บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย
“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”
เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป
“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร
“เจ้า...คือ”
เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม
“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”
เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจะถูกเฉียวลู่ปฏิเสธ เพราะเขารู้ว่ามันเทศที่เขานำมาแลกนั้นไม่มีค่าพอที่จะแลกแม้แต่เศษกระดูกของหมูป่าได้ แต่ทานแม่ที่กำลังป่วยของเขานั้นต้องการเนื้อสัตว์เขาจึงต้องบากหน้ามาขอร้องคนอื่นเช่นนี้ เฉียวลู่มองร่างกายที่ผอมแห้งของเด็กชายแล้วนึกถึงลูกชายทั้งสองของนาง ดูท่าท่างแล้วพวกเขาก็คงจะลำบากเช่นกัน
“เจ้าตามข้ามานี่สิ”
เฉียวลู่หยิบเนื้อหมูป่าส่วนที่ติดมันที่ดีที่สุดที่จางหย่งแยกเอาไว้ให้นางและหยิบกระดูกซี่โครงที่หั่นเป็นท่อนเรียบร้อยแล้วใส่ในถังไม้ส่งให้เด็กชาย
“จื่อเฉินน้อยข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ลำบากเช่นกันรับนี่ไว้สิไม่ต้องเกรงใจพี่สาวให้ แล้วเจ้าก็อย่าได้ปฏิเสธเชียวไม่อย่างนั้นพี่สาวคงจะไม่กล้ารับมันเทศของเจ้าเอาไว้”
ฉินจื่อเฉินกำลังที่จะเอ่ยปากปฏิเสธเฉียวลู่แต่ถูกนางพูดดักเอาไว้ก่อนแม่เฒ่าหลี่มองเฉียวลู่กับฉินจื่อเฉินที่ไม่ยอมรับเนื้อที่เฉียวลู่ส่งให้เขา นางจึงเดินยิ้มเข้ามา
“เจ้ารับเอาไว้เถอะอย่าปฏิเสธความหวังดีของนางเลย”
แม่เฒ่าหลี่พยักหน้าให้ฉินจื่อเฉิน ท่าทางของเด็กชายดูอึดอัดใจเขานำมันเทศมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่เนื้อที่พี่สาวคนนี้ให้มานั้นมากมายนัก ฉินจื่อเฉินพยักหน้าจากนั้นเขาจึงรับถังใส่เนื้อที่ใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อยจากเฉียวลู่ไป
“พี่สาวจะรับมันเทศพวกนี้เอาไว้แล้วกันนะ เจ้ารีบนำเนื้อพวกนี้กลับไปให้คนที่บ้านของเจ้าเถอะ”
ฉินจื่อเฉินน้ำตาคลอเขาอยากจะร้องไห้โฮออกมาตรงนี้ ตั้งแต่ที่พี่สาวคนนี้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้าน เขาและนางไม่เคยแม้แต่จะคุยกันด้วยซ้ำ แต่เขากลับมาขอความช่วยเหลือจากนางเช่นนี้เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก ยิ่งเห็นนางใจดีกับเขายิ่งทำให้ฉินจื่อเฉินนับถือน้ำใจของเฉียวลู่ยิ่งกว่าเดิมทั้งๆ ที่นางก็มีลูกเล็กๆ ถึงสองคนที่ต้องเลี้ยงดูทั้งๆ ที่นางสามารถปฏิเสธเขาไปเลยก็ได้ แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น ฉินจื่อเฉินคิดในใจว่าในอนาคตเขาจะต้องตอบแทนความมีน้ำใจของพี่สาวคนนี้ให้ได้เขาสัญญากับตนเอง
ในอนาคตฉินจื่อเฉินได้ทำตามคำสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับตนเองในตอนเด็ก เขาได้ตอบแทนน้ำใจของเฉียวลู่ในแบบที่นางไม่มีวันคาดคิด
“เด็กคนนั้นเป็นใครหรือเจ้าคะ”
เฉียวลู่หันไปถามแม่เฒ่าหลี่ที่ยืนอยู่ข้างกัน นางรู้สึกว่าเด็กชายคนนั้นถึงแม้สภาพภายนอกของเขาจะเหมือนเด็กเร่ร่อนที่ร่างกายผอมแห้งไม่ได้รับการดูแล แต่เขากลับดูมีมารยาทเหมือนได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ทั้งกิริยาท่าทางของเขานั้นก็ดูแตกต่างจากเด็กๆ ในหมู่บ้าน แผ่นหลังเล็กที่ตั้งตรงของเขาเหมือนกับว่ามันจะไม่มีวันสั่นคลอนแม้ว่าเขาจะได้รับความยากลำบากมากเพียงใดก็ตาม แม่เฒ่าหลี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉินจื่อเฉิน เด็กคนนั้นก็เหมือนกับพวกเจ้าเขาไม่ใช่คนที่หมู่บ้านนี้ ครั้งแรกที่เจอพวกเขาร่างท่านแม่ของฉินจื่อเฉินลอยมาตามแม่น้ำนางบาดเจ็บสาหัสโดนฟันบาดแผลฉกรรจ์ไปทั้งตัว แต่ถึงแม้นางจะบาดเจ็บจนหมดสติไปแล้วแต่แขนของนางก็ยังกอดฉินจื่อเฉินที่ยังเป็นเพียงทารกเอาไว้ในอ้อมแขนแน่นเหมือนกับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายเขา”
แม่เฒ่าหลี่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ตั้งแต่ที่พวกเขามาอยู่ที่หมู่บ้านมู่โฉว่ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย มีบ้างที่นางพูดคุยกับข้าและอาหงเพราะบ้านของเราอยู่ติดกัน แต่ข้าก็ไม่ค่อยได้พบนางบ่อยนัก อาจเพราะนางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนของตน จะพบนางได้ก็ต่อเมื่อนางนำผ้าเช็ดหน้าที่นางปักมาฝากข้าไปขายในอำเภอบ้างเดือนละสองครั้ง ตอนนี้ลูกชายของนางก็โตแล้วจึงช่วยงานนางได้บ้าง แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตลำบากเพราะเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ต้องเลี้ยงดูบุตรชายโดยไร้สามี”
เฉียวลู่เหมือนได้รับข้อมูลใหม่เข้ามา จากประสบการณ์ที่เคยอ่านบทในนิยายมาบ้างฉินจื่อเฉินและท่านแม่ของเขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เเต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เฉียวลู่จะต้องเขาไปยุ่ง เรื่องที่สำคัญของนางตอนนี้คือขายเนื้อให้เสร็จและทำอาหารรสเลิศให้เด็กๆ ของนางทานต่างหาก
เฉียวลู่เลิกสนใจในตัวของเด็กฉินจื่อเฉินแล้วหันมาสนใจเนื้อที่เหลือที่จางหย่งแบ่งเก็บเอาไว้ให้นาง
“ยังเหลือเยอะเพียงนี้เชียว”
เฉียวลู่ไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับการทำอาหาร เพราะชีวิตที่ผ่านมาของนางนั้นล้วนมุ่งเป้าไปที่การแสดงการพุ่งไปแต่ข้างหน้าของนางทำให้เฉียวลู่ลดความสนใจในการหางานอดิเรกทำเหมือนนักแสดงคนอื่นที่บางคนทำอาหารบางคนเล่นเกมส์หรือบางคนออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศเมื่อมีเวลาได้พัก แต่สำหรับเฉียวลู่กว่าจะมีเวลาพักหลังจากปิดกองนั่นคือเวลาที่นางจะต้องนอนเพื่อเพิ่มพลัง การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่เฉียวลู่คิด
“น่าจะเรียนทำอาหารมาบ้างน่าจะดี”
เฉียวลู่คิดอย่างทดท้อในใจ เอาเถอะมันคงไม่ยากเกินความสามารถของเฉียวลู่คนนี้หรอกกระมังทำไม่เป็นก็แค่เรียนรู้ก็เท่านั้น นางพยายามให้กำลังใจตนเอง
หลังจากที่ขายเนื้อหมูป่าให้ชาวบ้านทั้งหมดตามความต้องการและยังเหลือเครื่องในและเนื้อบางส่วนที่ไม่เป็นที่ต้องการ เฉียวลู่จึงเอ่ยรั้งชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่ได้กลับไปเอาไว้
“ท่านลุงท่านป้าท่านน้าท่านอาทั้งหลาย เนื้อส่วนที่เหลือนี้ข้าคิดว่าถ้าหากพวกท่านคนไหนต้องการสามารถนำเครื่องปรุงที่บ้านหรือแป้งขาวมาแลกได้นะเจ้าคะข้ายินดีแลกกับพวกท่าน”
หลังจากเฉียวลู่ประกาศออกไปชาวบ้านต่างพากันกลับไปนำเอาเครื่องปรุงที่เรือนของตนกลับมาเพราะกลัวว่าเฉียวลู่จะแลกหมดไปซะก่อน ใครบ้างจะไม่สนใจข้อเสนอเช่นนี้ของเฉียวลู่หากไม่คว้าโอกาสทองเอาไว้เกรงว่าจะไม่ได้เจอเรื่องดีเช่นนี้บ่อยๆ นัก
“เจ้าทำเช่นนี้ไม่จะขาดทุนแย่หรือ”
หลิวหงเป็นคนพูดขึ้นก่อนหลังจากที่ชาวบ้านสลายตัวไปหมดแล้ว แม่เฒ่าหลี่พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสะใภ้ของนาง
“เหลือเยอะขนาดนี้ข้าคงกินไม่หมดหรอกเจ้าค่ะ ที่บ้านของข้าไม่เหลืออะไรเลยเครื่องปรุงที่จะเอาไว้ทำอาหารก็ไม่มี ทำเช่นนี้ดีกว่าซะอีกข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปซื้อในเมืองให้ยุ่งยากแถมยังไม่ต้องใช้เงินให้สิ้นเปลือง ข้าอยากเก็บเงินเอาไว้สร้างเรือนให้ดีกว่านี้กลัวว่าเข้าหน้าหนาวข้ากับเด็กๆ จะได้แข็งตายไปซะก่อน”
หลังจากได้ฟังเหตุผลของเฉียวลู่พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของนาง
“เอาเถอะถ้าหากว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือเรื่องสร้างเรือนใหม่ของเจ้าก็บอกข้ามาได้เลย เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ข้าจะมาช่วยเต็มที่”
จางหย่งเป็นคนออกตัวเป็นคนแรก เฉียวลู่ยิ้มขอบคุณคนบ้านสกุลจางที่ช่วยเหลือนางมาโดยตลอด
หลังจากที่เฉียวลู่นำเนื้อที่เหลือเอาไปแลกเครื่องปรุงและแป้งขาวเก็บเอาไว้ทำอาหาร และยังมีเนื้อส่วนที่แบ่งเอาไว้ให้แม่เฒ่าหลี่และครอบครัวที่มาช่วยนางในครั้งนี้ด้วย เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับเรือนแล้วตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแสงแดดร้อนแรงทำเอาเฉียวลู่รู้สึกเนื้อตัวเหนียวไปหมดนางจึงหิ้วถังไม้สองใบตรงไปที่บ่อน้ำที่ชาวบ้านใช้ดื่มกิน
ไม่นานเฉียวลู่ก็กลับมาที่กระท่อมน้อยของนางพร้อมกับถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็มทั้งสองใบ นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่นางไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของน้ำที่อยู่ในนั้นเลย เฉียวลู่ก้มลงมองแขนเล็กๆ ของตนที่แทบไม่มีเนื้ออยู่เลย
“ก็ยังผอมแห้งเหมือนเดิมนี่นา แล้วทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้”
เฉียวลู่ไม่รอให้ความสงสัยผ่านไปหลังจากที่ตักน้ำเต็มโอ่งดินเผาแล้วเฉียวลู่ก็คว้ามีดตัดฟืนเดินตรงไปที่ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ด้านหลังกระท่อมของนาง
เฉียวลู่จับมีดตัดฟืนในมือให้มั่นจากนั้นจึงฟันลงไปที่ต้นไม้ที่ใหญ่กว่าเอวของนางหนึ่งที เพียงครั้งเดียวเสียงโครมก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเรือน เด็กชายสองคนที่เฉียวลู่สั่งให้เฝ้าเนื้อเอาไว้รีบวิ่งมาที่ด้านหลังกระท่อมตามเสียงที่ดังสนั่น
ภาพที่เขาทั้งสองเห็นคือท่านแม่ยืนจังก้าถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ด้านหน้าของนางมีต้นไม้ต้นใหญ่ล้มอยู่รอยตัดที่โคนต้นเรียบเนียนเหมือนกับใช้อาวุธชั้นดีตัดมัน แต่มีดที่อยู่ในมือของเฉียวลู่นั้นไม่ได้ผ่านการลับคมมานานปี เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถตัดต้นไม้ได้เรียบเนียนขนาดนั้น เฉียวลู่ได้ยินเสียงเดินของเด็กทั้งสองคนแล้วแต่นางไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังดื่มด่ำกับพลังที่ได้มาโดยบังเอิญ
“ท่านแม่”
เสียงเรียกเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง เฉียวลู่จึงหันไปมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ
“พวกเจ้า....”
เฉียวลู่อยากจะพูดต่อประโยคนั้นว่ายอมพูดออกมาแล้วหรือแต่นางเกรงว่าเด็กๆ จะรู้สึกไม่ดีกับคำถามของนาง
“มาทำอะไรที่นี่เล่า ไม่เฝ้าเนื้อหมูป่าเอาไว้เดี๋ยวมันจะหายไปนะ”
เฉียวลู่เอ่ยหยอกล้อกับเด็กชายทั้งสอง อวี้หลงกับอวี้ชิงมีท่าทีลังเลเหมือนอยากจะถามนางบางอย่าง แต่เด็กชายทั้งสองก็หันหลังกลับไปเฝ้าเนื้อเอาไว้ตามที่เฉียวลู่สั่ง
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี