตรวจการย่อมไม่เขลาจนกล่าวโทษเขาเพราะเรื่องเช่นนี้แน่หมากตานี้ถูกสกุลซูครองได้เปรียบไป ทำให้นางอัดอั้นใจอยู่ตลอด ต้องการชีวิตของจีเฉินชัดๆ แต่ยามนี้กลับไม่อาจไม่ปล่อยเขา คิดแล้วก็ให้รู้สึกขยะแขยงดั่งรับประทานแมลงวันยังมีชีวิตลงไปผู้ที่จะสามารถใช้สถานการณ์ของจีเฉินในเวลานี้มาก่อเรื่องได้ นอกจากอวิ๋นฟางที่เป็นภรรยาของเขาแล้ว ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก ไม่เช่นนั้น สกุลซูยังคิดสร้างความอับอายให้ตนเองด้วยหรือไรเจียงเฟิ่งหัวตรองดีแต่แรกแล้วว่า หากคิดจะทำให้เรื่องนี้สงบลง ก็ได้แต่ให้ซูถิงหว่านออกหน้าเท่านั้นจากที่นางรู้ หลายวันมานี้ ซูถิงหว่านมีหน้ามีตาขึ้นมากยามอยู่ต่อหน้าเฉิงฮองเฮา ก็ไม่รู้ว่านางไปรู้แจ้งขึ้นมาได้อย่างไร ถึงได้ทำให้เฉิงฮองเฮาเกษมสำราญยิ่ง จนถึงกับได้รับอนุญาตจากเฉิงฮองเฮาให้เข้าออกวังหลวงได้ตามใจเจียงเฟิ่งหัวเพราะต้องยุ่งเรื่องเสบียงข้าวของที่นอกวัง และยังมีเรื่องของสกุลจางอีก
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น