เฉียวลู่หันไปมองต้นไม่ต้นนั้นที่ล้มนอนอยู่ ในหัวของนางวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังเฉียวลู่อวี้หลงกับอวี้ชิงหันกลับมามองตากันแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเหมือนกับว่าเพียงพวกเขามองหน้ากันก็สามารถสื่อความนึกคิดถึงกันและกันได้แล้ว
เฉียวลู่ให้อวี้ชิงจุดไฟให้นางจากนั้นก็ทำอาหารง่ายๆ ที่เฉียวลู่พอจะทำได้กินกัน หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำให้เด็กชายทั้งสองและตัวเองแล้วจึงพาเด็กชายนอนกลางวัน ในความคิดของเฉียวลู่คือเป็นเด็กก็ต้องนอนให้มากๆ จะได้โตเร็วๆ ตอนเย็นเฉียวลู่ยังคงทำอาหารแบบง่ายๆ อีกครั้งในหัวของนางตอนนี้คือจะต้องสั่งหนังสือทำอาหารสักเล่ม ไม่อย่างนั้นหากต้องกินอาหารที่นางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ อาจจะเบื่อเอาได้
รุ่งเช้าสิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือหนังสือเล่มนั้น นางต้องสั่งของที่จำเป็นที่ต้องได้ใช้ในวันนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เฉียวลู่เขียนไฟแช็กลงไปในกระดาษ รอหลังจากหมึกซึมลงไปไฟแช็กเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็โผล่มาแทนที่
จากนั้นสิ่งของอย่างที่สองที่เฉียวลู่นึกถึงคือเงิน บางทีนางอาจจะสั่งอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าที่สามารถขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินของที่นี่ได้ และไม่ว่าจะยุคสมัยไหนสิ่งของที่มีค่าสามารถตีราคาได้และผู้คนต่างต้องการคือ ทอง ทันความคิดของตนเฉียวลู่เขียนลงไปในกระดาษทันที หลังจากที่น้ำหมึกซึมหายไปในกระดาษข้อความที่เฉียวลู่ได้รับคือ
“ไม่อนุมัติ”
“ห๊ะ ทำไมล่ะนึกว่าสั่งได้ทุกอย่างซะอีกเจ้ากระดาษโง่นี่”
เฉียวลู่สบถออกมาอย่างหัวเสียนางนั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว จากนั้นเฉียวลู่ยังลองสั่งของที่คิดว่าน่าจะนำมาขายที่นี่ได้อีกหลายอย่างแต่คำตอบที่ได้รับคือไม่อนุมัติ เฉียวลู่ไม่รู้ว่ากฎการสั่งของของเจ้าหนังสือเล่มนี้คืออะไรมันไม่มีเขียนบอกเอาไว้โดยละเอียดแต่สิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้คือสั่งของมีค่าไม่ได้ สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความตั้งใจไป
“ช่างเถอะในเมื่อไม่ให้ก็สั่งอย่างอื่นแทนละกัน สั่งอะไรดีนะ”
เฉียวลู่นั่งนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่ตนเองทำอาหารให้เด็กๆ ทานแล้วจึงเขียนคำสั่งลงไป ไม่นานสิ่งที่เฉียวลู่ต้องการก็ปรากฏต่อหน้านาง หนังสือสอนทำอาหารเล่มใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เฉียวลู่ตาเป็นประกายนางนึกว่ามันจะเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่สอนทำอาหารไม่กี่อย่างซะอีก หลังจากที่เปิดดูสารบัญปรากฏว่ามีสูตรการทำอาหารจีนหลายร้อยสูตรตามความหนาของหนังสือเล่มนั้น
“เยี่ยมไปเลยถ้าขายทองไม่ได้ก็เขียนสูตรอาหารขายก็แล้วกัน”
เฉียวลู่ยิ้มอย่างดีใจหนทางความสบายรออยู่ตรงหน้าพวกนางแม่ลูกแล้ว หลังจากเก็บสมุดบันทึกเล่มนั้นกลับไปที่กล่องไม้เก่าเฉียวลู่ก็ประเดิมโดยการจุดไฟโดยใช้ไฟแช็กนางยิ้มอย่างผู้มีชัย หินยุคโบราณหรือจะสู้ไฟแช็กของนาง
เฉียวลู่ไม่รู้สึกกดดันมากนักเพราะตอนนี้นางมีอาหารเพียงพอสำหรับหลายวัน ในมือของนางก็มีเงินที่ขายเนื้อหมูป่าให้ชาวบ้านอยู่สิบกว่าตำลึง เฉียวลู่ยังไม่เปิดหนังสือสอนทำอาหารตอนนี้เพราะนางคิดว่าเอาไว้ให้ว่างกว่านี้ก่อนค่อยนำมาศึกษา
หลังจากที่ทำโจ๊กสำหรับสามคนเสร็จแล้วอวี้หลงกับอวี้ชิงก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน เด็กชายทั้งสองเดินงัวเงียมาหาเฉียวลู่ในครัว
“ตื่นแล้วหรือจ๊ะเด็กๆ ของแม่มาเถอะเดี๋ยวแม่จะล้างหน้าแต่งตัวให้”
เด็กชายทั้งสองทำตามเฉียวลู่อย่างว่าง่าย เมื่อทั้งสามแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการอาหารเช้าที่เฉียวลู่ทำเตรียมเอาไว้ วันนี้รสชาติดีกว่าเมื่อวานเพราะมีเครื่องปรุงบางอย่างที่เฉียวลู่แลกมาจากชาวบ้าน ระหว่างที่กำลังล้างชามอยู่เฉียวลู่หันไปพูดกับอวี้หลงกับอวี้ชิงที่ยืนรออยู่ด้านหลัง
“วันนี้อวี้หลงกับอวี้ชิงช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”
เฉียวลู่พูดออกมาด้วยท่าทางมีเลศนัย
“วันก่อนลูกให้ไข่นกกับแม่มาสองฟองใช่มั๊ยจ๊ะ แม่ใส่มันลงไปในโจ๊กแล้ว ที่บ้านของเราไม่มีไข่แล้วลูกสองคนตอนนี้ไม่มีอะไรทำช่วยไปหาไข่นกมาให้แม่ได้หรือไม่”
ความจริงเฉียวลู่แค่คิดอยากให้เด็กชายทั้งสองออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กในวัยเดียวกันบ้างไม่ใช่เอาแต่ตามติดนางอยู่แบบนี้ ในความคิดของนางเป็นเด็กก็ควรเล่นให้เหมือนเด็กค่อยๆ เติบโตอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่ว่างท่าเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุสามขวบเช่นนี้
หลังจากอวี้หลงและอวี้ชิงได้ฟังคำขอของเฉียวลู่พวกเขาก็พยักหน้าขึ้นลงพร้อมกันด้วยท่าทางยินดี เหมือนกับว่าวันนี้เขาได้ทำประโยชน์ให้กับท่านแม่ของเขาแล้ว เมื่อเด็กทั้งสองคนออกจากกระท่อมไปเฉียวลู่ได้นำหนังสือสูตรทำอาหารมาอ่าน นางหั่นเนื้อหมูและหมักส่วนที่เหลือเพื่อเอามาทำเนื้อแดดเดียวตามสูตรที่เฉียวลู่อ่านเจอในหนังสือ จากนั้นนางยังเจียวมันหมูเอาน้ำมันไว้ใช้ทำอาหารในครั้งต่อไป
ตอนนี้เรื่องอาหารเฉียวลู่วางใจไปได้เปลาะหนึ่ง ที่นางกังวลอยู่ตอนนี้คือกระท่อมหลังนี้ที่คนทั้งสามใช้เป็นที่อาศัยบังลมบังฝน ดูท่าทางของมันไม่น่าจะอยู่ได้พ้นปีเพราะมันง่อนแง่นเต็มทีแล้ว เฉียวลู่ตัดสินใจขึ้นไปบนเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้นางไปคนเดียวเพราะเฉียวลู่ยังหวาดกลัวเรื่องหมูป่าเมื่อวานอยู่ ที่นางให้เด็กทั้งสองออกไปก่อนก็เพราะเรื่องนี้เหมือนกัน ต่อให้นางรู้สึกว่าตนเองมีกำลังเพิ่มขึ้นแต่นางไม่อาจพาเด็กๆ ของนางมาเสี่ยงในภูเขาลูกนี้อีกแล้ว
ตอนที่ยังอยู่ในโลกก่อนถึงเฉียวลู่จะเคยเรียนกังฟูจีนมาบ้างด้วยเพราะนางจะต้องเข้าบทบาทแสดงการต่อสู้ในซีรีส์บางเรื่องโดยเฉพาะแนวพีเรียดนั่นยิ่งต้องเข้าถึงบทบาทและทำให้สมจริง นับเป็นเรื่องดีสำหรับนางในตอนนี้เพราะถ้านำกังฟูที่เคยเรียนและกำลังที่มากขึ้นของนางมาประยุกต์เข้าด้วยกันเฉียวลู่คิดว่านางจะยังพอช่วยเหลือตนเองในยามคับขันได้
เฉียวลู่คว้าตะกร้าสะพายหลังและมีตัดฟืนประจำตัวของนางขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าตรงขึ้นเขาที่อยู่ด้านหลังกระท่อมของนางไปทันที เมื่อขึ้นเขามาแล้วเฉียวลู่มองไปรอบๆ อย่างนึกวางแผนนางอยากจะตัดต้นไม้พวกนี้เอาไว้เพื่อสร้างบ้านของนางแต่จะตัดแล้วลากลงไปแบบนี้เลยคงจะไม่ได้ เดี๋ยวชาวบ้านได้หาว่านางเป็นปีศาจมาสิงร่างของเฉียวลู่จะแย่เอา
แค่เพียงขับไล่นางไปไม่เท่าไหร่แต่ถ้าจับเผาหรือถ่วงน้ำขึ้นมานางได้ไปเกิดใหม่อีกรอบแน่ แล้วบุตรชายทั้งสองของนางจะอยู่ยังไงดีไม่ดีโดนเผาไปด้วยกัน นางไม่อยากจะเสี่ยงในทุกเรื่องที่จะสามารถเป็นอันตรายต่อพวกเขา
ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องทำอย่างระมัดระวังและวางแผนให้ดี เฉียวลู่คิดวาดภาพบ้านเอาไว้ในใจแล้วตอนนี้ที่นางต้องการคืออุปกรณ์เท่านั้น เฉียวลู่ขึ้นเขาไปครึ่งวันตอนบ่ายนางก็กลับลงมา ทั้งยังลากท่อนซุงขนาดใหญ่กลับมาด้วยสามท่อนและซ่อนเอาไว้ก่อน เมื่อนางเดินกลับเข้ามาในกระท่อมน้อยจึงเห็นลูกชายทั้งสองของนางกำลังนอนหลับฝันหวานท่าทางน่าเอ็นดู
เฉียวลู่เดินย่องเข้าไปหาเด็กชายทั้งสอง นางกำลังจะก้มลงหอมแกมพวกเขาเสียงเดินเบาๆ ด้านนอกทำให้เฉียวลู่หยุดชะงัก นางผละออกจากเด็กทั้งสองที่กำลังหลับสนิทแล้วออกไปดูว่าใครกันที่มาที่นี่ พบว่าหน้ากระท่อมของนางมีเด็กชายร่างผอมแห้งคนหนึ่งกำลังเดินวนไปวนมาท่าทางเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเรียกนางดีหรือไม่
เฉียวลู่กระแอมไอเสียงเบาเพื่อให้เขารู้ตัวเด็กชายหันกลับมาท่าทางเอียงอายเมื่อถูกจับได้ว่าเขามาด้อมๆ มองๆ ที่เรือนของผู้อื่น
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ”
ฉินจื่อเฉินมองหน้าเฉียวลู่ครู่หนึ่งท่าทางของเขาดูอึดอัดจากนั้นจึงยกมือประสานคารวะส่งมาให้เฉียวลู่นางมองอย่างไม่เข้าใจ
“ข้ามาขอบคุณพี่สาวที่ท่านเมตตาข้าเมื่อวาน ขะ...ข้านำมันเทศเผามาให้ท่านด้วย”
เฉียวลู่มองมันเทศเผาที่อยู่ในถังไม้ที่ถูกล้างจนสะอาดแล้ว นางเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“ท่านจะไม่รับเอาไว้ก็ได้ข้ารู้ว่ามันเทศของข้าไม่สามารถเทียบกับเนื้อหมูป่าที่ท่านให้มาเมื่อวานได้แต่ว่า.....”
เฉียวลู่ดึงถังไม้ในมือของฉินจื่อเฉินมาไว้ในมือของตน
“ขอบใจนะ”
เพียงคำพูดสั้นๆ ของนางทำเอาฉินจื่อเฉินใจชื้นขึ้นมา เขาทำท่าคารวะนางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน
เฉียวลู่มองตามหลังเด็กชายจนสุดสายตาจากนั้นจึงส่ายหัวให้กับความขี้เกรงใจของเขา
“เจ้าเด็กน้อยพึ่งอายุเท่าไหร่หัดรู้จักเกรงใจผู้อื่นแล้ว”
เฉียวลู่หัวเราะกำลังจะเดินหันหลังกลับเขากระท่อมน้อยของตนก็ต้องปะทะเข้ากับสายตาของบุตรชายทั้งสองของนาง ในมือของพวกเขามีไข่นกสี่ฟองเฉียวลู่ลูบหัวอวี้หลงกับอวี้ชิงอย่างรักใคร่
“เด็กดีตื่นแล้วหรือ มาเถอะแม่จะทำอะไรให้กิน”
เด็กชายทั้งสองเดินตามเฉียวลู่กลับเข้าไปในกระท่อมอย่างว่าง่าย หลังจากที่ล้างหน้าให้อวี้หลงกับอวี้ชิงแล้วเฉียวลู่ก็ทำเจียนปิ่งไส้เนื้อง่ายๆ ให้พวกเขาทานและใส่ไข่นกทั้งสี่ฟองลงไปด้วย ดูเหมือนเฉียวลู่จะมีพรสวรรค์ในทุกด้านไม่ว่าจะหยิบจับอะไรนางก็สามารถทำออกมาได้ดี แม้กระทั่งการทำอาหารที่ถึงแม้จะทำเป็นครั้งแรกนางก็สามารถทำมันออกมาได้น่ากิน อวี้หลงกับอวี้ชิงที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุเพียงแค่สามขวบแต่กลับกินเจียนปิ่งที่เฉียวลู่ทำถึงคนละสองอัน ทำเอาเฉียวลู่ปลื้มปริ่มกับความสามารถในการทำอาหารของตน
วันนี้เฉียวลู่ทำงานทั้งวันแต่นางกลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยสักนิดกลับกันนับวันร่างกายของเฉียวลู่ยิ่งเหมือนมีพละกำลังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำเอานางรู้สึกแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงของตน
ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตามช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไรดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิ
วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเ
กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าท
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
หลังจากที่ขายกุ้งย่างจนหมดแล้ววันนี้ใช้เวลานานกว่าทุกวันเล็กน้อยแต่ทุกคนต่างก็ยินดีเพราะกุ้งกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดเกลี้ยง วันนี้เฉียวลู่ไม่รับคำสั่งจองกุ้งย่างเหมือนทุกทีทั้งยังบอกลูกค้าที่มาซื้อว่าพรุ่งนี้นางไม่ได้มาขาย ทำเอาแม่เฒ่าหลี่จางหย่งและหลิวหงไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่กำลังทำ“เอาไว้เมื่อกลับไปถึงเรือนข้าจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจเองเจ้าค่ะ วันนี้เราไปซื้อของกลับบ้านสักเล็กน้อยดีหรือไม่”ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่านางกำลังคิดทำอะไรแต่ทุกคนต่างก็เชื่อใจและทำตามที่เฉียวลู่พูดเป็นอย่างดี เฉียวลู่พาทุกคนมาที่ร้านขายเสื้อผ้านางซื้อชุดผ้าฝ่ายสำเร็จรูปให้ทุกคนรวมทั้งฉินจื่อเฉินและท่านแม่ของเขาด้วย ความจริงเฉียวลู่อยากซื้อของกลับบ้านให้มากกว่านี้แต่กระท่อมของนางนั้นไม่เอื้ออำนวยในการเก็บสิ่งของมีค่าเฉียวลู่ซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาที่ร้านชื่อดังของอำเภอและอาหารที่จีหม่านโหรวกลับไปกินที่เรือนหลายอย่าง แม่เฒ่าหลี่ต้องคอยปรามเฉียวลู่ให้ประหยัดเงินเอาไว้หน่อย เพราะเงินที่เฉียวลู่ใช้นั้นล้วนเป็นเงินที่มาจากค่าแรงของนาง ส่วนเงินที่ได้กำไรที่ขายกุ้งย่างทุกวันเป็นแม่เฒ่าหลี่ที่เก็บเอาไว้ เพราะเ
เช้าวันต่อมาเฉียวลู่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อพาจางหย่งไปส่งกุ้งให้กับจีหม่านโหรว นางจะไปด้วยเพียงครั้งแรกเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาจำหน้าจางหย่งได้จะได้รู้ว่าครั้งหน้าเขาคือผู้ที่จะมาส่งกุ้งให้จีหม่านโหรวทุกวัน นอกจากส่งกุ้งแล้วเฉียวลู่ก็มีเรื่องที่ต้องการทำอีกอย่างคือหาคนมาสร้างเรือนให้นางนั่นเอง และอุปกรณ์บางอย่างก็ต้องมาหาซื้อที่อำเภอเป่ยจิงเท่านั้นเมื่อเจ้าวัวแก่หยุดลงที่หน้าจีหม่านโหรว เฉียวลู่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินตรงไปที่ผู้ดูแลที่กำลังตรวจดูผักและเนื้อของชาวบ้านที่นำมาขายให้พวกเขา“อรุนสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้ดูแลเหวิน”เหวินซงที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารรีบหันตามเสียงทักทายที่แสนหวานของเฉียวลู่ทันที“อ้อแม่นางเฉียวนั่นเอง เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”เฉียวลู่พยักหน้ารับ“ดูเหมือนท่านกำลังยุ่งอยู่ ข้ารอได้เจ้าค่ะ”เหวินซงส่ายหน้าไปมาไม่เป็นไรวัตถุดิบของเจ้าสำคัญกว่า มาเถอะข้าจะให้คนชั่งกุ้งของเจ้าก่อน”เหวินซงเรียกพนักงานของจีหม่านโหรวสองคนให้มาช่วยเขาชั่งกุ้งไม่นานกุ้งสามร้อยสามจินก็ถูกชั่งเรียบร้อย“สามจินนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ข้ามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี
หลังอาบน้ำเสร็จสองสามีภรรยานอนกอดกันอยู่บนเตียง ฉีหมิงเยี่ยนลูบหลังนางเบาๆ พร้อมทั้งเอ่ยบางอย่างจนทำให้เฉียวลู่ที่กำลังเคลิ้มใกล้หลับต้องตื่นเต็มตา“ข้าให้คนไปสืบเรื่องของซูหลีมาแล้ว บุรุษที่นางติดพันในช่วงนี้คือคุณชายตระกูลกั๋ว คนผู้นี้พึ่งมีตัวตนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้ยินมาว่าใต้เท้ากั๋วมีบุตรชายที่หายสาบสูญไปพึ่งจะหาพบ อาลู่เขายังเป็นคนที่เสิ่นฮองเฮามีความสัมพันธ์ด้วย ข้าเกรงว่าแม้แต่องค์ชายใหญ่ก็คงจะไม่ใช่พระโอรสของฮ่องเต้ เจ้าควรจะเตือนเรื่องนี้แก่นาง”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เตือนนางหรือ อย่าว่าแต่เตือนนางเลยแม้แต่ใบหน้าของนางข้ายังไม่ได้พบแล้วจะพูดเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร เฉียวลู่คิดอย่างปวดหัวสามวันต่อมา งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ฉีเหวินจิ้ง เฉียวลู่เข้าร่วมในฐานะพระชายาของชินอ๋อง เหล่าขุนนางและราชทูตที่มาร่วมอวยพรต่างให้ความสนใจทั้งสองคน พระชายาชินอ๋องผู้นี้ไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเท่าใดนักงานนี้ถือว่าเป็นงานแรกอย่างเป็นทางการสำหรับนางก็ว่าได้ อีกอย่างที่พวกเขาให้ความสนใจในตัวนางก็เพราะฉีหมิงเยี่ยน ก่อนหน้านี้ระดมทหารหลายพันนายออกกวาดล้างโจรสลัดเพื่อแก
องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่กลับมาที่พักรับรองของราชทูตแคว้นเซียวนางก็ขังตนเองเอาไว้ภายในห้อง เจ็ดวันแล้วที่นางไม่ยอมออกไปไหน ทั้งๆ ที่ผ่านมานางดีอกดีใจที่ตนเองได้พบกับเฉียวลู่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนนางจะมีเรื่องยุ่งยากบางอย่างภายในใจ นางกำนัลคนสนิทของนางไม่เคยเห็นองค์หญิงของตนเป็นเช่นนี้มาก่อนนางจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง หลายวันนี้อุดอู้อยู่แต่ในห้อง พระองค์ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ ท่าทางเศร้าสร้อยนั้นทำให้นางกำนัลรู้สึกเป็นห่วง องค์หญิงเซียวหมิ่นรู้ว่านางกำนัลเป็นห่วงตนจึงยอมทำตามที่พวกนางขอร้อง“ก็ได้ ไปเถอะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นเดินนำหน้านางกำนัลออกจากเรือนรับรองไป นางเดินเล่นในอุทยานที่มีดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมของมันทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เหล่าผีเสื้อสีสันสดใสบินรอบๆ ตัวนาง องค์หญิงเซียวหมิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ“ที่นี่ถูกดูแลเป็นอย่างดีเชียวเจ้าดูดอกไม้พวกนั้นสิ แม้แต่ที่แคว้นเซียวก็ยังไม่งดงามเท่านี้เลย”นางชี้ชวนให้นางกำนัลผู้ติดตามดูดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล เพราะเอาแต่มองดอกไม้พวกนั้นทำให้น
“ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้ใด”ผู้พิพากษาเอ่ยถาม เสิ่นชิงหยุนที่ปกติทำตัวเย่อหยิ่ง แต่ครั้งนี้กลับคุกเข่าลงอย่างหาได้ยาก นางร้องไห้น้ำตานองหน้า แสร้งทำท่าอ่อนแอให้ผู้คนสงสาร“ข้าคือเสิ่นชิงหยุน บุตรสาวคนเล็กของราชครูเสิ่น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อต้องการร้องเรียนเอาผิด พระชายาของชินอ๋องเพราะนางทำร้ายร่างกายของข้าอย่างไร้เหตุผล”ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต่างมองมาที่เฉียวลู่เป็นตาเดียว ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเสิ่นนั้นหลงรักปักใจในชินอ๋องมานานถึงขั้นไม่ยอมแต่งงานออกเรือน อาจเป็นเพราะพระชายาได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงลงมือทำร้ายคุณหนูเสิ่นใช่หรือไม่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเมืองดังเซ็งแซ่ แต่เฉียวลู่ไม่สะดุ้งสะเทือนนางไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางรอดูว่าเสิ่นชิงหยุนจะเล่นลูกไม้อันใดอีก หากมีเพียงเท่านี้นั่นก็ทำให้นางรู้สึกผิดหวังยิ่งนักที่นางเล่นใหญ่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยองค์หญิงเซียวหมิ่นทำท่าจะลุกขึ้นตีนางอีกครั้ง นางโตจนป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านเท่าสตรีผู้นี้มาก่อน เฉียวลู่ดึงนางให้นั่งลง นางส่ายหน้าให้องค์หญิงเซียวหมิ่นสงบใจ องค์หญิงเซียวหมิ่นได้แต่ทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ หากเป็นที่แคว้นเซียวสตรีอย่างเส