|PART 3|
วังหมิงหยวน รถยนต์หรูขับเข้ามาจอดเทียบยังฟุตบาทข้างกำแพงของมหาวิทยาลัยเฉินไห่ ไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นมิใช่มนุษย์และมีร่างเดิมเป็นอาชาหนุ่มขนสีขาวที่แสนสง่างาม ที่เหว่ยหลางเขามีหน้าที่ขับรถรับส่งคนของสกุลเซียว "เย็นนี้ให้ผมมารับไหมครับ" ชายหนุ่มชุดขาวถามขึ้น "ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะไปพบท่านพ่อที่บ้านสกุลหลิว" เซียวเยว่ลูกหมาป่าบอกกับอาชาหนุ่มในร่างมนุษย์ก่อนก้าวลงจากรถ เพียงแค่ปลายเท้าแตะถึงพื้นและยืนเต็มความสูงเท่านั้นก็ดึงดูดสายตาของนักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นมารวมไว้ที่ตนอย่างไม่ตั้งใจ 'คนอะไร รูปหล่อราวกับไม่ใช่คนบนโลกนี้ ถ้าได้ใกล้ชิดสักครั้ง ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย' นั่นคือเสียงที่ลอยมาเข้าหูของเซียวเยว่ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีถ้อยคำกล่าวสรรเสริญถึงตัวเขาตามมาอีกมากมาย ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เซียวเยว่รู้สึกว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่ามนุษย์ผู้อื่นสักนิด สัตว์กลายพันธุ์อย่างพวกเขาต้องการเพียงการยอมรับและปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้น ภายในมหาวิทยาลัยเฉินไห่เวลานี้ค่อนข้างเงียบสงบเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในห้องเรียนกันแล้ว เซียวเยว่มองนาฬิกาบนข้อมือเห็นว่ายังมีเวลาเหลือกว่าครึ่งชั่วโมงจึงตั้งใจจะไปหาที่สงบเพื่อรอเวลาเข้าเรียน ในใจนึกโกรธหม่าอี้ที่ทำให้มาถึงมหาวิทยาลัยก่อนเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงมีเวลาอยู่กับเหอไป๋เหยียนมากกว่านี้แล้ว และขณะเดินไปทางด้านหลังตึกเขาก็ถูกวังหมิงหยวนเรียกตัวไว้เสียก่อน วังหมิงหยวน เป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยและเป็นเพื่อนร่วมคณะของเซียวเยว่ เขาเป็นมนุษย์ธรรมดาและไม่รู้ว่าคนที่กำลังคุยอยู่ด้วยตอนนี้เป็นสัตว์กลายพันธุ์พิเศษที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้ากว่าสัตว์ตัวอื่น นิสัยของเซียวเยว่ค่อนข้างเป็นมิตร วังหมิงหยวนถูกชะตากับเขาตั้งแต่เปิดเรียนวันแรกและเป็นฝ่ายเข้าหาเซียวเยว่ก่อน "นายกำลังจะไปที่ไหนเหรอ?" วังหมิงหยวนถามขึ้น "ฉันว่าจะไปหาอะไรรองท้องที่ร้านอาหารสักหน่อย นายจะไปด้วยกันมั้ย" ทีแรกเซียวเยว่ตั้งใจจะไปหาที่นอนพักผ่อน แต่พอวังหมิงหยวนถามจึงเปลี่ยนใจบอกว่าไปร้านอาหารแทน แต่วังหมิงหยวนกลับบอกกับเขาว่ามีเรื่องที่สนุกกว่าการไปนั่งทานข้าวเป็นไหน ๆ พร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดคลิปวิดีโอของสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยส่งให้เซียวเยว่ดู เซียวเยว่มองภาพบึงน้ำที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อสังเกตให้ดีก็พบว่าบริเวณโดยรอบบึงน้ำนั้นมีร่องรอยการต่อสู้เกิดขึ้น วังหมิงหยวนเล่าให้ฟังว่าวันนี้เขาตื่นตอนตีสี่เพื่อมาวิ่งออกกำลังกาย และบังเอิญเห็นเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยพร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยขี่รถไปทางบึงน้ำอย่างรีบเร่ง ด้วยความอยากรู้จึงได้เอารถจักรยานขี่ตามไปดู ตรงบึงน้ำมีกองเลือดที่ยังไม่แห้งดีสาดกระจายอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่มีร่องรอยการต่อสู้แต่กลับไม่พบศพบริเวณนั้นนอกจากชายวัยรุ่นร่างผอมที่นอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ วังหมิงหยวนจึงใช้มือถือบันทึกภาพเอาไว้ บังเอิญว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาพบเข้าเสียก่อนจึงไล่ให้เขาออกจากบริเวณนั้นและสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาอีก "ฉันว่ามันต้องเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างพวกการฆาตกรรมอำพรางศพเกิดขึ้นแน่ ๆ พวกเขาถึงได้ปิดข่าวเงียบขนาดนี้" วังหมิงหยวนตั้งข้อสงสัยขึ้น ภายในมหาวิทยาลัยมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตแต่กลับไม่มีใครพูดถึงสักคน มันจะเป็นไปได้เหรอ เรื่องลึกลับแบบนี้ทำให้เขาอยากค้นหาความจริงขึ้นมาแล้วสิ "นายคิดมากไปหรือเปล่า ฉันว่าอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ" เซียวเยว่ว่าพลางส่งมือถือคืนให้กับวังหมิงหยวน แม้จะบอกกับวังหมิงหยวนไปแบบนั้นแต่เซียวเยว่ก็รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีคนเสียชีวิตจริง และยังรู้อีกว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์เพียงแต่เดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือของสัตว์กลายพันธุ์ชนิดใด เพราะสัตว์กลายพันธุ์นอกจากพวกที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์เหว่ยหลางแล้วยังมีสัตว์กลายพันธุ์อีกหลายชนิดที่หลบซ่อนตัวและใช้ชีวิตปะปนกับมนุษย์ในเมืองเฉินเซินนี้ ก่อนที่วังหมิงหยวนจะถามอะไรไปมากกว่านี้เสียงเตือนเวลาเข้าเรียนได้ดังขึ้นพอดี เซียวเยว่จึงบอกให้เขาเลิกสนใจเรื่องนี้และรีบขึ้นห้องซะ เพราะหากสายจะถูกอาจารย์ตำหนิเอาได้ เหตุฆาตกรรมริมบึงน้ำแม้จะมีการปิดข่าวไม่ให้บุคคลคนภายนอกรับรู้ แต่ภายในมหาวิทยาลัยนอกจากวังหมิงหยวนแล้วยังมีนักศึกษาบางกลุ่มที่รู้เรื่องนี้ และพวกเขายังมองเป็นเรื่องท้าทายที่จะค้นหาตัวฆาตกรให้พบ ภายในห้องของผู้บริหารสูงสุดประจำมหาวิทยาลัยเฉินไห่ เซียวหลางได้ต้อนรับทายาทสกุลหลิวและผู้ติดตามที่สละเวลามา เดิมทีมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นของห้าสกุล คือ สกุลหลิว สกุลจ้าว สกุลซุน สกุลหลี่ และสกุลเซี่ย โดยสกุลหลิวเป็นผู้ถือหุ้นจำนวนมากที่สุด จนเมื่อสามปีก่อนเซียวหลางได้บริจาคเงินจำนวนมหาศาลให้กับทางมหาวิทยาลัย และขอซื้อหุ้นบางส่วนของทั้งห้าสกุลทำให้ตอนนี้สกุลเซียวกลายเป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุด โดยมีสกุลหลิวเป็นอันดับสอง สิทธิ์ในการบริหารจึงตกมาอยู่กับทั้งสองสกุล เซียวหลางแนะนำเหอไป๋เหยียนและหม่าอี้ให้ทายาทสกุลหลิวได้รู้จักและบอกว่าพวกเขาจะมาเป็นอาจารย์ที่นี่ โดยจะมีคนของเหว่ยหลางอีกกลุ่มหนึ่งตามมาสมทบภายหลัง หลิวอิงทายาทสกุลหลิวมีความยินดีที่คนของเหว่ยหลางจะมาเป็นอาจารย์ที่นี่ เพราะได้ยินเรื่องความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนมานาน กับเหอไป๋เหยียนแม้จะรู้จักแต่ก็ไม่สนิทสนม รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นหมอและมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงเท่านั้น "ตอนนี้อาการของไป๋เหยียนดีขึ้นมากแล้ว ผมว่าจะให้เขามาประจำอยู่ที่ห้องพยาบาล ส่วนหม่าอี้มีความสามารถทางด้านร่างกาย ผมจะให้เขาดูแลเรื่องกีฬา" มหาวิทยาลัยเฉินไห่ขึ้นชื่อเรื่องงานวิจัยและทดลองทางด้านชีววิทยา แต่มีจุดอ่อนคือเรื่องกีฬาทุกชนิด ฉะนั้นเวลามีการแข่งขันมักเป็นอันดับสุดท้ายเสมอ แต่ก็มิได้เสียใจเพราะจุดหมายของพวกเขามีเพียงสิ่งเดียวคือการได้ทุนและทำงานกับศูนย์วิจัยนั่นเอง หลิวอิงต้อนรับเหอไป๋เหยียนและหม่าอี้ด้วยความยินดี พูดคุยฝากฝังพอพป็นพิธี จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับเพราะยังมีภารกิจอื่นรออยู่อีกมากมาย เซียวหลางได้ให้เหอไป๋เหยียนและหม่าอี้ทดลองทำงานในวันนี้เลย ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ขัดข้อง มีเพียงหม่าอี้ที่แสดงออกว่าไม่อยากอยู่ห่างอสรพิษหนุ่ม เพียงไม่กี่ชั่วโมงข่าวว่ามีอาจารย์ประจำห้องพยาบาลคนใหม่ก็สะพัดไปทั่วเฉินไห่ และวันนั้นจำนวนนักศึกษาที่ป่วยก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ "อาจารย์ครับผมปวดหัวเหลือเกิน อาจารย์ช่วยรักษาให้ผมทีนะครับ" "ไหน..ขอฉันดูหน่อยสิ" นักศึกษาหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ร่างอรชรที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวคลุมทับชุดด้านในสีเดียวกัน ระยะใกล้จนได้กลิ่นหอมจากเรือนสีเงินเปล่งประกายราวเส้นไหมที่ถูกรวบไว้ด้านหลังเพื่อความเรียบร้อยเผยใบหน้าที่งดงามอย่างชัดเจน ทำเอานักศึกษาหนุ่มถึงกับตาลอยเมื่อได้ยลในระยะใกล้ เดิมทีอสรพิษเกล็ดเงินก็มีความสามารถในการล่อลวงสัตว์ต่างสายพันธุ์อยู่แล้ว ไม่แปลกที่มนุษย์เหล่านี้จะหลงเสน่ห์เขาอย่างง่ายดาย "เธอคงอ่านหนังสือดึกเกินไป คืนนี้ดื่มน้ำอุ่นและเข้านอนแค่หัวค่ำ พรุ่งนี้อาการก็จะดีขึ้นเอง" เขาบอกกับนักศึกษาหนุ่ม "อ้อ..ผมยังเจ็บที่ตรงนี้ด้วยครับอาจารย์" นักศึกษาหนุ่มจับจ้องไปยังดวงตาสีมรกต พลางใช้มือกุมไปที่หัวใจ ยังไม่ทันที่เหอไป๋เหยียนจะทำการตรวจ ก็มีเสียงโวยวายดังขึ้นที่หน้าห้อง นักกีฬาบาสเกตบอลที่แข่งขันอยู่ในโรงยิมเกิดอุบัติเหตุหกล้มศีรษะกระแทกกับเสาจนแตก เพื่อน ๆ จึงพากันหิ้วร่างใส่เปลสนามมาส่ง "อาจารย์ครับ เพื่อนผมหัวแตก อาจารย์ทำแผลให้เขาทีครับ" "รีบพาเขาไปที่เตียงก่อน" ทั้งวันเหอไป๋เหยียนแทบไม่ได้พัก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเป็นตัวเขาเองที่จะแย่ และขณะทำแผลให้นักกีฬาก็เกิดมีเสียงดังขึ้นที่หน้าห้องอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงไล่คนที่อ้างว่าป่วยให้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง ส่วนคนที่ว่าป่วยหนักก็ไล่ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย "ฉันเรียกรถพยาบาลให้แล้ว อาการของนายฉันว่าควรสแกนสมองสักหน่อยเผื่อจะกระทบกระเทือน" เซียวเยว่ผลักประตูห้องเข้ามาและบอกกับนักกีฬาหนุ่มที่นั่งรอให้ทำแผลอยู่บนเตียง "ฉะ..ฉันไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก" นักกีฬาหนุ่มพูดขึ้น ครั้นพอถูกจ้องด้วยดวงตาสีทองคู่สวย ก็เกิดขนลุกชันอย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ดีแน่จึงให้เพื่อนรีบพาตัวออกจากห้องพยาบาลโดยเร็ว "ไป๋เหยียน นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!" เจ้าลูกหมาป่าพูดขึ้น เขาตื่นเต้นมากจนเก็บอาการไม่อยู่ทำให้พวงหางสีดำโผล่ออกมาและโบกสะบัดไปมาด้วยความดีใจ "รีบเก็บหางของนายก่อนเถอะ ถ้ามนุษย์มาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องเอา" เหอไป๋เหยียนว่าพลางถอนหายใจ เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าไม่รู้จะดีใจอะไรนักหนา "นายใจร้ายมากนะ ถ้าซิงซิงไม่บอก ฉันไม่รู้เลยว่านายมาทำงานอยู่ที่นี่" เจ้าลูกหมาป่าเข้าไปคลอเคลียเหอไป๋เหยียนและดันร่างอรชรให้ล้มลงไปที่เตียง เหอไป๋เหยียนเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องทำเรื่องไม่ดีแน่ ๆ จึงต่อว่าไป แต่เจ้าลูกหมาป่ากลับบอกให้เขานอนพักผ่อนเพราะเหนื่อยกับการตรวจนักศึกษามาค่อนวันแล้ว "ละ..แล้วนายจะตามขึ้นมานอนด้วยทำไม ลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!" มือขาวซีดดันหน้าอกลูกหมาป่าที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ให้ออกห่างจึงถูกรวบร่างอรชรมากอดเอาไว้แนบแน่น เมื่อหมดทางหนีเหอไป๋เหยียนจำต้องยอมตามใจและบอกให้อีกฝ่ายเก็บพวงหางที่โผล่ออกมาให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก "เก็บหางเหรอ? ฉันก็เก็บไปแล้วนี่นา" เซียวเยว่ว่าพลางใช้มือคลำไปที่ก้นของตน แต่พวงหางที่เหอไป๋เหยียนพูดถึงนั้นไม่ได้หมายความถึงพวงหางที่อยู่ด้านหลังแต่เป็นพวงที่อยู่ด้านหน้าต่างหาก "ฉันหมายถึงหางด้านหน้าของนายต่างหาก มันทิ่มโดนท้องฉันแล้ว ไม่รู้ตัวหรือไง!" อสรพิษหนุ่มอยากจะกลายร่างกลับไปเป็นงูและเลื้อยหายไปเสียตอนนี้จริง ๆ เดิมทีงูเป็นสัตว์ที่ใช้แทนความหมายในเรื่องของกามอารมณ์อยู่แล้ว เหอไป๋เหยียนซึ่งห่างจากกิจกรรมทางเพศมาถึงห้าปี พอมีสิ่งเร้ามากระทบร่างกายจึงเกิดการตอบสนองขึ้นอย่างง่ายดาย แม้ที่ผ่านมาจะมีหม่าอี้ที่อ้างตัวเป็นคู่หมั้นอยู่ข้างกาย แต่เหอไป๋เหยียนก็ไม่เคยเกิดอารมณ์พิศวาสต่ออาชาหนุ่มสักนิด "ตกใจอะไร เมื่อก่อนพวกเราก็นอนกอดกันแบบนี้อยู่บ่อย ๆ นายจำไม่ได้แบบนี้ ฉันเสียใจนะ" หมาป่าหนุ่มเจ้าเล่ห์แสร้งทำเสียงสะอื้นพลางขยับกายเพื่อให้พวงหางด้านหน้าแนบไปกับร่างอรชร ทำเอาเหอไป๋เหยียนอับอายกว่าเก่า และสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความหน้าด้านของอีกฝ่าย "ฉันจะบอกพ่อของนาย ว่านายรบกวนการทำงานของฉัน คอยดูสิ!" บรรยากาศรอบบึงน้ำหลังมหาวิทยาลัยยังคงอึมครึมและน่ากลัวแม้จะเป็นในเวลากลางวัน หลังข่าวการฆาตกรรมวัยรุ่นที่แอบเข้ามาเสพยาหลุดรอดออกไปได้มีนักศึกษาบางกลุ่มลักลอบเข้ามาบริเวณบึงน้ำเพื่อหาร่องรอยของฆาตกร คนที่ถูกกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้จะถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาจับตัวออกไปและสั่งห้ามไม่ให้กลับมาอีก วังหมิงหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น และเขาก็ไม่ลดละความพยายามที่จะค้นหาตัวฆาตกรให้พบ หลังถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปล่อยตัววังหมิงหยวนได้กลับมาที่บึงน้ำอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาเรียวสอดส่องไปรอบบริเวณเพื่อสำรวจกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตามกำแพง จากนั้นได้หยิบเอาอุปกรณ์บางอย่างออกมา เขาตั้งใจใช้สิ่งนี้ปล่อยคลื่นสัญญาณไปรบกวนการทำงานของกล้องวงจรปิด จากนั้นค่อยหาทางเข้าไปที่บึงน้ำ เมื่อกล้องวงจรปิดถูกคลื่นสัญญาณรบกวนจึงไม่สามารถจับภาพบริเวณบึงน้ำได้ วังหมิงหยวนจึงฉวยโอกาสนี้ลอบเข้าไปยังจุดที่คาดว่าเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น สิ่งของทุกอย่างยังคงวางอยู่ ณ จุดเดิมไม่ว่าจะเป็นกระป๋องเบียร์หรือเถ้าบุหรี่เพื่อรอการตรวจสอบ เขาจึงใช้กล้องจากมือถือถ่ายรูปจุดเกิดเหตุเอาไว้ วังหมิงหยวนเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบ จากนั้นจึงไปยังริมบึงน้ำ นั่งยองลงข้างกองเลือดที่เริ่มแห้งและมองร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด ต้นหญ้าบริเวณบึงน้ำแหวกเป็นสองฝั่งเป็นทางยาวประมาณหนึ่ง อุปมานได้ว่าคงมีใครคนหนึ่งกระเด็นและไถลมาทางนี้ ในขณะที่วังหมิงหยวนหันหลังให้กับบึงน้ำ ผิวน้ำที่นิ่งสนิทได้ปรากฏดวงตาสีแดงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ มันจับจ้องมาทางเขาพร้อมเคลื่อนร่างกายอันใหญ่โตอย่างเชื่องช้าโดยที่ผิวน้ำไม่กระเพื่อม ทำให้วังหมิงหยวนไม่รู้สึกตัวว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ "อย่าแตะต้องมัน!" เสียงทุ้มห้ามขึ้นเมื่อวังหมิงหยวนกำลังจะหยิบบางสิ่งที่ตกอยู่ริมบึงน้ำขึ้นมา "เสี่ยวเยว่ ไหนนายบอกไม่สนใจเรื่องนี้ไง แล้วนายมาที่นี่ได้ยังไงกัน" วังหมิงหยวนทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ ตอนเขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเซียวเยว่ไม่ได้มีท่าทีสนใจสักนิด ครั้นพอชวนให้มาด้วยกันก็ปฏิเสธ และนี่แอบตามเขามาตั้งแต่ตอนไหนกัน ถูกถามไปตั้งมากมายแต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งทำให้วังหมิงหยวนทำหน้าครุ่นคิด ไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่เซียวเยว่ "นายคือ..เซียวอวี่ใช่มั้ย" พี่น้องตระกูลเซียวนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องรูปงามแล้ว ทั้งคู่ยังเป็นฝาแฝดที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก ต่างกันตรงเซียวอวี่แฝดผู้พี่จะมีบุคลิกเงียบขรึมพูดน้อย ในขณะที่เซียวเยว่จะเป็นมิตรกับคนรอบข้างมากกว่า "นายก็สนใจคดีฆาตกรรมนี้ใช่มั้ย ยังไงเรามาร่วมมือ.." "ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเข้าใกล้บึงน้ำอีก และอีกอย่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังมา นายรีบไปจากบริเวณนี้ซะ" วังหมิงหยวนพูดยังไม่จบก็ถูกเซียวอวี่แทรกขึ้นเสียก่อน เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เซียวอวี่พูด แค่เข้าใกล้บึงน้ำจะทำให้ตายได้อย่างไรหากไม่ได้ตกลงไป ครั้นเมื่อดูเวลาก็เห็นว่ากล้องวงจรปิดน่าจะกลับมาใช้งานได้ปกติแล้ว หากไม่รีบออกไปตอนนี้คงไม่ดีแน่ "แล้วนายไม่ไปเหรอ?" วังหมิงหยวนถามขึ้นเมื่อเห็นเซียวอวี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ริมบึงน้ำ พอเมื่อถามแล้วไม่ได้รับคำตอบวังหมิงหยวนจึงส่ายศีรษะก่อนเดินออกไปคนเดียว หลังวังหมิงหยวนไปแล้ว ดวงตาสีแดงเหนือน้ำได้เบนเป้าหมายมายังเซียวอวี่แทน มันขยับเคลื่อนร่างกายอันใหญ่โตมาทางริมบึงอย่างเงียบเชียบโดยไม่รู้ว่าประสาทหูของลูกหมาป่ากลายพันธุ์นั้นดีเยี่ยมเพียงใด เซียวอวี่หมุนตัวกลับหลัง ดวงตาสีทองแปรเปลี่ยนเป็นประกายเพลิงประสานเข้ากับดวงตาสีแดงก่ำอย่างจัง สิ่งที่อยู่ในบึงน้ำรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้ามีความแข็งแกร่งมากกว่า ไม่คุ้มที่จะแลก มันจึงว่ายน้ำถอยห่างก่อนดำลงสู่ใต้บึงน้ำอย่างรวดเร็ว เซียวอวี่ไม่ได้ตามมันไป เพราะถึงเวลาที่เขาต้องกลับแล้ว ร่างสูงเดินไปยังจุดที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพได้และอาศัยต้นไม้ใหญ่พรางตัวหลบออกไป คล้อยหลังเซียวอวี่ไปได้ไม่เท่าไรเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยเฉินไห่ก็มาถึงบริเวณบึงน้ำ พวกเขาเห็นภาพผู้บุกรุกผ่านกล้องวงจรปิด แต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบใครอยู่บริเวณนั้นสักคน แม้ทางมหาวิทยาลัยจะห้ามไม่ให้เข้ามาบริเวณบึงน้ำ แต่ก็ไม่สามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็นของนักศึกษาบางกลุ่มได้ และตอนกลางคืน นับเป็นเวลาที่เหมาะสมหากพวกเขาจะเข้าไปค้นหาความจริง ช่วงเวลาหลังสี่ทุ่มได้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งลักลอบเข้ามายังบริเวณบึงน้ำโดยใช้วิธีการคล้ายกับวังหมิงหยวนคือใช้คลื่นสัญญาณรบกวนกล้องวงจรปิด ถึงจะถ่วงเวลาเจ้าหน้าที่ไว้ได้แต่พวกเขาก็ไม่ได้โชคดีเหมือนวังหมิงหยวน ในขณะที่ทุกคนกำลังสำรวจรอบบึงน้ำ ดวงตาสีแดงก่ำที่ลอยคอรอคอยผู้มาเยือนก็คืบคลานขึ้นมาบนพื้นดิน มันไม่ปล่อยให้ใครได้วิ่งหนี หางที่แข็งแรงและมีลักษณะคล้ายหินฟาดเข้าใส่กลุ่มนักศึกษาจนพวกเขาล้มระเนระนาด จากนั้นมันจึงเข้าไปขย้ำเหยื่อที่อ่อนแอกว่าและฉีกร่างกลืนกินลงท้องไปทีละคน คืนนี้ช่างเงียบสงบเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะหลังสิ้นเสียงร้องโหยหวนของนักศึกษาผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น หลังกลืนกินเหยื่ออันโอชะลงท้องไปแล้ว ร่างกายอันแสนใหญ่โตของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนั้นก็นอนนิ่งอาบแสงจันทร์อยู่บนพื้นดิน จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก สัตว์ร้ายตัวนั้นก็ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ที่มีสองเท้ายืนขึ้นเต็มความสูง มันแสยะยิ้มเหี้ยมและใช้หลังมือปาดคราบเลือดที่มุมปากออก "ดูท่าแกจะยังไม่ลืมสันดานเดิมสินะ" ชายหนุ่มรูปร่างกำยำท่อนบนเปลือยเปล่ามองหาที่มาของเสียงไปรอบตัว ก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงนั้นยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงเหนือศีรษะของมัน "แกเป็นใคร แล้วมายุ่งอะไรกับข้าด้วย!" สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่กินเนื้อเป็นอาหารถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ มันเป็นสัตว์กลายพันธุ์ตัวหนึ่งที่ถูกนำออกมาจากเกาะตอนที่ปิศาจหมาป่าอาละวาด แม้จะวิวัฒนาการจนสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งสัญชาตญาณเดิม ดวงตาสีอำพันเหยียดมองจระเข้หนุ่มชั่วครู่ก่อนจะบอกจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้กับมัน พอได้ฟังจระเข้หนุ่มก็แสยะยิ้มร้ายขึ้นอีกครั้งและตอบตกลงในทันที "หวังว่าแกจะทำสำเร็จนะ" พูดจบร่างนั้นก็หายวับไปจากกิ่งไม้ราวกับหายตัวได้ จระเข้หนุ่มกลายพันธุ์แม้จะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่มันสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่และยังไม่ทิ้งสันดานเดิม สิ่งที่ชายปริศนาคนนั้นต้องการให้มันทำคือการจับตัวมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษในด้านต่าง ๆ มาให้ ซึ่งที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนข้อแลกเปลี่ยนก็คือแหล่งอาหารที่มันต้องการ ชายหนุ่มในร่างมนุษย์เดินชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืนจนพอใจ จากนั้นจึงได้กลับสู่ร่างเดิมและค่อย ๆ คืบคลานกลับลงสู่บึงน้ำ รุ่งเช้าแทนที่จะมีข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาทุกอย่างกลับเงียบสนิทราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงข่าวของนักศึกษาใหม่สองคนที่ย้ายมาระหว่างภาคเรียนเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์นักศึกษาและคนภายนอกมาเสียชีวิตที่บึงน้ำยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนก็มีคนเสียชีวิตไปแล้วนับยี่สิบคน และเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือการหายตัวไปอย่างลึกลับของนักศึกษาที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน ทั้งหมดไม่เป็นข่าวใหญ่โตแพร่ออกไปเพราะอิทธิพลของสกุลหลิวที่กุมอำนาจสื่อของเมืองเฉิงเซินไว้ทั้งหมดนั่นเอง|PART 4|กัวเจ๋อข่าวว่ามีคนเสียชีวิตและหายสาบสูญไปบริเวณบึงน้ำแม้จะปิดไม่ให้คนภายนอกได้รับรู้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางจับตัวคนร้ายให้ได้ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างยังคงมืดแปดด้านบนโต๊ะประชุมของผู้บริหารระดับสูง เหล่าตัวแทนของห้าสกุลต่างจับจ้องไปยังภาพฉายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด พวกเขาไม่เข้าใจว่าบึงน้ำที่เงียบสงบและไร้ความเคลื่อนไหวมานาน จู่ ๆ ทำไมถึงมีคนมาเสียชีวิตบริเวณนี้ได้ ซ้ำยังหาศพไม่พบอีกต่างหากจากปากคำของผู้รอดชีวิตได้เล่าให้ฟังว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อยู่ในบึงน้ำ และมันได้กัดกินร่างเพื่อนของเขาจนเลือดสาดกระเซ็นก่อนจะกลืนลงท้องไปเหล่าแพทย์ได้ฟังดังนั้นจึงได้จับเขาตรวจสมองอีกครั้งหนึ่งและสรุปผลออกมาว่าชายวัยรุ่นคนนี้เสพยาเกินขนาดและดื่มแอลอกฮอล์มากไปจนเกิดอาการประสาทหลอน จึงได้รับชายวัยรุ่นไว้รักษาตัวที่โรงพยายาลในเครือของมหาวิทยาลัยเฉินไห่หลังเหตุการณ์นั้น ทางมหาวิทยาลัยได้มีการคุมเข้มบริเวณบึงน้ำมากขึ้น ทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและเพิ่มประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด แต่ก็ยังมีคนไปเสียชีวิตบริเวณนั้นอย่
|PART 5|สิ่งที่อยู่ในใจของหม่าอี้เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับจระเข้กลายพันธุ์จำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งเซียวอวี่และเซียวเยว่ได้หันมาสบตากันครั้งหนึ่งก่อนพุ่งตัวแยกออกไปเพื่อจัดการกับจระเข้ดุร้ายในร่างกึ่งมนุษย์ โดยเน้นไปยังดวงตาและจมูกซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของพวกมันโดยธรรมชาติพวกเขาต้องไม่ปล่อยให้จระเข้กลายพันธุ์เหล่านี้รอดชีวิตไปได้แม้แต่ตัวเดียวเพราะพวกมันอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เซียวอวี่และเซียวเยว่จัดการฆ่าจระเข้กลายพันธุ์ได้ทั้งหมด รอบบึงน้ำในตอนนี้จึงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและศพของจระเข้กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด"ยอมแพ้ซะเถอะ ยังไงแกสู้พวกฉันไม่ได้หรอก" เซียวเยว่บอกกับกัวเจ๋อ เซียวอวี่และเซี่ยวเยว่ไม่มีความคิดที่จะฆ่ากัวเจ๋อ แต่กัวเจ๋อนั้นโหดร้ายเกินจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ที่เหว่ยหลางแม้จะมีสัตว์กินเนื้อกลายพันธุ์อาศัยอยู่ไม่น้อย แต่พวกเขาเหล่านั้นสามารถยับยั้งสัญชาตญาณดิบได้ และปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสงบสุข"คิดจะฆ่าฉันมันไม่ง่ายนักหรอก"กัวเจ๋อกลายร่างเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่และมีผิวหนังที่แข็งแกร่งขนาดที่อาวุธทันสมัยยังไม่สามารถเจาะผ่านร่างของเขาได
|PART 6|เรือนปิงเจี๋ยร่างของเหอไป๋เหยียนบิดส่ายไปมาอย่างเร่าร้อนอยู่ภายใต้กายแกร่งของอาชาหนุ่มผิวสีเข้ม เลือดภายในกายสูบฉีดจนทำให้ผิวขาวราวหิมะแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ เหอไป๋เหยียนยามนี้ไม่อาจต่อต้านแรงอารมณ์ที่มีต่ออาชาหนุ่มได้ ยอมที่จะให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาภายในช่องทางแห่งบุรุษเพศด้วยความเต็มใจ เพราะถึงอย่างไรสัตว์เลือดเย็นสองเพศเช่นเขาก็สามารถตอบสนองได้ทุกเพศอยู่แล้วหม่าอี้จดจ่อลำท่อนสืบพันธุ์ที่มีขนาดไม่ต่างจากตอนอยู่ในร่างเดิมเข้าที่ช่องทางสำหรับร่วมรัก เพียงออกแรงนิดหน่อยส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่โตก็แทบจะผลุบเข้าไปด้านในโดยทันที ราวกับว่าถูกช่องทางนั้นดูดกลืนเข้าไปเสียเอง หม่าอี้ตั้งใจจะยัดเยียดสิ่งที่แข็งแกร่งและร้อนแรงที่สุดเข้าไปในร่างของเหอไป๋เหยียนเพื่อหลอมรวมสองร่างให้เป็นหนึ่งเดียว อีกไม่ช้าเหอไป๋เหยียนก็จะกลายเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์สักที"อ๊ะ!!""ไป๋เหยียน คุณเป็นอะไรไป!!"ยังไม่ทันที่หม่าอี้จะกดดันลำท่อนร้อนเข้าสู่ภายในได้สำเร็จเหอไปเหยียนก็เกิดอาการชักเกร็งขึ้นมาเสียก่อน ตามร่างกายปรากฎเกล็ดสีเงินคล้ายอัญมณีขึ้น หม่าอี้สัมผัสร่างอรชรและถูกถีบกระเด็นออกมา เขาตกใจมากแต่
|PART 7|อาการของหลิวอิงใจกลางเมืองเฉินเซินนั้นเป็นย่านธุรกิจขนาดใหญ่ ตึกสูงจำนวนไม่น้อยปลูกสร้างอยู่ที่นี่ แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นธุรกิจของสกุลหลิวที่ครอบครองพื้นที่ย่านนี้ไปถึงครึ่งหนึ่งที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการค้าแล้วยังเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงและแหล่งอบายมุขขนาดใหญ่ที่ผู้คนมากมายทั้งในและต่างเมืองต่างพากันเข้ามาเพื่อแสวงหาความร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งมีเพียงธุรกิจสีเทาและธุรกิจมืดเหล่านี้เท่านั้นที่สกุลหลิวเป็นรองสี่ตระกูลใหญ่แม้จะทำงานกับสกุลหลิวมาหลายปีแต่จางหลิวซิงก็ยังไม่ชินกับสายตาของคนที่นี่สักที หลังทุกคนรับรู้ถึงฐานะและความสัมพันธ์ของเขากับหลิวอิงทายาทคนปัจจุบันแล้ว เขาก็ยังตกเป็นที่พูดถึงของคนที่นี่ไม่เลิกในวันทำงาน ขณะที่จางหลิวซิงมารอรับตัวแทนของเหว่ยหลางกรุ๊ปอยู่ด้านล่างยังคงมีเสียงซุบซิบดังมาเข้าหูให้ได้ยินว่าเขาไม่ใช่ลูกเลี้ยงของเจ้าบ้านสกุลหลิวแต่เป็นนายบำเรอที่มีลูกติดถึงสองคนของหลิวอิง เช่นนั้นจางหลิวซิงก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยให้พวกเขาพูดกันไปย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนได้มีพนักงานคนหนึ่งพูดถึงเขาในลักษณะเช่นนี้และรู้ถึงหูของหลิวอิงเข้า หลิวอิงโกรธมาก
|PART 8|เทศกาลโคมลอยแห่งเฉินเซิน"คุณอาหนิงหลงมาทำอะไรที่นี่หรือครับ?"เซียวอวี่ถามขึ้นเมื่อเห็นหวงหนิงหลงเดินสวนออกมาจากในลิฟต์เพราะมัวแต่เหม่อทำให้หวงหนิงหลงเผลอใช้ลิฟต์ทั่วไปแทนที่จะใช้ลิฟต์แยกเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับคนรู้จักที่นี่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บสีหน้าให้เป็นปกติได้ และอีกฝ่ายยังเป็นเซียวอวี่เขาจึงไม่มีอะไรให้กังวล"อามาทำธุระนิดหน่อย แล้วเธอล่ะ""คุณพ่อให้ผมมาดูงานแทนครับ บอกว่าคุณอาหลิวอิงมีแผนจะร่วมลงทุนวิจัยกับที่นี่"เซียวอวี่บอกกับหวงหนิงหลง พวกเขาคุยกันได้ไม่เท่าไรก็มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยออกมาต้อนรับเซียวอวี่ เห็นดังนั้นหวงหนิงหลงจึงขอตัวกลับ เพราะถึงอย่างไรการร่วมทุนครั้งนี้หลิวอิงและเซียวหลางยังต้องปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง"สวัสดีครับคุณเซียว เชิญทางนี้เลยครับ"เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์วิจัยได้พาเซียวอวี่ไปพบกับผู้ที่มีหน้าที่ดูแลศูนย์วิจัยทั้งหมดของเฉินเซินเพื่อแนะนำให้เขารู้จัก ทันทีที่พบหน้าคนที่รออยู่ในห้องหัวใจของเซียวอวี่ก็เต้นแรงขึ้น"คุณเซียวครับผมขอแนะนำ นี่คุณฉินเทียนกับคุณฉินหลิงที่จะมาทำงานร่วมกับคุณเซียวครับ"เซียวอวี่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าที
|PART 9|ผลกระทบจากฟีโรโมนกอริลลาตัวเมียกลายพันธุ์ในร่างของหญิงสาวหุ่นนักกีฬาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะของเหอไป๋เหยียน ในมือของมันถือหินก้อนใหญ่เอาไว้เพื่อรอให้เหอไป๋เหยียนมาอยู่ในจุดที่มันตั้งใจไว้ จากนั้นจึงโยนก้อนหินลงไป เหอไป๋เหยียนไม่ทันได้ระวังตัว พอแหงนหน้าขึ้นไปมองก็เห็นหินก้อนใหญ่กำลังหล่นลงมาด้วยความเร็ว คราแรกคิดว่าคงหลบไม่พ้น จู่ ๆ หินก้อนนั้นก็เปลี่ยนทิศทางไปอีกฝั่งโดยปลายเท้าของผู้ที่ติดตามมา"เป็นยังไงบ้าง นายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า" เซียวเยว่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง"จะเป็นอะไรล่ะ ถ้านายมาช้ากว่านี้อีกนิด ฉันคงได้ไปนอนคุยกับไส้เดือนกลายพันธุ์ที่อยู่ใต้ดินแล้ว"เพราะกลิ่นฟีโรโมนของเหอไป๋เหยียนทำให้เซียวเยว่ตามหาตัวได้ไม่ยาก พอคิดแบบนี้ จึงรู้ว่าเครื่องติดตามที่สวมอยู่บนคอของเหอไป๋เหยียนกแทบไม่มีประโยชน์อะไร"ขอโทษที พอดีทางนั้นมีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย ตอนนี้อวี่หลางกำลังจัดการอยู่"บริเวณที่ใช้จัดงานโคมลอยมีเซียวอวี่จัดการเคลียร์พื้นที่ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง ส่วนเซียวเยว่แยกตัวมาตามเหอไป๋เหยียนโดยอาศัยกลิ่นฟีโรโมนที่ฟุ้งกระจายอยู่ภายในป่า เมื่อมาถึงก็พบลิงกอริลลา
|PART 10|ตั้งครรภ์เรือนปิงเจี๋ยหลังหม่าอี้กลับไปแล้วเซียวเยว่ได้โทรตามเซียวหลางให้มายังเรือนปิงเจี๋ยเป็นการด่วน เพราะจู่ ๆ เหอไป๋เหยียนเกิดมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ถึงขนาดลงไปดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานก่อนจะหมดสติไป"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้างูบ้ากัน!!"เซียวหลางมาถึงพร้อมกับจางหลิวซิงถามขึ้น พลางเข้าไปดูเหอไป๋เหยียนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดเซียวเยว่เล่าให้ฟังว่าขณะกำลังต่อสู้กับหม่าอี้ เหอไป๋เหยียนได้เข้ามาขวางจึงถูกหม่าอี้ดีดกระเด็น ทำให้ศีรษะและแผ่นหลังกระแทกเข้ากับกับเสาเรือนอย่างแรง แม้หัวไม่แตกแต่ก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่"ชีพจรของเขาสับสนมากเลย"เซียวหลางพอมีความรู้เรื่องการแพทย์เพราะได้รับพลาสม่าจากอู๋เจี๋ย อาชญากรอัจฉริยะที่เป็นถึงหมออันดับหนึ่งของเมืองเฉินเซิน เขาระบุไม่ได้ว่าอาการของเหอไป๋เหยียนเกิดจากอะไร บอกแต่เพียงว่าร่างกายของเหอไป๋เหยียนมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้ฟังที่เซียวหลางพูด โดยเฉพาะเซียวเยว่ เขากังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีของเหอไป๋เหยียนเมื่อครั้งตกจากเครื่องบินอพยพ แม้ร่างกายจะฟื้นฟูจนดีขึ้นแ
|PART 1| บทนำ ศูนย์วิจัยทางชีววิทยาขนาดใหญ่ได้ถูกลักลอบสร้างขึ้นบนเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ และถูกค้นพบโดยองค์กรลับแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้มีสภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนทำให้ยากต่อการค้นหา พวกเขาจึงใช้สถานที่แห่งนี้ทำการทดลองถอดรหัสและปลูกถ่ายพันธุกรรมของมนุษย์ที่มีระดับมันสมองและความสามารถที่แตกต่างกันให้กับสัตว์หลากหลายสายพันธุ์จากทั่วโลกที่ลักลอบจับมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่สัตว์เท่านั้นที่ถูกจับมาทดลอง แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองก็ไม่ยกเว้น โดยเฉพาะมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษ วัตถุประสงค์ของการทดลองก็เพื่อใช้สำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ การทดลองได้ดำเนินมาหลายปี จนในวันที่สัตว์กลายพันธุ์ระดับพิเศษตัวหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมมันได้ลืมตาตื่นขึ้นและหลุดจากการคุมขัง สิ่งแรกที่มันทำคือการฆ่าล้างทุกชีวิตที่อยู่บนเกาะนั้น ไม่เว้นแม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ด้วยกันเอง เพื่อเอาชีวิตรอดพวกเขาจึงได้พากันอพยพออกจากเกาะโดยเครื่องบินลำเลียงที่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้าเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ขึ้น อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะออกจากเกาะไปแล้
|PART 10|ตั้งครรภ์เรือนปิงเจี๋ยหลังหม่าอี้กลับไปแล้วเซียวเยว่ได้โทรตามเซียวหลางให้มายังเรือนปิงเจี๋ยเป็นการด่วน เพราะจู่ ๆ เหอไป๋เหยียนเกิดมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ถึงขนาดลงไปดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานก่อนจะหมดสติไป"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้างูบ้ากัน!!"เซียวหลางมาถึงพร้อมกับจางหลิวซิงถามขึ้น พลางเข้าไปดูเหอไป๋เหยียนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดเซียวเยว่เล่าให้ฟังว่าขณะกำลังต่อสู้กับหม่าอี้ เหอไป๋เหยียนได้เข้ามาขวางจึงถูกหม่าอี้ดีดกระเด็น ทำให้ศีรษะและแผ่นหลังกระแทกเข้ากับกับเสาเรือนอย่างแรง แม้หัวไม่แตกแต่ก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่"ชีพจรของเขาสับสนมากเลย"เซียวหลางพอมีความรู้เรื่องการแพทย์เพราะได้รับพลาสม่าจากอู๋เจี๋ย อาชญากรอัจฉริยะที่เป็นถึงหมออันดับหนึ่งของเมืองเฉินเซิน เขาระบุไม่ได้ว่าอาการของเหอไป๋เหยียนเกิดจากอะไร บอกแต่เพียงว่าร่างกายของเหอไป๋เหยียนมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้ฟังที่เซียวหลางพูด โดยเฉพาะเซียวเยว่ เขากังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีของเหอไป๋เหยียนเมื่อครั้งตกจากเครื่องบินอพยพ แม้ร่างกายจะฟื้นฟูจนดีขึ้นแ
|PART 9|ผลกระทบจากฟีโรโมนกอริลลาตัวเมียกลายพันธุ์ในร่างของหญิงสาวหุ่นนักกีฬาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะของเหอไป๋เหยียน ในมือของมันถือหินก้อนใหญ่เอาไว้เพื่อรอให้เหอไป๋เหยียนมาอยู่ในจุดที่มันตั้งใจไว้ จากนั้นจึงโยนก้อนหินลงไป เหอไป๋เหยียนไม่ทันได้ระวังตัว พอแหงนหน้าขึ้นไปมองก็เห็นหินก้อนใหญ่กำลังหล่นลงมาด้วยความเร็ว คราแรกคิดว่าคงหลบไม่พ้น จู่ ๆ หินก้อนนั้นก็เปลี่ยนทิศทางไปอีกฝั่งโดยปลายเท้าของผู้ที่ติดตามมา"เป็นยังไงบ้าง นายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า" เซียวเยว่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง"จะเป็นอะไรล่ะ ถ้านายมาช้ากว่านี้อีกนิด ฉันคงได้ไปนอนคุยกับไส้เดือนกลายพันธุ์ที่อยู่ใต้ดินแล้ว"เพราะกลิ่นฟีโรโมนของเหอไป๋เหยียนทำให้เซียวเยว่ตามหาตัวได้ไม่ยาก พอคิดแบบนี้ จึงรู้ว่าเครื่องติดตามที่สวมอยู่บนคอของเหอไป๋เหยียนกแทบไม่มีประโยชน์อะไร"ขอโทษที พอดีทางนั้นมีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย ตอนนี้อวี่หลางกำลังจัดการอยู่"บริเวณที่ใช้จัดงานโคมลอยมีเซียวอวี่จัดการเคลียร์พื้นที่ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง ส่วนเซียวเยว่แยกตัวมาตามเหอไป๋เหยียนโดยอาศัยกลิ่นฟีโรโมนที่ฟุ้งกระจายอยู่ภายในป่า เมื่อมาถึงก็พบลิงกอริลลา
|PART 8|เทศกาลโคมลอยแห่งเฉินเซิน"คุณอาหนิงหลงมาทำอะไรที่นี่หรือครับ?"เซียวอวี่ถามขึ้นเมื่อเห็นหวงหนิงหลงเดินสวนออกมาจากในลิฟต์เพราะมัวแต่เหม่อทำให้หวงหนิงหลงเผลอใช้ลิฟต์ทั่วไปแทนที่จะใช้ลิฟต์แยกเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับคนรู้จักที่นี่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บสีหน้าให้เป็นปกติได้ และอีกฝ่ายยังเป็นเซียวอวี่เขาจึงไม่มีอะไรให้กังวล"อามาทำธุระนิดหน่อย แล้วเธอล่ะ""คุณพ่อให้ผมมาดูงานแทนครับ บอกว่าคุณอาหลิวอิงมีแผนจะร่วมลงทุนวิจัยกับที่นี่"เซียวอวี่บอกกับหวงหนิงหลง พวกเขาคุยกันได้ไม่เท่าไรก็มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยออกมาต้อนรับเซียวอวี่ เห็นดังนั้นหวงหนิงหลงจึงขอตัวกลับ เพราะถึงอย่างไรการร่วมทุนครั้งนี้หลิวอิงและเซียวหลางยังต้องปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง"สวัสดีครับคุณเซียว เชิญทางนี้เลยครับ"เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์วิจัยได้พาเซียวอวี่ไปพบกับผู้ที่มีหน้าที่ดูแลศูนย์วิจัยทั้งหมดของเฉินเซินเพื่อแนะนำให้เขารู้จัก ทันทีที่พบหน้าคนที่รออยู่ในห้องหัวใจของเซียวอวี่ก็เต้นแรงขึ้น"คุณเซียวครับผมขอแนะนำ นี่คุณฉินเทียนกับคุณฉินหลิงที่จะมาทำงานร่วมกับคุณเซียวครับ"เซียวอวี่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าที
|PART 7|อาการของหลิวอิงใจกลางเมืองเฉินเซินนั้นเป็นย่านธุรกิจขนาดใหญ่ ตึกสูงจำนวนไม่น้อยปลูกสร้างอยู่ที่นี่ แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นธุรกิจของสกุลหลิวที่ครอบครองพื้นที่ย่านนี้ไปถึงครึ่งหนึ่งที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการค้าแล้วยังเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงและแหล่งอบายมุขขนาดใหญ่ที่ผู้คนมากมายทั้งในและต่างเมืองต่างพากันเข้ามาเพื่อแสวงหาความร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งมีเพียงธุรกิจสีเทาและธุรกิจมืดเหล่านี้เท่านั้นที่สกุลหลิวเป็นรองสี่ตระกูลใหญ่แม้จะทำงานกับสกุลหลิวมาหลายปีแต่จางหลิวซิงก็ยังไม่ชินกับสายตาของคนที่นี่สักที หลังทุกคนรับรู้ถึงฐานะและความสัมพันธ์ของเขากับหลิวอิงทายาทคนปัจจุบันแล้ว เขาก็ยังตกเป็นที่พูดถึงของคนที่นี่ไม่เลิกในวันทำงาน ขณะที่จางหลิวซิงมารอรับตัวแทนของเหว่ยหลางกรุ๊ปอยู่ด้านล่างยังคงมีเสียงซุบซิบดังมาเข้าหูให้ได้ยินว่าเขาไม่ใช่ลูกเลี้ยงของเจ้าบ้านสกุลหลิวแต่เป็นนายบำเรอที่มีลูกติดถึงสองคนของหลิวอิง เช่นนั้นจางหลิวซิงก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยให้พวกเขาพูดกันไปย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนได้มีพนักงานคนหนึ่งพูดถึงเขาในลักษณะเช่นนี้และรู้ถึงหูของหลิวอิงเข้า หลิวอิงโกรธมาก
|PART 6|เรือนปิงเจี๋ยร่างของเหอไป๋เหยียนบิดส่ายไปมาอย่างเร่าร้อนอยู่ภายใต้กายแกร่งของอาชาหนุ่มผิวสีเข้ม เลือดภายในกายสูบฉีดจนทำให้ผิวขาวราวหิมะแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ เหอไป๋เหยียนยามนี้ไม่อาจต่อต้านแรงอารมณ์ที่มีต่ออาชาหนุ่มได้ ยอมที่จะให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาภายในช่องทางแห่งบุรุษเพศด้วยความเต็มใจ เพราะถึงอย่างไรสัตว์เลือดเย็นสองเพศเช่นเขาก็สามารถตอบสนองได้ทุกเพศอยู่แล้วหม่าอี้จดจ่อลำท่อนสืบพันธุ์ที่มีขนาดไม่ต่างจากตอนอยู่ในร่างเดิมเข้าที่ช่องทางสำหรับร่วมรัก เพียงออกแรงนิดหน่อยส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่โตก็แทบจะผลุบเข้าไปด้านในโดยทันที ราวกับว่าถูกช่องทางนั้นดูดกลืนเข้าไปเสียเอง หม่าอี้ตั้งใจจะยัดเยียดสิ่งที่แข็งแกร่งและร้อนแรงที่สุดเข้าไปในร่างของเหอไป๋เหยียนเพื่อหลอมรวมสองร่างให้เป็นหนึ่งเดียว อีกไม่ช้าเหอไป๋เหยียนก็จะกลายเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์สักที"อ๊ะ!!""ไป๋เหยียน คุณเป็นอะไรไป!!"ยังไม่ทันที่หม่าอี้จะกดดันลำท่อนร้อนเข้าสู่ภายในได้สำเร็จเหอไปเหยียนก็เกิดอาการชักเกร็งขึ้นมาเสียก่อน ตามร่างกายปรากฎเกล็ดสีเงินคล้ายอัญมณีขึ้น หม่าอี้สัมผัสร่างอรชรและถูกถีบกระเด็นออกมา เขาตกใจมากแต่
|PART 5|สิ่งที่อยู่ในใจของหม่าอี้เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับจระเข้กลายพันธุ์จำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งเซียวอวี่และเซียวเยว่ได้หันมาสบตากันครั้งหนึ่งก่อนพุ่งตัวแยกออกไปเพื่อจัดการกับจระเข้ดุร้ายในร่างกึ่งมนุษย์ โดยเน้นไปยังดวงตาและจมูกซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของพวกมันโดยธรรมชาติพวกเขาต้องไม่ปล่อยให้จระเข้กลายพันธุ์เหล่านี้รอดชีวิตไปได้แม้แต่ตัวเดียวเพราะพวกมันอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เซียวอวี่และเซียวเยว่จัดการฆ่าจระเข้กลายพันธุ์ได้ทั้งหมด รอบบึงน้ำในตอนนี้จึงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและศพของจระเข้กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด"ยอมแพ้ซะเถอะ ยังไงแกสู้พวกฉันไม่ได้หรอก" เซียวเยว่บอกกับกัวเจ๋อ เซียวอวี่และเซี่ยวเยว่ไม่มีความคิดที่จะฆ่ากัวเจ๋อ แต่กัวเจ๋อนั้นโหดร้ายเกินจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ที่เหว่ยหลางแม้จะมีสัตว์กินเนื้อกลายพันธุ์อาศัยอยู่ไม่น้อย แต่พวกเขาเหล่านั้นสามารถยับยั้งสัญชาตญาณดิบได้ และปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสงบสุข"คิดจะฆ่าฉันมันไม่ง่ายนักหรอก"กัวเจ๋อกลายร่างเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่และมีผิวหนังที่แข็งแกร่งขนาดที่อาวุธทันสมัยยังไม่สามารถเจาะผ่านร่างของเขาได
|PART 4|กัวเจ๋อข่าวว่ามีคนเสียชีวิตและหายสาบสูญไปบริเวณบึงน้ำแม้จะปิดไม่ให้คนภายนอกได้รับรู้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางจับตัวคนร้ายให้ได้ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างยังคงมืดแปดด้านบนโต๊ะประชุมของผู้บริหารระดับสูง เหล่าตัวแทนของห้าสกุลต่างจับจ้องไปยังภาพฉายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด พวกเขาไม่เข้าใจว่าบึงน้ำที่เงียบสงบและไร้ความเคลื่อนไหวมานาน จู่ ๆ ทำไมถึงมีคนมาเสียชีวิตบริเวณนี้ได้ ซ้ำยังหาศพไม่พบอีกต่างหากจากปากคำของผู้รอดชีวิตได้เล่าให้ฟังว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อยู่ในบึงน้ำ และมันได้กัดกินร่างเพื่อนของเขาจนเลือดสาดกระเซ็นก่อนจะกลืนลงท้องไปเหล่าแพทย์ได้ฟังดังนั้นจึงได้จับเขาตรวจสมองอีกครั้งหนึ่งและสรุปผลออกมาว่าชายวัยรุ่นคนนี้เสพยาเกินขนาดและดื่มแอลอกฮอล์มากไปจนเกิดอาการประสาทหลอน จึงได้รับชายวัยรุ่นไว้รักษาตัวที่โรงพยายาลในเครือของมหาวิทยาลัยเฉินไห่หลังเหตุการณ์นั้น ทางมหาวิทยาลัยได้มีการคุมเข้มบริเวณบึงน้ำมากขึ้น ทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและเพิ่มประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด แต่ก็ยังมีคนไปเสียชีวิตบริเวณนั้นอย่
|PART 3|วังหมิงหยวนรถยนต์หรูขับเข้ามาจอดเทียบยังฟุตบาทข้างกำแพงของมหาวิทยาลัยเฉินไห่ ไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นมิใช่มนุษย์และมีร่างเดิมเป็นอาชาหนุ่มขนสีขาวที่แสนสง่างาม ที่เหว่ยหลางเขามีหน้าที่ขับรถรับส่งคนของสกุลเซียว"เย็นนี้ให้ผมมารับไหมครับ" ชายหนุ่มชุดขาวถามขึ้น"ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะไปพบท่านพ่อที่บ้านสกุลหลิว"เซียวเยว่ลูกหมาป่าบอกกับอาชาหนุ่มในร่างมนุษย์ก่อนก้าวลงจากรถ เพียงแค่ปลายเท้าแตะถึงพื้นและยืนเต็มความสูงเท่านั้นก็ดึงดูดสายตาของนักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นมารวมไว้ที่ตนอย่างไม่ตั้งใจ'คนอะไร รูปหล่อราวกับไม่ใช่คนบนโลกนี้ ถ้าได้ใกล้ชิดสักครั้ง ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย'นั่นคือเสียงที่ลอยมาเข้าหูของเซียวเยว่ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีถ้อยคำกล่าวสรรเสริญถึงตัวเขาตามมาอีกมากมาย ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เซียวเยว่รู้สึกว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่ามนุษย์ผู้อื่นสักนิด สัตว์กลายพันธุ์อย่างพวกเขาต้องการเพียงการยอมรับและปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้นภายในมหาวิทยาลัยเฉินไห่เวลานี้ค่อนข้างเงียบสงบเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในห้องเรียนกันแล้ว เซียวเยว่มองนาฬิกาบนข้อมือเห็นว่ายังมีเ
|PART 2|ดวงตาสีแดงในบึงน้ำ'เฉินเซิน' เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงนับพันกิโลเมตร พื้นที่โดยรอบเป็นภูเขาและมีป่าสนหนาทึบโอบล้อมไว้ ถึงอย่างนั้นกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทัดเทียมกับเมืองใหญ่ ดึงดูดบรรดาเหล่านักลงทุนผู้แสวงหาผลประโยชน์ให้มาเยือนยังที่แห่งนี้นอกจากเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูแล้วด้านการศึกษาก็ยังขึ้นชื่อ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเฉินไห่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเฉินเซินมหาวิทยาลัยเฉินไห่เป็นศูนย์รวมอัจฉริยะแขนงต่าง ๆ ของประเทศไว้มากมาย โดยพวกเขาเหล่านั้นล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานกับศูนย์วิจัยด้านชีววิทยาของเมืองเฉินเซินหลังเรียนจบ นอกจากจะได้รับทุนในการทำวิจัยแล้ว ค่าตอบแทนบุคลากรของที่นี่นั้นยังสูงลิ่วเลยทีเดียวลำพังสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเฉินไห่นั้นก็กินพื้นที่กว่าห้าร้อยไร่ บริเวณด้านหลังเป็นป่าสนหนาทึบและมีบึงน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน ซึ่งบึงน้ำแห่งนี้ยังเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหลักของเมืองเฉินเซินอีกด้วยและบริเวณบึงน้ำนั้นอยู่ห่างไกลจากตึกหลักด้านหน้าอย่างมาก ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ โดยรอบยังเป็นป่าทึบซึ่งไม่ปลอดภัยสำหรับนักศึกษา