“ออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” เหมาเสี่ยวถงตวาดลั่น สตรีน่าชัง เขาเคยรักสตรีชั่วช้าเช่นนี้ไปได้อย่างไร ไม่ดูแลเขาก็ช่างเถิด แต่ลูกนางกลับไม่เคยเหลียวแล นี่ก็คงจะกลับมาจากในตัวเมืองล่ะสิ ออกไปเช่าบ้านผู้อื่นหลับนอน แต่ไม่เคยอยู่บ้านตนเอง ปล่อยให้เสี่ยวหลงต้องอดมื้อกินมื้อ ถ้าหากเขาเดินได้ปกติดีไม่ป่วยนอนติดเตียง ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ลูกต้องอดอยากเช่นนี้
“ท่านพี่ข้าสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทำตัวเหลวไหลอีกแล้ว ยกโทษให้ข้าเถอะนะเจ้าคะ” ยิ่งมาเห็นสภาพสามีในตอนนี้ใจกลับไหววูบ เขาต้องลำบากและทรมานมากแค่ไหนกันนะ
“คนเคยมีสันดานเช่นไร ไม่มีทางจะกลับมาดีได้หรอก ข้าจะเขียนใบหย่าให้แล้วเจ้าก็เอาเงินก้อนสุดท้ายไปจากที่นี่ซะ” เขายอมแพ้แล้ว ไม่อยากจะดึงรั้งนางไว้อีกต่อไปแล้ว สภาพเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีใครอยากจะอยู่ด้วย
“ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ ท่านกับลูกอยู่ที่ใดข้าก็อยู่ที่นั่นแหละ” หญิงสาวใช้ความหน้ามึนเข้าสู้ ประคองร่างผ่ายผอมที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกขึ้นมาจากที่นอน กลิ่นอาจมส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว จนนางต้องยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกแทบไม่ทัน
“หากรังเกียจมากนัก ก็ไม่ต้องมาแตะต้องข้า” ชายหนุ่มสะบัดหน้าไปอีกทาง นึกสมเพชตนเองที่มีสภาพเช่นนี้ เขาไม่อยากจะให้ผู้ใดมองเขาอย่างสงสารเวทนา โดยเฉพาะเมื่อมันออกมาจากภรรยาเขาเอง
“เสี่ยวหลง ไปตักน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” แทนที่นางจะต่อบทสนทนากับสามี จือหลินกลับหันมาพูดกับบุตรชายแทน ในเมื่อใจเขายังไม่ยอมเปิดรับก็คงจะต้องให้เวลา ในเมื่อนางเองที่เป็นต้นเหตุให้เขาคิดเช่นนั้นเองจะโทษใครได้
“ขอรับท่านแม่” ร่างเล็กที่ผอมจนคิดว่าหากมีลมพัดก็คงจะปลิวไปกับลม รีบไปทำตามคำสั่งของมารดาอย่างเคร่งครัด วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งนักที่ท่านแม่อยู่บ้าน และยังเป็นครั้งแรกที่พูดจากับเขามากที่สุดในรอบปีอีกด้วย
“นั่นเจ้าจะทำอะไร” เหมาเสี่ยวถงถลึงตาใส่ภรรยา เขาไม่คิดว่านางจะจับเขาถอดชุด แตะเนื้อต้องตัวเขาอย่างไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย อะไรเข้าสิงนางกันถึงได้แปลกไปมากถึงขนาดนี้เพียงชั่วข้ามคืน
“ข้าจะเช็ดตัวให้ท่านเจ้าค่ะ” ชุดที่เขาสวมมันทั้งเหม็นและเลอะสิ่งปฏิกูลที่เจ้าตัวขับถ่ายออกมาเต็มไปหมด นานแค่ไหนกันนะที่เขาต้องทนอยู่แบบนี้ โดยที่ตัวนางเองเห็นแก่ความสุขสบาย จนละเลยเขาและบุตรได้อย่างไร ในตอนที่นางทุกข์เขาไม่เคยจะทิ้งนางไปเลยสักครั้ง
ข้าขอโทษ ต่อไปนี้ข้าจะดูแลท่านเอง
“อย่ามองข้าด้วยความสงสาร” เมื่อเห็นสายตาของจือหลินที่มองเนื้อตัวเขา มันรับไม่ได้ที่ต้องมามีสภาพเช่นนี้ ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ดึงดันจะไปเก็บของป่าบนหุบเขาแล้วพลาดตกลงมา ก็คงจะไม่มีสภาพกายเหมือนผัก
แม้ในวันนั้นมีคนช่วยเขาไว้ได้และไปหาหมอได้ทันท่วงที แต่ทว่าก็ยังต้องใช้เงินในการรักษามากอยู่ดี ตัวเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหาเช้ากินค่ำจะมีปัญญาหาเงินมาเป็นค่ารักษาได้อย่างไร จนแล้วจนรอดก็ปล่อยเวลาล่วงเลยมาเป็นปี ไม่รู้ว่าจะมีหวังกลับมาเดินได้อีกครั้งหรือไม่
“ท่านแม่น้ำมาแล้วขอรับ” เสี่ยวหลงน้อยหิ้วถังน้ำเข้ามาอย่างทุลักทุเล เนื้อตัวเขาเปียกชุ่มไปแล้วครึ่งตัว ด้วยน้ำหนักน้ำมากกว่าตัวจึงทำให้มันหกไปบ้างในระหว่างที่หิ้วถังน้ำกลับมา
“เหตุใดถึงได้เปียกไปทั้งตัวเช่นนั้นเล่า เสี่ยวหลงอย่าลืมไปเปลี่ยนชุดก่อนกินข้าวล่ะ แม่วางกับข้าวไว้ให้ที่โต๊ะแล้ว เจ้ากินเองได้ใช่ไหม” จือหลินเกือบหลุดขำพรืด เมื่อเห็นสภาพเปียกปอนของบุตรชาย นี่ก็คงจะเป็นอีกคนที่นางจะจับอาบน้ำเสียหน่อย หน้าตามอมแมมเหลือเกิน ทั้งขี้มูกขี้ตาเกรอะกรังไปหมด
“กินได้ขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก วันนี้เขาเป็นเด็กดี ท่านแม่ทำอาหารให้กินด้วย เขาจะไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง จากนั้นจึงได้วางถังน้ำไว้ข้างกายมารดา แล้วเดินเลี่ยงออกไปด้านนอกไม่รบกวนอีก
“ท่านแม่ขอรับ ข้าวหมดถังแล้ว” เสี่ยวหลงวิ่งหน้าตั้งจากห้องครัวไปหามารดาในห้องนอน“ของสดที่ใช้ทำอาหารก็เหลือน้อยเช่นกันขอรับ” อาเหมารายงานของสดภายในครัวที่เขาไปสำรวจมาเช่นกัน ตอนนี้เขาเริ่มสนใจเกี่ยวกับการทำอาหารมากที่สุด จึงมักจะขลุกอยู่ในครัวเวลาท่านน้าทำกับข้าว เพื่อจะได้ฝึกฝีมือการทำอาหารไว้ ต่อไปเรื่องในครัวเขาจะเป็นผู้จัดการเอง“หา!! แย่แล้ว หมดเกลี้ยงถังเลยหรือ” จือหลินที่ได้ยินว่าข้าวสารหมดถังถึงกับหันขวับทันที เรื่องของสดก็ช่างมันเถอะยังพอเอาผักหลังบ้านมาทำกินบังหน้าไปได้ แต่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่น่าลืมเติมข้าวสารเลย ครั้นจะใส่ลงไปตอนนี้ เรื่องที่ปิดบังเอาไว้ก็ยังไม่ได้บอกใคร พอมาคิด ๆ ดู ทุกอย่างช่างวุ่นวายดีแท้“เหลืออยู่แค่เพียงครึ่งถ้วยแกงขอรับ” เสี่ยวหลงชูถ้วยข้าวสารให้มารดาดูนั่นก็เท่ากับว่าข้าวสารเพียงครึ่งถ้วยแกงไม่เพียงพอต่อคนในบ้าน เหมาเสี่ยวถงเป็นกังวลไม่น้อย เงินหนึ่งตำลึงที่ภรรยาให้เก็บไว้วันนั้น เขาก็นำมันไปจ่ายค่าซ่อมแซมหลังคาบ้าน ในตอนที่มีพายุฝนหลังคามันมีแต่รูรั่วเต็มไปหมดยามฝนตกก็แทบจะนอนไม่ได้เอาเสียเลย ตอนเช้ามาข้าวของบางส่วนก็เปียกชุ่มไปหมด“เจ้ากับลูกก็
จือหลินที่ยืนละล้าละลังอยู่ในครัวเพียงผู้เดียว หญิงสาวได้แต่เกาหัวตนเองอย่างคิดไม่ตก เพราะว่าตอนนี้มันเหลือเพียงแค่ไข่และเนื้อหมูอีกนิดหน่อยไว้ทำกับข้าว และมีข้าวสารเพียงครึ่งถ้วยแกงเท่านั้น ถึงจะมีของวิเศษอยู่กับตัวแต่เวลาจะใช้ก็เอาออกมาใช้ยากเหลือเกิน เห็นทีพรุ่งนี้นางจะต้องไปตลาดในเมือง ทำทีไปขายของแล้วได้เงินมาไว้ซื้อของเข้าบ้านเสียแล้วกระมังอย่างไรวันนี้คงต้องทำกับข้าวอย่างง่ายไปก่อน ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ทำกินได้โดยที่ไม่ต้องกินกับข้าวสวย ในเมื่อมีไข่มีเนื้อแล้วก็ทำชาบูกินทั้งวันไปเลยแล้วกัน ผักหลังบ้านกำลังงามเสียด้วยเมื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้องไปได้แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ร่างบางหมุนกายออกจากห้องครัวแต่ก่อนจะเดินพ้นประตูบ้านก็ไม่ลืมหยิบตะกร้าสานติดมือมาด้วยเมื่อออกมาถึงหลังบ้านจือหลินได้คัดเอาผักที่โตพอจะนำมากินได้ ถอนผักใส่ตะกร้าไม้ไผ่สานในมือ แครอท หัวไชเท้า ผักกาดขาว และขึ้นฉ่ายเพื่อเพิ่มความหอมหวานของน้ำซุปหลังจากที่ได้ของตามต้องการนางจึงได้กลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง และยังไม่ลืมจะลงดาลประตูอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ทั้งสองเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น จือหลินเร
ตกเย็นหลังจากกินมื้ออาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยจนพุงกาง ก่อนจะส่งหัวผักกาดทั้งสองเข้านอน จือ หลินจึงให้พวกเขาดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอนคนละแก้ว เพราะเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองผอมมากเกินไป เกรงว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหารไปก่อนที่นางจะขุนพวกเขาให้อ้วนท้วนมากกว่า“อะไรหรือขอรับท่านน้า” ยังคงเป็นอาเหมาที่เอาแต่ถามไม่หยุด วันทั้งวันเขาได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ และได้กินของอร่อยที่ในชีวิตนี้ไม่เคยได้กิน“นมวัวจ้ะ รีบดื่มเร็วอุ่นกำลังดีเลย” จือหลินยื่นแก้วนมให้คนละแก้ว“ข้าเคยได้ยินว่ามันคาวมากเลยนะขอรับ” เวลาคนมีฐานะมาทำบุญที่วัด บุตรหลานพวกเขามันจะพูดจาโอ้อวดกันเสมอ อาเหมาจึงพอจะรู้มาบ้างว่านมวัวจะมีกลิ่นคาวและรสชาติไม่อร่อย แต่ผู้คนที่มีฐานะดีก็มักจะให้บุตรหลานดื่มกินเพื่อบำรุงร่างกาย“อร่อยนะอาเหมา นมที่ท่านแม่ให้ดื่มไม่คาวเลย หอมมันและอร่อยมากเจ้าลองดื่มสิ” เสี่ยวหลงคะยั้นคะยอให้น้องชายดื่ม จากนั้นเขาจึงยกส่วนที่เป็นของตนยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดอาเหมาเห็นว่าพี่ชายดื่ม เขาจึงยกขึ้นดื่มบ้าง ปรากฏว่ามันเป็นดั่งเช่นพี่หลงบอกเขาจริง ๆ แม้จะไม่หวานแต่ก็มันและหอมมากเช่นกัน อย่างนี้ให้เขาดื่มแทนข้าวทุกมื้อก็ยังได้“เอ
อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางเรียงไว้เต็มโต๊ะอาหาร มีทั้งข้าวสวยร้อน ๆ เม็ดขาวอวบ น้ำแกงแสนอร่อย เนื้อตุ๋นชิ้นโต และมีปลานึ่งตัวใหญ่ที่เป็นกับข้าวจานหลักของมื้อนี้ ทั้งยังมีเครื่องเคียงเป็นน้ำพริกกากหมูรสกลมกล่อมที่จือหลินชื่นชอบ พร้อมกับผลไม้หลายชนิดถูกเรียงอยู่ในถาดอย่างสวยงามทันทีที่อาเหมาเข้ามานั่งร่วมโต๊ะอาหาร เด็กน้อยถึงกับเบิกตากว้าง เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าของกินที่อยู่ตรงหน้าเขาจะสามารถกินมันได้จริงหรือ เกิดมาทั้งชีวิตเคยกินเพียงแค่อาหารเหลือจากผู้อื่น และขนมที่เก็บมาได้ตอนผู้คนทิ้งขว้างไม่กินแล้ว“ข้ากินทั้งหมดนี่ได้จริงหรือขอรับ” อาเหมาถามขึ้นอย่างตื่นเต้น เขามองอาหารบนโต๊ะละลานตาเต็มไปหมด ตอนนี้เขาคิดได้ว่าคนเราไม่ควรจะมองผู้อื่นแต่เปลือกนอก ดูอย่างครอบครัวท่านน้าเป็นตัวอย่าง มองเพียงภายนอกมันตัดสินอะไรไม่ได้เลย“กินได้สิ ที่บ้านกินเช่นนี่ทุกมื้อ หนึ่งวันกินข้าวตั้งสามมื้อแหนะ” เสี่ยวหลงบอกน้องชายคนใหม่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม“จริงหรือ เช่นนั้นพี่หลงก็ได้กินของอร่อยทุกวันน่ะสิ ช่างน่าอิจฉานัก” แม้จะพูดว่าอิจฉาแต่ทว่าอาเหมาก็เพียงแค่รู้สึกอยากมีวาสนาดั่งเช่นพี่ชายที่มีของอร่อยให้
เหมาเสี่ยวถงมองเด็กชายตัวน้อยแต่งตัวมอซอหน้าตามอมแมม ยืนกอดห่อผ้าเก่า ๆ อยู่ตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าภรรยาพาเด็กน้อยคนนี้มาทำอะไร ทั้งที่ครอบครัวก็ยังคงอดมื้อกินมื้อถึงแม้จะเป็นก่อนหน้าที่จือหลินจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ก็เถอะ“ข้าอยากให้อาเหมามาอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหลงเจ้าค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้ปรึกษาท่านพี่ก่อน” จื่อหลินได้แต่ส่งสายตาขอลุแก่โทษให้สามี ที่ตนเองทำไปโดยพลการไม่ได้ปรึกษากันก่อนจะตัดสินใจ“ช่างเถอะ ไหน ๆ อาเหมาก็มาแล้วนี่ จะทำอะไรได้” เหมาเสี่ยวถงได้ยินคำขอโทษจากภรรยาก็ได้แต่จำยอมพูดอะไรไม่ออก หากจะให้เด็กน้อยกลับไปก็อดที่จะสงสารไม่ได้ จากที่เล่ามาเด็กนั่นเป็นเพียงแค่ขอทานอาศัยอารามวัดเพื่อหลับนอนไร้ซึ่งครอบครัวให้กลับไป ถ้าเขามีกำลังมากพอหากไปเจอเด็กแบบอาเหมาเข้า เขาก็คงจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับภรรยา“ขอบคุณท่านลุงที่อนุญาตขอรับ” อาเหมารีบนั่งคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณเป็นการใหญ่ ประหนึ่งว่าหากเขาไม่ทำเช่นนั้นก็อาจจะถูกไล่กลับไปเป็นขอทานเหมือนเดิม“พอได้แล้วอาเหมาเดี๋ยวหัวได้แตกกันพอดี ที่นี่เราอยู่กันเป็นครอบครัวเพราะฉะนั้นอาเหมาไม่ใช่เด็กรับใช้ แต่เป็นหนึ่งในครอบครัวพวกเราเข้าใจไหม” จือหลิน
เหมาเสี่ยวถงลอบมองสิ่งของที่ภรรยาสาวนำมาด้วยความสงสัย ของแต่ละชิ้นช่างไม่คุ้นตาและแปลกใหม่ และที่สำคัญคงจะราคาแพงมาก แต่ต้องยอมรับว่ามันทั้งสบายและสะดวกต่อเขามากเช่นกัน อกแกร่งเริ่มหวั่นไหวหัวใจเต้นแรงเมื่อคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ถึงเดือน จือหลินเปลี่ยนแปลงไปมากไม่หลงเหลือความเป็นสตรีร้ายกาจ เขาจะสามารถเชื่อใจนางได้หรือไม่นะหญิงสาวพาเหมาเสี่ยวถงออกมาหยุดตรงใต้ร่มไม้หน้าบ้าน จากนั้นจึงได้ย้ายเขาไปนอนเล่นบนเก้าอี้ม้าโยกแทน เพื่อที่ว่าสามีจะได้นั่งพักได้สบายไม่เมื่อยตัว นางก็สรรหาเบาะรองนุ่ม ๆ วางทับบนเก้าอี้ไม้อีกที ระหว่างนี้นางก็จะปลูกผักเอาไว้กิน แต่ความเป็นจริงแล้วเพียงแค่จะปลูกเอาไว้เป็นฉากบังหน้าก็เท่านั้นในเมื่อมีของวิเศษเป็นชอปปิงมาร์เก็ต มีของสดของใช้ขนาดใหญ่ให้เลือกหาอย่างไม่จำกัด จะปลูกให้เหนื่อยไปทำไมกัน ที่มานั่งปลูกอยู่ตอนนี้ก็เพียงแค่จะได้ไม่ดูแปลกในสายตาของชาวบ้าน ผู้คนจะได้เข้าใจว่าครอบครัวมีกินมีใช้ได้จากการปลูกผักกินเอง และตัดปัญหาความวุ่นวายในชีวิตออกไปได้อีกหนึ่งอย่าง“ท่านแม่ข้าไปถอนหญ้ารอนะขอรับ” เสี่ยวหลงน้อยหอบเอาอุปกรณ์การทำสวนตรงไปยังที่จะใช้ปลูกผ