"ท่านพี่เหยียนเฟิง" ฉงเสว่ปิงลุกพรึบ
จากแววตาเศร้าสร้อยแปรผันเป็นยิ้มร่าดีอกดีใจ ร่างบอบบางถลันเข้าหาบุรุษตัวสูงทันควัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฝ่ามือหยาบกร้านจากการกรำศึกง้างธนูยกขึ้นยีศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา
"เด็กดื้อ เจ้ากำลังสร้างความลำบากใดให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กันเล่า"
ฉงเสว่ปิงนิ่วหน้า "ข้าเปล่าเสียหน่อย"
ตู้เหยียนเฟิงส่ายหน้าพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
"ปิงเอ๋อร์ วิ่งกระโดกกระเดกเช่นนี้ได้อย่างไร โตเป็นสาวแล้ว ไยจึงเกาะแขนเกาะขาพี่เขาอย่างนั้นเล่า" เฉิงเหยาตำหนิเสียงแผ่ว
"เสด็จแม่อย่าต่อว่านางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีนางกับข้าเราก็สนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์" ตู้เหยียนเฟิงกล่าว
"ได้อย่างไร เจ้าเองก็เป็นบุรุษ ควรออกเรือนมีชายาและองค์หญิงองค์ชายน้อยให้แม่กับเสด็จพ่ออุ้มได้แล้ว"
ตู้เหยียนเฟิงค้อมศีรษะ "เสด็จแม่ ช่วงนี้แถบชายแดนยังไม่สงบ เรื่องนี้กระหม่อมยังไม่เร่งร้อนพ่ะย่ะค่ะ"
ผู้เป็นดั่งบิดามารดาแห่งแคว้นสุ่ยเหอต่างระบายลมหายใจอ่อน เสียงทุ้มเอ่ย "เอาเถิด พวกเจ้าสองพี่น้องนิสัยไม่ต่างกันเลย มาแล้วก็พักที่ตำหนักสักหลาย ๆ วัน"
"ขอบพระทัยเสด็จพ่อ" เจ้าของร่างสูงจึงเดินย่างกรายเข้ามาเนิบช้า ข้างกายยังมีองค์หญิงตัวแสบเกาะแขนไม่ห่าง
"ท่านพี่เหยียนเฟิง เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านบอกว่าไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง" ฉงเสว่ปิงยิ้มแฉ่ง เอ่ยท้วงคำกล่าวของอีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้น
"หึ!" ฝ่ามือกว้างเขย่าศีรษะเล็กจนสั่นคลอนไปหนึ่งครา "แน่นอน" จากนั้นทั้งสองจึงนั่งประจำที่ เขาหย่อนกายนั่งกล่าวต่อว่า "เสด็จพ่อ หากปิงเอ๋อร์ไม่อยากแต่งก็อย่าได้บังคับนางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีในพันธสัญญาเคยมีระบุ หากฝ่ายใดไม่เต็มใจอภิเษกจะต้องมอบดินแดนให้แคว้นนั้นหนึ่งส่วนมิใช่หรือ ข้าเห็นว่าชายแดนทางใต้แม้จะอุดมสมบูรณ์แต่ก็ยังสามารถแบ่งให้กับแคว้นไต้เจียได้โดยที่เมืองหลวงไม่ได้รับความเสียหายใด"
ฉงเจิ่งหมินระบายลมหายใจอ่อน "เดิมทีก็ทำได้ แต่ว่าราษฎรแถบนั้นเล่า เจ้าคิดว่าพวกเขาเต็มใจอยากเป็นคนแคว้นอื่นหรือ หากเป็นเจ้าก็คงไม่อยากเปลี่ยนรากฐานบ้านเกิดใช่หรือไม่"
"เอ่อ...นั่นก็ถูก ทว่าแคว้นไต้เจียก็สงบสุขมาช้านาน แบ่งดินแดนไปหนึ่งส่วนเท่านั้น ราษฎรคงมิได้รับความลำบากใดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ"
ฉงเสว่ปิงกะพริบดวงตาถี่ มองหน้าบิดาทีเหลือบมองหน้าบุรุษข้างกายที สลับไปมาแทบเวียนศีรษะ
"เหยียนเฟิง เจ้าคงไม่รู้ว่าการเป็นผู้นำนั้นง่ายนัก ทว่าการจะทำให้ราษฎรรักและศรัทธาช่างไม่ง่ายเลย อีกอย่างหากส่งหนังสือยกเลิกพิธีอภิเษกโดยไร้สาเหตุ แคว้นไต้เจียอาจคิดว่าแคว้นสุ่ยเหอเริ่มไม่เถรตรง วันหนึ่งต้องส่งผลให้บังเกิดทะเลโลหิต เข้าสู่ช่วงกลียุคแห่งแคว้น หากเป็นเช่นนั้นข้ามิอาจทนนิ่งดูดายได้จริง ๆ"
ฉงเสว่ปิงโพล่ง "เสด็จพ่อ ต่อให้ข้าแต่งหรือไม่แต่ง สักวันเพลิงสงครามก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี คนเช่นชินอ๋องมักใหญ่ใฝ่สูง ทิฐิถือดี ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดคงเป็นเขาที่ไม่ยอมรับว่าตนถูกสตรีถอนหมั้นกระมัง"
"ปิงเอ๋อร์" เฉิงเหยาส่งสายตาปราม
ทว่านางกลับถอนหายใจ ยกมือกอดอกแน่น จากนั้นจึงเบือนหน้าหนี หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่ยอมกลับไปสู่ประตูนรกแห่งนั้นอีกเป็นแน่
"เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นข้าจะลองเจรจาเรื่องนี้กับทางแคว้นไต้เจียดูก่อน" ฉงเจิ่งหมินถอดถอนใจอย่างนึกปลดปลง
ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ ริมฝีปากกลีบกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง ร่างบอบบางวิ่งถลาเข้าซบตักของบิดาทันควัน "เสด็จพ่อ ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรท่านก็รักข้าที่สุด เอาอย่างนี้หากท่านต้องการให้ข้าแต่งงาน เช่นนั้นข้าคิดว่าแต่งเข้าแคว้นมิดีกว่าหรือเพคะ ท่านจะได้มีบุตรเขยไว้ช่วยแบ่งเบาราชกิจด้วย"
เสียงทุ้มหัวเราะขัน "บุตรเขยหรือ พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีบุรุษในใจแล้วรึ"
ฉงเสว่ปิงผละศีรษะออก "เปล่าเพคะ เพียงแต่ ข้าไม่ต้องการสวามีที่เก่งกาจหรือบุญหนักศักดิ์ใหญ่ใด ขอเพียงคนผู้นั้นรักข้า และรักพวกท่านเช่นข้าก็เพียงพอแล้ว"
"โถ ปิงเอ๋อร์" เฉิงเหยาดวงตาแดงก่ำ
ฉงเสว่ปิงจึงลุกเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา แววตาของนางแปรผันเป็นมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว "เสด็จแม่ ข้ารักท่าน... หากชินอ๋องต้องการข่มเหงแคว้นสุ่ยเหอ ข้าจะเป็นคนจับดาบง้างธนูประจันหน้ากับเขาเอง"
ผืนนภาเบื้องบนทอประกายแสงสีเหลืองทองอำไพในช่วงเวลาอาทิตย์ใกล้อัสดง เรือนร่างงามสง่าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ยืนเด่นตระหง่านท่ามกลางมวลบุปผา สภาพอากาศรอบด้านโอบล้อมด้วยหุบเขาเรียงรายสูงต่ำลดหลั่นเป็นทิวแถวสุดลูกหูลูกตา กลิ่นหอมจรุงของดอกไม้บานสะพรั่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามนี้พวกเขาออกมาล่าสัตว์เที่ยวชมบรรยากาศธรรมชาตินอกราชวังเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ยิ่งได้ทอดสายตามองสิ่งสวยงามเบื้องหน้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกมีความสุขนัก "อ้ายเฟยเจ้าชอบหรือไม่" เสียงทุ้มกระซิบถามด้วยความอบอุ่น ร่างสูงยืนโอบกอดสตรีร่างบอบบางจากทางเบื้องหลัง "ชอบเพคะ งดงามยิ่งนัก" ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มอ่อนโยน "อ้อ...เสด็จพี่เข้าไปด้านในกันเถิดเพคะ ยามนี้มู่หลินน่าจะเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว" ฉงเสว่ปิงเหลียวหน้ามองคนเบื้องหลัง "หืม...เตรียมอันใดหรือ" "อาหารสุดพิเศษอย่างไรเล่าเพคะ" ไต้ฮ่าวเฉินขำพรืด "เอ่อ...อ้ายเฟย เจ้าอย่าบอกว่าเจ้าเป็นคนลงมือทำเอง" เพราะเขาได้เคยชิมฝีมือการทำอาหารของชายารักมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้ปากจะบอกอร่อยมากล้นแต่ทว่าอาหารเหล่านั้นบางคราก็อร่อยจริง ทว่าบางครารสชาติกลับประหลาดเหลือแสน คงมีเพียงเข
"เฮือก!...ฮ่าวเฉิน!" ร่างบางดีดกายผึง "องค์หญิงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ" มู่หลินวิ่งรี่เข้ามา นางยอบกายมองดวงตาแดงก่ำของผู้เป็นนายก็พลันตื่นตระหนก "องค์หญิง ไยทรงกันแสงเล่าเพคะ ตาบวมหมดแล้วอีกเดี๋ยวเข้าพิธีอภิเษกจะไม่งามนะเพคะ" ฉงเสว่ปิงงุนงง คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม อกด้านซ้ายพลันเจ็บแปลบขึ้น "จะ...เจ็บ!" "องค์หญิง เกิดอันใดขึ้นเพคะ" มู่หลินเร่งรุดเข้าประคอง ฉงเสว่ปิงผินหน้ามอง จากนั้นเอ่ยถามด้วยแววตาเศร้าหมอง "มู่หลิน ที่เจ้าบอกว่าข้าจะอภิเษก ข้ากำลังจะอภิเษกกับผู้ใดหรือ" มู่หลินเบิกตากว้าง "ไยองค์หญิงจึงถามเช่นนั้นเพคะ" ฉงเสว่ปิงแหงนมองรอบด้าน ยามนี้นางอยู่ที่ตำหนักของตนเอง หรือว่านางจะต้องเข้าพิธีอภิเษกกับตู้เหยียนเฟิงจริง ๆ ปรโลกไม่เปิดประตูต้อนรับนางอีกแล้วงั้นหรือ ฉงเสว่ปิงรู้สึกชินชาแต่ทว่าการย้อนมาหนนี้ช่างปวดใจกว่าครั้งก่อน ๆ ร้อยเท่าพันทวี หากนางได้ย้อนกลับมาแล้วเขาเล่า ยามนี้เป็นเช่นไร ไต้ฮ่าวเฉินยังคงได้รับโอกาสกลับมาอีกครั้งเช่นนางหรือไม่ ความรู้สึกเจ็บแปลบราวกับเข็มแหลมคมทิ่มแทงข้างในใจยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึก มู่หลินเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนท
ฉงเสว่ปิงร่ำไห้ครวญสะอื้นน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ไต้ฮ่าวเฉินเริ่มขยับแล้ว บุรุษกำยำสวมเครื่องแต่งกายมิดชิดนายหนึ่งกระชากกายของเขาให้ยืนขึ้น บนหน้าอกของเขามีลูกศรดอกหนึ่งปักอยู่ ดวงตาที่เคยเย้าแหย่นาง ยามนี้บวมเป่ง ไต้ฮ่าวเฉินพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายที่มี เอ่ยเสียงสั่นเครือ"อ้ายเฟย ไม่ต้องร้อง ขะ...ข้าไม่เป็นไร"ฉงเสว่ปิงส่ายหน้าทั้งที่น้ำตาหลั่งรินไม่หยุด ยามนี้นางเสียใจประดุจถูกตอกตะปูเข้าหัวใจดอกแล้วดอกเล่า"ชินอ๋อง ยังกล้าบอกไม่เป็นไรอีกหรือ สภาพของท่านตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังเอ่ยวาจาปลอบใจนางอีกงั้นรึ" ตู้เหยียนเฟิงขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ยิ่งคำเรียกที่ไต้ฮ่าวเฉินเปล่งออกมาก็พลอยปะทุจุดเดือดของความโมโหให้ทะยานสูงขึ้นไต้ฮ่าวเฉินกลับเผยรอยยิ้มหยามหยันชิงชัง หาได้เกรงกลัวเขา "เจ้าทำเช่นนี้นอกจากไม่ได้ใจของนางแล้ว เจ้ายังจะได้รับความเกลียดชังจากนาง ชีวิตนี้ของเจ้าอย่าหมายจะมีความสุข"ตู้เหยียนเฟิงหัวเราะขัน "หากท่านไม่อยู่เพียงหนึ่ง นางก็รักข้า รักข้าเพียงคนเดียว"ฉงเสว่ปิงร้องไห้โฮ นางไม่อาจระงับสติได้แล้ว "ทะ...ท่านพี่เหยียนเฟิง ท่านกำลังเสียสติ ข้ารักท่านใช่ ข้ารักท่านประดุจพี่ชายแท้ ๆ
"ปิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์" เสียงทุ้มดังมาจากธรณีทางเข้า ฉงเสว่ปิงงัวเงีย"เพคะ" นางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดเผ้าผมและเครื่องแต่งกายเล็กน้อยอยู่ ๆ ความทรงจำเมื่อคืนก็แล่นเข้ามา กายของนางแข็งทื่อ มองร่องรอยของการร่วมสวาทก็พลันใบหน้าแดงเรื่อ ทว่าเมื่อเหลียวมองข้างกายไต้ฮ่าวเฉินกลับหายไปที่ใดเสียแล้ว ร่างบอบบางยืดกายยืนขึ้น นางคิดว่าอีกฝ่ายคงมีธุระต้องไปสะสางเป็นแน่ ยามนี้มู่หลินก็อยู่ห้องของตน ฉงเสว่ปิงจึงตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาเปิดประตูด้วยตนเอง ทันทีที่พบว่าผู้ใดมาเยือน ฉงเสว่ปิงถึงกับผงะเก็บอาการไม่มิด ตู้เหยียนเฟิงหรี่นัยน์ตามองด้วยความแคลงใจ "ปิงเอ๋อร์ไม่สบายหรือ วันนี้เจ้ามีนัดกับพี่ ไยจึงยังไม่ออกไป" "เอ่อ" ฉงเสว่ปิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันนี้นางคิดว่าคงต้องตะล่อมบอกยกเลิกงานอภิเษกกับเขา แต่ว่ายามนี้ไต้ฮ่าวเฉินไม่อยู่ นางไม่อาจกระโตกกระตากได้ ตู้เหยียนเฟิงมองท่าทีกระอึกกระอักของอีกฝ่าย เขาพลันยกมือขึ้นหมายแตะหน้าผากคนเบื้องหน้า ทว่าฉงเสว่ปิงกลับผงะถอยหลัง ฝ่ามือกว้างจึงเก้อค้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น ฉงเสว่ปิงใจเต้นกระหน่ำ ความหวาดกลัวผุดขึ้นเป็นริ้วเมื่อฉุกนึกถึงสิ่งที่เขากระทำ มือไม
บทสนทนาทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว บุรุษเบื้องบนแทบอดรนทนไม่ไหวเขาก้มลงซุกไซ้ สูดดมความหอมไปตามผิวเนียนละเอียด ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้เข้าไปด้านในอาภรณ์เชื่องช้า จากนั้นจึงค่อย ๆ ปลดออกทีละชิ้น เขาประคองกายคนตัวเล็กขึ้นนั่งประจันหน้า ฉงเสว่ปิงมิได้ขัด ต่างฝ่ายต่างปลดอาภรณ์ให้กันด้วยความเร่งร้อน พลางประกบปากบดจูบอย่างดูดดื่ม ความปรารถนาและความโหยหาถึงสามภพสามชาติกำลังถูกเติมเต็มอื้อ...กายกำยำและเรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่า สองแขนเรียวโอบรอบคอของเขาเอาไว้ ริมฝีปากผละออกจากกันจนเกิดเป็นเส้นใยสีเงินยืดเยิ้ม ไต้ฮ่าวเฉินไม่รั้งรอให้ปากของตนว่างมากนัก เขาขบงับประทับรอยสีกุหลาบไล่ลงไปตามลำคอขาวผ่อง ลากลิ้นเลียละเลียดชิมจนถึงปทุมเนื้อนวล ปากร้อนครอบงับพลางระรัวลิ้นหยอกล้อตุ่มไต่สีชมพูระเรื่อ มืออีกด้านเคล้นคลึงยอดถันฝั่งที่ยังว่างด้วยความมัวเมาใบหน้างามแหงนเงยไปเบื้องหลัง เสียงใสครวญครางด้วยความเสียวกระสัน แม้ปากนางมักต่อว่าเขาไม่ได้เรื่อง แท้จริงแล้วลีลาของชินอ๋องดุเดือดแทบขาดใจต่างหาก สัมผัสที่นับว่าห่างหายไปนานหวนกลับมายังที่เดิม ความสยิวแล่นไปทั่วแผ่นหลังและท้องน้อยไต้ฮ่าวเฉินโถมกายดันร่างเล็กให
ร่างบอบบางพยายามยันกายลุกทว่าข้อมือทั้งสองด้านถูกฝ่ามือกว้างกดติดไว้กับฟูกนอนจนไม่อาจขยับ นางเหลือบมองใบหน้าแดงก่ำของบุรุษด้านบนก็พลอยรู้สึกใจหวิว จังหวะหายใจของเขาบ่งบอกว่าไม่สามารถควบคุมไฟปรารถนาที่ลุกโชติช่วงไว้ได้เสียแล้ว "เจ้าบอกจะลงโทษข้าไม่ใช่หรือ ไยเปลี่ยนใจง่ายนัก" เสียงทุ้มออดอ้อนระคนแหบห้าว "แต่ว่ายามนี้ท่านและข้ายัง..." ความร้อนผ่าวลุกลามจากสองแก้มไปยังใบหู ร่างสูงโน้มกระซิบ "เราเคยตั้งหลายครั้งแล้ว ยังอายอีกหรือ ถึงยามนี้ยังไม่เป็นต่อไปก็ต้องเป็น" เขาลดสายตามองแต้มพรหมจรรย์บริเวณซอกคอ จากนั้นจึงพรมจูบลงไปหนึ่งครา ฉงเสว่ปิงขนลุกซู่ พลางเบี่ยงหลบริมฝีปากร้อนชื้นที่ประทับลงมา "อื้อ...ท่านทำอันใดเพคะ แต่นั่นมันเรื่องของชาติก่อนผู้ใดจะนับ" "เจ้าเสียดายแต้มสีชาดนี่น่ะหรือ" ริมฝีปากบางเม้มสนิท อันที่จริงนางก็หาใช่พวกคร่ำครวญในพรหมจรรย์แต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรแม้จะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม นางก็ยังคงจำสัมผัสของเขาได้มิเคยลืม"ก็...ข้าไม่รู้" ฉงเสว่ปิงแสร้งเฉไฉด้วยความขัดเขิน นางไม่อาจหนีใจตัวเอง กับความจริงที่ว่าตนกำลังร่ำร้องและปรารถนาในกายบุรุษเบื้องหน้าอย่างแรงกล้าเช่นกัน