กัทลีมาถึงบ้านแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มารอ หิรัญนั่นเองเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัยว่าเขามาที่บ้านนี้ทำไมกัน
“กล้วย น้องบัว” ชายหนุ่มลุกจากเทอเรซหน้าบ้านทันที เขาว่าเขาตามเธอออกมาจากบ้านเวลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบนาที แต่มาถึงไม่เจอใครและต้องมานั่งรออยู่เกือบชั่วโมงแล้ว
“มาที่นี่มีอะไรเหรอหิน”
น้ำเสียงของกัทลีราบเรียบจนหิรัญเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เขากลับมาที่นี่อดีตภรรยาไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนหรือโกรธเขาเลยสักครั้ง ต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อนลิบลับที่หลังจากคลอดน้องบัว กัทลีมักจะโทรหาเขาในตอนค่ำๆ หิรัญในตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเทอมสองเป็นช่วงที่ชีวิตในรั้วมหาลัยเริ่มลงตัว มีสังคมใหม่ มีกิจวัตรใหม่ แรกๆ เขาก็รับสายของเธอดี
แต่ช่วงหลังหิรัญเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทในคณะซึ่งส่วนมากก็เป็นการเที่ยวกลางคืน ทำให้เขาเริ่มไม่อยากรับสายกัทลีถึงรับก็พูดด้วยความเร่งรีบจนเธอเริ่มระแวงและหาเรื่องว่าเขาเปลี่ยนไป
เมื่อถูกโวยวายชวนทะเลาะบ่อยๆ เขาเริ่มไม่รับสาย และยกเลิกการกลับบ้าน และจนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย
“เอ่อ ผมมาหาน้องบัวน่ะ ซื้อของมาฝากจากในเมือง” เขามองไปทางด้านหลังที่มีเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบยืนหลบอยู่หลังมารดา
“น้องบัวลูก พ่อมาหาค่ะ พ่อซื้อขนมมาให้หนูด้วยค่ะ” หิรัญยื่นมือไปจะจับตัวเด็กหญิง แต่น้องบัวเอี้ยวตัวหนีทันทีเธอหันไปถามมารดาด้วยความตกใจ
“ใครคะแม่”
หิรัญชะงักเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากปากลูก ชายหนุ่มเงยหน้ามองกัทลีที่มองเขาด้วยสายตาเหมือนจะสมเพช
“คุณพ่อไงคะลูก พ่อเขามาหาน้องบัวน่ะไปหาพ่อไหมคะ” คนเป็นแม่หันไปบอกลูกอย่างอ่อนโยน แต่เด็กหญิงส่ายหน้าหวือแทบไม่ต้องคิด
“ไม่ค่ะ หนูไม่รู้จักคนชื่อพ่อ แม่คะหนูจะเข้าบ้านแล้วหนูกลัว” เด็กหญิงวิ่งไปทางตัวบ้านทันทีทำให้หิรัญมองตามไป
กัทลีมองขนมที่ชายหนุ่มถือมา เธอพูดเสียงราบเรียบหนักกว่าเดิมแต่ก็ทำให้คนฟังหน้าชาได้
“คุณกลับไปเถอะ ลูกไม่เคยเห็นหน้าคุณ ไม่เคยรู้จักพ่อ ที่แกเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลก ส่วนขนมนั่น...” เธอหยุดมองหน้าเขาก่อนจะพูดต่อ
“น้องบัวแพ้โกโก้คุณเอาช็อกโกแลตกลับไปเถอะ”
“ผมไม่รู้ว่าลูกแพ้โกโก้ ขอโทษนะ... ทำไมกล้วยไม่เคยบอก...” หิรัญยังพูดไม่จบก็ต้องชะงักเมื่อกัทลีแทรกขึ้นมา
“ฉันเคยบอกคุณทุกเรื่องที่จำเป็นและสำคัญเกี่ยวกับลูก ตั้งแต่ลูกเกิดจนถึงวันที่ลูกเข้าโรงเรียน”
หิรัญพยายามคิด
“ไม่นะกล้วย คุณไม่เคยบอกผมจริงๆ เรื่องสำคัญถ้าคุณบอกผมก็น่าจะจำได้สิ”
“ฉันบอกไปในไลน์ ตั้งแต่น้องบัวเกิดใหม่ๆ ฉันโทรไปคุณก็ไม่อยากรับสาย จนฉันเลิกโทรและใช้ไลน์ติดต่อคุณแทน น้องบัวป่วย ไม่สบาย หาหมอ ฉีดวัคซีน คว่ำ คลาน ตั้งไข่ หัดเดิน หัดพูด ไม่มีอะไรที่ฉันไม่บอก แต่คุณไม่เคยเปิดอ่านจนถึงวันที่ลูกเข้าอนุบาลฉันก็เลิกส่งข้อความหาคุณ แล้วจะมาอยากรู้ตอนนี้ไม่สายไปหน่อยเหรอ”
กัทลีเชิดหน้ากะพริบตาถี่ๆ “คุณกลับไปเถอะ ไปใช้ชีวิตโสดของคุณแบบที่เคยเป็น ลูกไม่ใช่ตุ๊กตาไม่ใช่หมาแมวที่พอคิดถึงเมื่อไหร่ ว่างเมื่อไหร่ก็จะมาเล่นด้วยพอหมดความสนใจแล้วก็ปล่อยแกไว้ที่เดิม”
“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับลูกนะกล้วย พูดเกินไปหรือเปล่า” ผู้หญิงมักจะดรามาแบบนี้เสมอใช่ไหม นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาบอกตัวเองในเวลาที่รู้สึกผิดเรื่องกัทลีมาตลอดหลายปี
“ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับคุณหรอกหิน ว่าอะไรที่เกินไปหรือไม่เกินแล้วก็ไม่รู้จะทำไปทำไมด้วย คุณจะคิดยังไงก็ไม่มีผลกับฉันกับลูกคุณกลับไปได้แล้ว ตอนนี้จะค่ำยามวิกาลฉันไม่ต้อนรับแขก”
หญิงสาวเปิดประตูด้านหลังหยิบตะกร้าที่หิ้วมาจากบ้านปู่ย่าขึ้นมาก่อนจะกดล็อกรถ
ชายหนุ่มมองตามกัทลีเข้าบ้านไปพร้อมลูก เขาเห็นเธอปิดประตูหน้าบ้านลงกลอนแน่นหนาจึงถอนใจ หิรัญกลับเข้าไปนั่งในรถอยู่พักใหญ่ เขาตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมสนทนาที่อดีตภรรยาพูดถึงเมื่อครู่ ไล่หาชื่อของเธอที่มันแทบจะอยู่ท้ายสุดของหน้าสนทนา
เหตุเพราะเขาเคยตั้งปิดการแจ้งเตือนข้อความจากเธอและลืมเรื่องนี้ไปสนิทใจ แต่เพราะว่ามันต้องย้อนไปไกลหลายปี หิรัญจึงเปิดโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนเบาะข้างตัว เขาเปิดโปรแกรมไลน์ในเวอร์ชันสำหรับคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลและข้อความเก่าๆ ย้อนหลัง
หิรัญไล่ดูข้อความมากมายที่กัทลีเคยส่งหาเขาในช่วงแรกๆ หลังลูกคลอดแทบจะเป็นวันเว้นวัน หลังจากนั้นมันเริ่มห่างเป็นเดือนละครั้ง
จนถึงเป็นการส่งข้อความบอกเรื่องพัฒนาการของลูก และจากสองสามเดือนครั้งก็กลายเป็นไม่มีข้อความจากเธออีกเลยเมื่อลูกอายุครบสามขวบ
ชายหนุ่มย้อนอ่านข้อความทั้งหมด แปลกใจว่าทำไมตัวเองในตอนนั้นจึงไม่อยากรู้เรื่องของน้องบัวสักนิด แต่ในตอนนี้เขากลับอยากจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับลูกสาวและความอยากรู้นั้นก็เลยไปยังแม่ของเธอหรืออดีตภรรยาด้วย
ชายหนุ่มกดที่ขมับเมื่อรู้สึกปวดศีรษะ เหมือนถูกทุบด้วยของแข็งจนมึนงง เขาเริ่มถามตัวเองว่าที่ผ่านมาเจ็ดแปดปีเขาทำให้กัทลีและน้องบัวหล่นหายไปจากชีวิตตอนไหน เขาอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาทีก่อนจะตัดสินใจยอมถอยไปก่อน เพราะรู้ว่าถึงอยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไรในวันนี้ ถึงอย่างไรลูกก็ยังไม่ยอมรับเขาแน่ๆ
“แม่ ลุงคนนั้นเขากลับไปแล้วค่ะ” น้องบัวแอบเลิกผ้าม่านมองที่หน้าบ้านและเห็นว่าชายคนที่คุณแม่บอกให้เธอเรียกว่าพ่อเขาถอยรถกลับออกไปแล้ว
“ค่ะลูก น้องบัวหิวหรือยังคะ แม่อุ่นกับข้าวให้แล้วนะ” กัทลีเบี่ยงเบนความสนใจของลูกจากหิรัญ เธอไม่มีหน้าที่อะไรช่วยเขาในเรื่องของลูกหรือช่วยให้น้องบัวยอมรับพ่อแต่อย่างใด
“แม่ขา ทำไมตรงรั้วบ้านเราไม่มีประตูคะ น้องไม่ชอบเลย” เด็กหญิงมองบริเวณบ้านของตนซึ่งเป็นลักษณะชุมชนต่างจังหวัดทั่วไป ใช้แนวต้นไม้เป็นการแสดงอาณาเขตและไม่จำเป็นต้องมีประตูปิดเปิดเป็นเรื่องเป็นราว เนื่องจากคนในละแวกนี้ก็รู้จักกันดีทั้งนั้น
“ทำไมเหรอคะลูก หนูอยากได้ประตูใหญ่เหรอ” กัทลีถามงงๆ
“ใช่ค่ะแม่ หนูไม่อยากให้ผู้ชายคนเมื่อกี้เขาเข้ามาได้อีก แม่ทำประตูนะคะเราจะได้ปิดประตูไม่ให้เขามา”
“แม่ต้องย้ายที่ทำงานพรุ่งนี้แต่โรงเรียนหนูยังไม่ปิดเทอม หนูไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะลูก แล้ววันหยุดแม่จะมารับไปนอนค้างกับแม่” “ค่ะแม่ หนูอยู่กับปู่ย่าได้แต่แม่อย่าลืมมารับหนูเย็นวันศุกร์นะคะ” เด็กหญิงกำชับ“แม่ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ใครจะลืมลูกทั้งคนเนอะ” ใครจะลืม ถ้าไม่ใช่อดีตสามี ‘ไอ้บ้าหิน’ หญิงสาวอดคิดด่าฝ่ายนั้นในใจไม่ได้“โอเค นอนนะคะลูก คืนนี้แม่ขอนอนกอดหนูหน่อยนะคะ พรุ่งนี้แม่ต้องไปแล้ว” หญิงสาวเอื้อมมือไปหรี่ไฟเอนตัวนอนกอดเด็กหญิงไว้หลวมๆ ยังไม่ทันได้ห่างกันจริงๆ เธอก็ใจจะขาด แล้วต้องไปอยู่โน่นคนเดียวเป็นเดือนเธอจะทนไหวไหม กัทลีถามตัวเองเช้าวันต่อมากลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัทลีขนของย้ายบ้านโดยที่เธอจะขนของที่จำเป็นไปทั้งหมดทีเดียว ยกเว้นของใช้ส่วนตัวของน้องบัวที่จะขนไปไว้ที่บ้านปู่เหมย่าจันทร์ชั่วคราว ในขณะที่เริ่มขนของขึ้นท้ายรถกระบะของวาตะที่ชายหนุ่มนำรถที่บ้านมาช่วยย้าย หิรัญก็ขับรถปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้าน“ให้ไอ้หินมาช่วยขนของด้วยเหรอกล้วย” สไบนางถามเพื่อน“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะย้าย” กัทลีตอบพลางเดินไปหาแขกที่ไม่ได้เชิญว่าเขามาทำไม“คุณมาทำอะไรหิน”
น้องบัววิ่งเข้าไปหลบหลังแม่แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามามองคนเป็นพ่อ หลังจากที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้วเธอจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ยังมีท่าทีระแวงอยู่หิรัญย่อตัวลงนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองเพื่อให้ใบหน้าตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิง “น้องบัวคะพ่อมาหาค่ะลูก หนูออกมาหาพ่อได้ไหมคะ” “พ่อ...” เด็กหญิงทวนคำ “พ่อมาทำไมคะ” เพราะว่าเธอจำได้ว่าคนที่แม่เคยแนะนำว่าเป็น “คุณพ่อ” ช่วยเธอและแม่ไม่ให้คุณยายตีเมื่อเช้าวันนี้ เด็กหญิงจึงลดท่าทีไม่เป็นมิตรลงไปบ้างถ้าเทียบกับปฏิกิริยาของเธอในวันวาน“พ่อมาหาหนูไงคะลูก” หิรัญใจชื้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงยอมพูดกับเขาบ้าง ดีกว่าท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดแบบเมื่อวาน“น้องบัวออกไปบอกลุงลมให้ย่างหมูได้แล้วลูก เดี๋ยวแม่ตามออกไปนะคะ” กัทลีออกคำสั่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ทำให้เด็กหญิงทำท่านึกออกว่าเธอกำลังจะออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของแม่ “ค่ะแม่” เมื่อมารดาพยักหน้าให้เด็กหญิงก็เลยเลิกสนใจ ‘คุณพ่อ’ และวิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วกัทลีมองตามหลังลูกจากนั้นกลับมามองอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิม “เรื่องเมื่อเช้าขอบคุณมากแต่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักทีฮะหิน” “วันนี้กล้วยจะฉลองกับเพื่อนเก่าไม่ใช่
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วมาจอดไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ “ใครมา อ้าวไอ้ลม ไอ้จิณพวกมันมากันทำไม” หิรัญมองเพื่อนเก่าสองคนที่ลงจากรถ“อ้าวไอ้หินมันอยู่ด้วยเหรอวะมึง” วาตะกระซิบถามจิรัช“กูก็มาพร้อมมึง แล้วก็เห็นมันยืนอยู่พร้อมกันกูจะรู้ไหมล่ะ” จิรัชตอบจากนั้นเขาทักทายหิรัญและเจ้าของบ้านสาว“ว่าไงวะมึงไอ้หิน กูได้ข่าวว่ามึงจะกลับมาอยู่บ้านถาวรเลยเหรอ” “เออว่ะ ตอนนี้ทางโน้นปิดงานหมดกูเลยว่าจะมาหาอะไรทำที่บ้าน” หิรัญเดินไปหาเพื่อนสองคนที่เขาเคยสนิทและมาห่างกันช่วงไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี“ละมึงมาทำไมกัน ขนอะไรกันมาเยอะแยะ” ชายหนุ่มมองข้าวของในมือของวาตะที่ส่งมาให้จิรัชและตน เขารับมาช่วยถืออย่างงงๆ และพบว่ามันเป็นพวกน้ำแข็ง เครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเองยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะตอบ กัทลีก็แทรกขึ้น “แล้วอีกสองสาวล่ะ ยังไม่มาเหรอ” “วันนี้วันเสาร์วุ้นมันไปเคลียร์งานครึ่งวันบีเลยจะไปรับแล้วจะมาพร้อมกัน เดี๋ยวคงมาถึงตะกี้มันโทรมาถามว่าฉันสองคนซื้ออะไรมาแล้วบ้าง” วาตะเป็นคนตอบพลางเดินนำเข้าบ้านเปิดประตูบ้านอย่างคุ้นเคย ส่งเสียงทักทายสาวน้อยวัยเจ
“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก” นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ” แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่” “กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไ
กัทลีมาถึงบ้านแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มารอ หิรัญนั่นเองเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัยว่าเขามาที่บ้านนี้ทำไมกัน“กล้วย น้องบัว” ชายหนุ่มลุกจากเทอเรซหน้าบ้านทันที เขาว่าเขาตามเธอออกมาจากบ้านเวลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบนาที แต่มาถึงไม่เจอใครและต้องมานั่งรออยู่เกือบชั่วโมงแล้ว“มาที่นี่มีอะไรเหรอหิน” น้ำเสียงของกัทลีราบเรียบจนหิรัญเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เขากลับมาที่นี่อดีตภรรยาไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนหรือโกรธเขาเลยสักครั้ง ต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อนลิบลับที่หลังจากคลอดน้องบัว กัทลีมักจะโทรหาเขาในตอนค่ำๆ หิรัญในตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเทอมสองเป็นช่วงที่ชีวิตในรั้วมหาลัยเริ่มลงตัว มีสังคมใหม่ มีกิจวัตรใหม่ แรกๆ เขาก็รับสายของเธอดี แต่ช่วงหลังหิรัญเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทในคณะซึ่งส่วนมากก็เป็นการเที่ยวกลางคืน ทำให้เขาเริ่มไม่อยากรับสายกัทลีถึงรับก็พูดด้วยความเร่งรีบจนเธอเริ่มระแวงและหาเรื่องว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อถูกโวยวายชวนทะเลาะบ่อยๆ เขาเริ่มไม่รับสาย และยกเลิกการกลับบ้าน และจนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย“เอ่อ ผมมาหาน้อง
“ไปค่ะ หนูจะเอาขนมอะไรแม่ให้เลือกได้สองอย่าง” กัทลีจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อปากทางเข้าบ้านตามที่ลูกสาวร้องขอ“ค่ะแม่ แม่อยากกินอะไรไหมคะ” น้องบัวหันมาถาม“เรามีกับข้าวที่คุณย่าทำมาให้เยอะแล้วนะลูก ขนมก็มีไม่ใช่เหรอคะ”เด็กน้อยพยักหน้าตาม “จริงด้วยค่ะ งั้นเอาขนมไปไว้เผื่อกินพรุ่งนี้นะคะแม่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เผื่อไม่ได้ออกมา” กัทลีนึกขำในความ “ยังไงก็จะเอา” ให้ได้ของลูกสาว กระนั้นเธอก็อนุญาตเพราะคิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ลูกสาวจะได้ไม่รบเร้าให้พาออกมาซื้อของข้างนอกอีกใช้เวลาไม่นานสองแม่ลูกก็มาต่อแถวรอคิดเงิน กัทลีมองเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายชายหญิงคิวก่อนหน้าตนเองสามคิว ท่าทางบอกชัดว่าน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าเพื่อน“ตัวเองจะยื่นพอร์ตที่ไหน เรายื่นที่เดียวกันนะ จะได้ไปเรียนที่เดียวกัน” เด็กหนุ่มพูด“เชียงใหม่ดีไหมเขาอยากไปเรียนเชียงใหม่ ไกลดี” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “พูดเล่นน่ะ เราว่าไปกรุงเทพฯ ดีกว่า คณะ....น่าสนใจหรือตัวคิดยังไง” “ก็ดีเหมือนกัน คะแนนเขาน่าจะถึงเราเข้าวิศวะกันนะ ถ้าได้เข้าที่เดียวกันจะได้อยู่หอด้วยกัน”