“ไปค่ะ หนูจะเอาขนมอะไรแม่ให้เลือกได้สองอย่าง” กัทลีจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อปากทางเข้าบ้านตามที่ลูกสาวร้องขอ
“ค่ะแม่ แม่อยากกินอะไรไหมคะ” น้องบัวหันมาถาม
“เรามีกับข้าวที่คุณย่าทำมาให้เยอะแล้วนะลูก ขนมก็มีไม่ใช่เหรอคะ”
เด็กน้อยพยักหน้าตาม “จริงด้วยค่ะ งั้นเอาขนมไปไว้เผื่อกินพรุ่งนี้นะคะแม่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เผื่อไม่ได้ออกมา”
กัทลีนึกขำในความ “ยังไงก็จะเอา” ให้ได้ของลูกสาว กระนั้นเธอก็อนุญาตเพราะคิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ลูกสาวจะได้ไม่รบเร้าให้พาออกมาซื้อของข้างนอกอีก
ใช้เวลาไม่นานสองแม่ลูกก็มาต่อแถวรอคิดเงิน กัทลีมองเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายชายหญิงคิวก่อนหน้าตนเองสามคิว ท่าทางบอกชัดว่าน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าเพื่อน
“ตัวเองจะยื่นพอร์ตที่ไหน เรายื่นที่เดียวกันนะ จะได้ไปเรียนที่เดียวกัน” เด็กหนุ่มพูด
“เชียงใหม่ดีไหมเขาอยากไปเรียนเชียงใหม่ ไกลดี” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “พูดเล่นน่ะ เราว่าไปกรุงเทพฯ ดีกว่า คณะ....น่าสนใจหรือตัวคิดยังไง”
“ก็ดีเหมือนกัน คะแนนเขาน่าจะถึงเราเข้าวิศวะกันนะ ถ้าได้เข้าที่เดียวกันจะได้อยู่หอด้วยกัน”
คู่รักวัยใสคุยกันกะหนุงกะหนิงไม่สนใจใคร เมื่อถึงคิวชำระเงินเด็กหนุ่มหยิบถุงยางอนามัยที่วางตรงหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์วางลงไปด้วยสามสี่กล่อง
หลังจากที่พวกเขาออกไปจากร้านสะดวกซื้อ เสียงอื่นๆ ก็ดังขึ้นมาด้วยระดับความดังที่ได้ยินชัดเจนกันทั่ว
“เฮ้อ เด็กสมัยนี้มันไวไฟดีจังเลยนะเธอ” เจ้าของเสียงเป็นหญิงวัยกลางคนอายุน่าจะสักห้าสิบเศษ พูดขึ้นมากับคนที่ต่อแถวเดียวกัน
"นั่นสิ แล้วเด็กอาไร้ ซื้อถุงยางหน้าตาเฉย สงสารพ่อแม่จัง”
“อ้าวป้า ซื้อถุงยางน่ะดีแล้ว เด็กมันรับผิดชอบมันป้องกันตัวเองไม่ดีตรงไหน จะได้ไม่ท้องตั้งแต่ยังเรียนแบบนั้นน่าอายกว่าอีก” ชายคนหนึ่งฟังแล้วแย้งขึ้นมา ทำให้สองป้าหันไปค้อนก่อนจะแยกย้ายเมื่อถึงคิวชำระเงินของตัวเอง
กัทลีฟังทั้งหมดแล้วเรื่องในความทรงจำก็ผุดขึ้นมา ในวันที่เธอและหิรัญเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
“เราไปเรียนต่อด้วยกันนะกล้วย ยื่นพอร์ตที่เดียวกันเลยหินว่ากล้วยผ่านอยู่แล้ว”
“แต่ว่ามันไกลนะหิน กรุงเทพฯ เลยเหรอ เรากลัวแม่ไม่ให้ไป” กัทลีกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ไหนจะค่าหอ ค่าอยู่ ค่ากินต่อให้ยื่นกู้กยศ.ก็ต้องมีเงินสำรองจ่ายในเทอมแรก ครอบครัวเธอไม่มีให้แน่
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวหินขอให้พ่อแม่ช่วยออกให้ก่อน ค่าหอก็ไม่ต้องห่วงเราไปอยู่หอนอกด้วยกันได้ ค่ากินก็กินด้วยกันมันจะสักเท่าไหร่ ถ้ากล้วยกลัวทุนได้ไม่พอเราก็ทำงานพิเศษเอาก็ได้” หิรัญพูดด้วยท่าทางหนักแน่นจนเธอในวันนั้นเห็นดีด้วย
แต่ทุกอย่างก็พังลงเพราะเธอพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ก่อนวันเตรียมตัวเดินทางไปรายงานตัวพร้อมหิรัญไม่กี่วัน กัทลีคิดจะเอาเด็กออกแต่มารดาและพี่ชายของเธอไม่ยอม พวกเขาลากบุตรสาวที่กำลังท้องไปที่บ้านของหิรัญ ไปโวยวายหน้าบ้านว่าจะแจ้งความจับหิรัญในข้อหาพรากผู้เยาว์
นายเหมและนางจันทร์หอมต้องออกมารับหน้าท่ามกลางเสียงโจษจันของชาวบ้านที่ได้ยิน หิรัญไม่พอใจครอบครัวของเธออย่างหนักแต่ ณ วันนั้นเขาเองก็ไม่ได้อยากให้เธอทำแท้งเช่นกัน
มารดาของกัทลีเรียกร้องเงินค่าเสียหายไปได้ตามที่ต้องการ จากนั้นพวกเขาก็ทิ้งลูกสาวไว้กับครอบครัวของหิรัญทันที
“แกก็อยู่ที่นี่ไปล่ะนังกล้วย อย่าเอาหน้าแกกลับบ้านไปให้ฉันกับพี่น้องแกอับอายคนอีกเลย แล้วถ้าวันหน้าผัวแกมันทิ้งแกขึ้นมาก็รู้ไว้แล้วกันว่าเป็นความผิดของแกเอง หาทางดูแลตัวเองอย่ามาทำให้พวกฉันลำบากไปด้วย”
นางกินรีหอบเงินสดจำนวนห้าแสนใส่กระเป๋าสะพาย ขณะที่พี่ชายของกัทลีโยนกระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาวมาตรงหน้า
“เอ้า กูเก็บมาให้แล้ว มึงไม่ต้องกลับไปที่บ้านละนะนังกล้วย กูอายคนมีน้องสาวใจง่ายท้องตั้งแต่อายุแค่นี้”
ครอบครัวของหิรัญจึงเป็นที่พึ่งเดียวที่เธอมีในตอนนั้น หิรัญเป็นคนบอกให้กัทลีอยู่ที่บ้านของตัวเองเพื่อรอคลอด และค่อยกลับไปเรียนในปีถัดไป กัทลีไม่เห็นด้วยเขาจะทิ้งให้เธออยู่ที่นี่กับพ่อแม่เขาได้อย่างไร
“เราจดทะเบียนกันก่อนไปก็ได้ถ้ากล้วยไม่เชื่อใจ” หิรัญเสนอ
“หิน พ่อว่าคิดดีๆ ก่อนไหมลูก เรากับกล้วยอายุยังน้อยทั้งคู่นะ เรื่องจดทะเบียนยังมีเวลาเยอะแยะที่จะทำ” นายเหมเตือนทั้งบุตรชายและแฟนสาวของลูก
“พ่อบอกว่าลูกผู้ชายทำอะไรต้องรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ หินทำให้กล้วยไม่ได้เรียนต่อ ก็ควรจดทะเบียนกันก่อนให้กล้วยสบายใจไม่ดีเหรอพ่อ” หิรัญยืนยัน
“ก็ดีเหมือนกันนะคุณ หนูกล้วยจะได้สบายใจส่งผลดีกับหลานในท้องด้วย” นางจันทร์หอมเห็นด้วยกับลูกชายเพราะความสงสารกัทลีในฐานะผู้หญิงด้วยกัน
หิรัญและกัทลีจึงได้จดทะเบียนสมรสกันโดยความยินยอมของบิดามารดาทั้งผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย โดยที่จดทะเบียนได้เพียงสองวันเขาก็ต้องเดินทางมารายงานตัวที่มหาวิทยาลัย
“กล้วยไม่ต้องกังวลนะ ทำใจสบายๆ พ่อแม่หินเขาก็เอ็นดูกล้วยดี รอคลอดแล้วปีหน้ากล้วยตามไปเรียนต่อด้วยกันที่โน่นก็ได้ เดี๋ยวหินช่วยติวให้เอง”
“สัญญานะหิน”
“หินสัญญา กล้วยรอวันนั้นได้เลย”
แต่คำสัญญาหนักแน่นก็กลายเป็นเพียงแค่สายลม หิรัญเรียนหนักจนลืมเธอ ไม่มีเวลาให้แม้แต่วันที่กัทลีคลอดลูกเขาเองก็ไม่ได้มาเยี่ยม โทรไปทีไรเขาไม่เคยว่างคุยด้วยโดยที่บอกว่าเรียนหนัก งานเยอะกิจกรรมก็เยอะ ช่องว่างของทั้งสองห่างกันเรื่อยๆ จนกัทลีได้รู้ว่า
การรอคอยนั้นจะคุ้มค่า... เฉพาะแค่กับคนที่สมหวังเท่านั้น
“สวัสดีค่ะคุณลูกค้า รับอะไรเพิ่มเติมไหมคะ” เสียงพนักงานที่ถามดึงหญิงสาวออกจากภวังค์ กัทลีสะดุ้งเล็กน้อยปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนจะตอบ
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“ทั้งหมดสี่ร้อยห้าสิบบาทค่ะ ลูกค้ามีรหัสสมาชิกไหมคะ” พนักงานสาวถามตามขั้นตอนปกติ ซึ่งน้องบัวชมพูก็รีบตอบแทน
“มีค่ะ เดี๋ยวหนูกดเอง”
เด็กหญิงขยับมาตรงหน้าเครื่องอ่านรหัส และกดเบอร์โทรศัพท์ของมารดาที่เธอจำได้ขึ้นใจลงไปบนเครื่องนั้นอย่างคล่องแคล่ว กัทลีชำระค่าสินค้าเป็นธนบัตรสีม่วง เธอรอรับเงินทอนและใบเสร็จแล้วจึงพาลูกออกจากร้านไป
“แม่ต้องย้ายที่ทำงานพรุ่งนี้แต่โรงเรียนหนูยังไม่ปิดเทอม หนูไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะลูก แล้ววันหยุดแม่จะมารับไปนอนค้างกับแม่” “ค่ะแม่ หนูอยู่กับปู่ย่าได้แต่แม่อย่าลืมมารับหนูเย็นวันศุกร์นะคะ” เด็กหญิงกำชับ“แม่ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ใครจะลืมลูกทั้งคนเนอะ” ใครจะลืม ถ้าไม่ใช่อดีตสามี ‘ไอ้บ้าหิน’ หญิงสาวอดคิดด่าฝ่ายนั้นในใจไม่ได้“โอเค นอนนะคะลูก คืนนี้แม่ขอนอนกอดหนูหน่อยนะคะ พรุ่งนี้แม่ต้องไปแล้ว” หญิงสาวเอื้อมมือไปหรี่ไฟเอนตัวนอนกอดเด็กหญิงไว้หลวมๆ ยังไม่ทันได้ห่างกันจริงๆ เธอก็ใจจะขาด แล้วต้องไปอยู่โน่นคนเดียวเป็นเดือนเธอจะทนไหวไหม กัทลีถามตัวเองเช้าวันต่อมากลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัทลีขนของย้ายบ้านโดยที่เธอจะขนของที่จำเป็นไปทั้งหมดทีเดียว ยกเว้นของใช้ส่วนตัวของน้องบัวที่จะขนไปไว้ที่บ้านปู่เหมย่าจันทร์ชั่วคราว ในขณะที่เริ่มขนของขึ้นท้ายรถกระบะของวาตะที่ชายหนุ่มนำรถที่บ้านมาช่วยย้าย หิรัญก็ขับรถปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้าน“ให้ไอ้หินมาช่วยขนของด้วยเหรอกล้วย” สไบนางถามเพื่อน“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะย้าย” กัทลีตอบพลางเดินไปหาแขกที่ไม่ได้เชิญว่าเขามาทำไม“คุณมาทำอะไรหิน”
น้องบัววิ่งเข้าไปหลบหลังแม่แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามามองคนเป็นพ่อ หลังจากที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้วเธอจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ยังมีท่าทีระแวงอยู่หิรัญย่อตัวลงนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองเพื่อให้ใบหน้าตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิง “น้องบัวคะพ่อมาหาค่ะลูก หนูออกมาหาพ่อได้ไหมคะ” “พ่อ...” เด็กหญิงทวนคำ “พ่อมาทำไมคะ” เพราะว่าเธอจำได้ว่าคนที่แม่เคยแนะนำว่าเป็น “คุณพ่อ” ช่วยเธอและแม่ไม่ให้คุณยายตีเมื่อเช้าวันนี้ เด็กหญิงจึงลดท่าทีไม่เป็นมิตรลงไปบ้างถ้าเทียบกับปฏิกิริยาของเธอในวันวาน“พ่อมาหาหนูไงคะลูก” หิรัญใจชื้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงยอมพูดกับเขาบ้าง ดีกว่าท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดแบบเมื่อวาน“น้องบัวออกไปบอกลุงลมให้ย่างหมูได้แล้วลูก เดี๋ยวแม่ตามออกไปนะคะ” กัทลีออกคำสั่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ทำให้เด็กหญิงทำท่านึกออกว่าเธอกำลังจะออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของแม่ “ค่ะแม่” เมื่อมารดาพยักหน้าให้เด็กหญิงก็เลยเลิกสนใจ ‘คุณพ่อ’ และวิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วกัทลีมองตามหลังลูกจากนั้นกลับมามองอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิม “เรื่องเมื่อเช้าขอบคุณมากแต่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักทีฮะหิน” “วันนี้กล้วยจะฉลองกับเพื่อนเก่าไม่ใช่
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วมาจอดไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ “ใครมา อ้าวไอ้ลม ไอ้จิณพวกมันมากันทำไม” หิรัญมองเพื่อนเก่าสองคนที่ลงจากรถ“อ้าวไอ้หินมันอยู่ด้วยเหรอวะมึง” วาตะกระซิบถามจิรัช“กูก็มาพร้อมมึง แล้วก็เห็นมันยืนอยู่พร้อมกันกูจะรู้ไหมล่ะ” จิรัชตอบจากนั้นเขาทักทายหิรัญและเจ้าของบ้านสาว“ว่าไงวะมึงไอ้หิน กูได้ข่าวว่ามึงจะกลับมาอยู่บ้านถาวรเลยเหรอ” “เออว่ะ ตอนนี้ทางโน้นปิดงานหมดกูเลยว่าจะมาหาอะไรทำที่บ้าน” หิรัญเดินไปหาเพื่อนสองคนที่เขาเคยสนิทและมาห่างกันช่วงไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี“ละมึงมาทำไมกัน ขนอะไรกันมาเยอะแยะ” ชายหนุ่มมองข้าวของในมือของวาตะที่ส่งมาให้จิรัชและตน เขารับมาช่วยถืออย่างงงๆ และพบว่ามันเป็นพวกน้ำแข็ง เครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเองยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะตอบ กัทลีก็แทรกขึ้น “แล้วอีกสองสาวล่ะ ยังไม่มาเหรอ” “วันนี้วันเสาร์วุ้นมันไปเคลียร์งานครึ่งวันบีเลยจะไปรับแล้วจะมาพร้อมกัน เดี๋ยวคงมาถึงตะกี้มันโทรมาถามว่าฉันสองคนซื้ออะไรมาแล้วบ้าง” วาตะเป็นคนตอบพลางเดินนำเข้าบ้านเปิดประตูบ้านอย่างคุ้นเคย ส่งเสียงทักทายสาวน้อยวัยเจ
“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก” นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ” แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่” “กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไ
กัทลีมาถึงบ้านแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มารอ หิรัญนั่นเองเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัยว่าเขามาที่บ้านนี้ทำไมกัน“กล้วย น้องบัว” ชายหนุ่มลุกจากเทอเรซหน้าบ้านทันที เขาว่าเขาตามเธอออกมาจากบ้านเวลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบนาที แต่มาถึงไม่เจอใครและต้องมานั่งรออยู่เกือบชั่วโมงแล้ว“มาที่นี่มีอะไรเหรอหิน” น้ำเสียงของกัทลีราบเรียบจนหิรัญเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เขากลับมาที่นี่อดีตภรรยาไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนหรือโกรธเขาเลยสักครั้ง ต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อนลิบลับที่หลังจากคลอดน้องบัว กัทลีมักจะโทรหาเขาในตอนค่ำๆ หิรัญในตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเทอมสองเป็นช่วงที่ชีวิตในรั้วมหาลัยเริ่มลงตัว มีสังคมใหม่ มีกิจวัตรใหม่ แรกๆ เขาก็รับสายของเธอดี แต่ช่วงหลังหิรัญเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทในคณะซึ่งส่วนมากก็เป็นการเที่ยวกลางคืน ทำให้เขาเริ่มไม่อยากรับสายกัทลีถึงรับก็พูดด้วยความเร่งรีบจนเธอเริ่มระแวงและหาเรื่องว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อถูกโวยวายชวนทะเลาะบ่อยๆ เขาเริ่มไม่รับสาย และยกเลิกการกลับบ้าน และจนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย“เอ่อ ผมมาหาน้อง
“ไปค่ะ หนูจะเอาขนมอะไรแม่ให้เลือกได้สองอย่าง” กัทลีจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อปากทางเข้าบ้านตามที่ลูกสาวร้องขอ“ค่ะแม่ แม่อยากกินอะไรไหมคะ” น้องบัวหันมาถาม“เรามีกับข้าวที่คุณย่าทำมาให้เยอะแล้วนะลูก ขนมก็มีไม่ใช่เหรอคะ”เด็กน้อยพยักหน้าตาม “จริงด้วยค่ะ งั้นเอาขนมไปไว้เผื่อกินพรุ่งนี้นะคะแม่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เผื่อไม่ได้ออกมา” กัทลีนึกขำในความ “ยังไงก็จะเอา” ให้ได้ของลูกสาว กระนั้นเธอก็อนุญาตเพราะคิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ลูกสาวจะได้ไม่รบเร้าให้พาออกมาซื้อของข้างนอกอีกใช้เวลาไม่นานสองแม่ลูกก็มาต่อแถวรอคิดเงิน กัทลีมองเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายชายหญิงคิวก่อนหน้าตนเองสามคิว ท่าทางบอกชัดว่าน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าเพื่อน“ตัวเองจะยื่นพอร์ตที่ไหน เรายื่นที่เดียวกันนะ จะได้ไปเรียนที่เดียวกัน” เด็กหนุ่มพูด“เชียงใหม่ดีไหมเขาอยากไปเรียนเชียงใหม่ ไกลดี” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “พูดเล่นน่ะ เราว่าไปกรุงเทพฯ ดีกว่า คณะ....น่าสนใจหรือตัวคิดยังไง” “ก็ดีเหมือนกัน คะแนนเขาน่าจะถึงเราเข้าวิศวะกันนะ ถ้าได้เข้าที่เดียวกันจะได้อยู่หอด้วยกัน”