ฟ้าคำรามลั่นตั้งแต่ช่วงเย็น ลมแรงพัดเอาใบไม้ปลิวว่อนทั่วฟาร์มเมล่อนในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้
หิรัญยืนอยู่กลางโดมเพาะปลูก ตรงจุดที่เขาเพิ่งเปลี่ยนอุปกรณ์โครงหลังคาโรงเรือนไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเคยไว้ใจคำโฆษณาของเบญจา เชื่อว่าสิ่งที่เธอเสนอมาแม้จะแพงกว่าย่อมคุณภาพดีกว่า
ทว่าเมื่อพายุฤดูร้อนเริ่มมา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่นเมื่อเขาวิ่งฝ่าฝนมาที่โรงเรือน ก็ได้เห็นภาพโครงเหล็กบางส่วนพังครืนลงตรงหน้า สิ่งพวกนี้บอกกับเขาอย่างชัดเจนว่าเขาคิดผิด
“พี่หิน ออกมาก่อนพี่ อันตรายนะพี่”
สิงห์ คนงานประจำฟาร์มตะโกนลั่นกลางสายฝนแต่ชายหนุ่มยังยืนอยู่ตรงนั้น เขาตะโกนเรียกให้ลูกน้องรีบตัดไฟและหาทางปิดทางน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาในโดม
เสียงผ้าใบที่หลุดลงจากโครงเหล็กตีกับลมอย่างน่ากลัว เสียงพายุโหมฟ้าลงเหมือนปีศาจกำลังโกรธ ต้นยางนาที่มีหลายต้นกิ่งเริ่มหักตกลงมาที่พื้น รวมถึงต้นเมล่อนในโดมที่กำลังออกผลล้มระเนระนาดเกือบทั้งแปลง กลิ้งกระจายเต็มพื้น
เขาไม่แน่ใจว่าสะโพกของตัวเองกระแทกกับอะไรตอนที่พยายามจะยกต้นเมล่อนของน้องบัวขึ้นมา ทุกอย่างพังพินาศในพริบตาเหมือนความหวังที่กำลังเริ่มก่อตัวแต่แล้วมันก็หายไปดื้อๆ
ในตอนเช้าพายุผ่านไปแล้ว ฟ้าหลังฝนนั้นสดใสสวนทางกับใจของหิรัญที่กำลังหมดหวัง เขายังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนชายหนุ่มช่วยกันเก็บของกับคนงานในฟาร์ม จากนั้นพวกเขาก็รอดูสถานการณ์อีกทั้งคืน
เขานั่งอยู่เงียบๆ หน้าบ้านไม้ในฟาร์ม เสื้อเปียกชื้นแห้งไปแล้วแต่แววตาเหนื่อยล้ายังปรากฏอยู่ชัดเจน
น้องบัวลงจากรถของแม่ วิ่งเข้ามาในฟาร์มเหมือนทุกเช้าวันเสาร์ที่เธอมาที่นี่ แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าทำให้เด็กหญิงชะงัก ไม่มีโดมปลูกเมล่อน เหลือเพียงกองซากเหล็กและผ้าใบที่พังลงมาไม่มีชิ้นดีต้นไม้ยืนต้นหลายต้นบางต้นกิ่งหัก บางต้นก็ล้มทั้งต้น รวมถึงต้นเมล่อนที่ไม่เหลือเลยสักต้น
ไม่มีป้ายชื่อของเธอที่เคยอยู่หน้าต้นเมล่อนและไม่มีรอยยิ้มของพ่อที่รอรับเธออยู่ตรงหน้าบ้านเหมือนทุกที
“พ่อขา...” เด็กหญิงเรียกเสียงแผ่ว วิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอยู่ที่หน้าบ้าน
หิรัญเงยหน้าขึ้นช้าๆ แววตาเขาแดงก่ำ “ต้นเมล่อนของลูก...มันตายหมดแล้วลูก พ่อขอโทษนะ”
น้องบัวไม่ตอบในทันที เธอเหลียวไปมองแปลงปลูกที่พังจนหมด แล้วหันกลับมาหาพ่อ เธอค่อย ๆ ยกมือเล็กขึ้นแตะใบหน้าของหิรัญอย่างปลอบโยน
“ไม่เป็นไรนะคะพ่อ เราปลูกกันใหม่ได้ค่ะ”
หิรัญชะงัก รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังแตกออกภายในตัวเขา ความอ่อนแอทั้งหมดที่เคยสะสมมาเหมือนถูกมือเล็กๆ นั้นคลี่ออกอย่างแผ่วเบา
“ลูกไม่โกรธเหรอคะ” เขาถาม
“ไม่เลยค่ะ หนูอยากช่วยพ่อทำอีก คราวนี้หนูจะปลูกเองตั้งแต่ต้นเลยนะคะ”
เขายิ้มออกมาได้ในที่สุด น้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัว เขาดึงลูกเข้ามากอดแน่น กัทลีมองภาพสองพ่อลูกก่อนจะมองไปรอบๆ เธอเดินไปถามอะไรบางอย่างกับพวกคนงาน หญิงสาวพยักหน้ารับรู้และตัดสินใจบอกพวกเขาว่าฝากดูลูกสาวส่วนตัวเธอเองขับรถออกไปจากฟาร์ม
หญิงสาวหายไปราวครึ่งชั่วโมงเศษ รถยนต์ของกัทลีก็กลับเข้ามาจอดที่เดิม หญิงสาวลงมาเปิดท้ายรถและเรียกแม่ครัวและคนงานให้มาช่วยกันขนอาหารสำเร็จในกล่องแบบพร้อมกิน และของสดบางส่วนที่เธอไปเหมาซื้อมาจากตลาดเช้าที่อยู่ห่างจากฟาร์มไปไม่กี่ร้อยเมตร
หญิงสาวมาเรียกน้องบัวให้ไปกินข้าวที่เธอจัดไว้ให้แล้ว เมื่อเห็นสภาพโรงเรือนชัดๆ เธอก็ถึงกับยืนอึ้งอีกรอบ
“ฟ้าลงที่นี่เมื่อคืนเลยสินะ…” เธอพึมพำเบาๆ หญิงสาวแตะที่ต้นแขนของหิรัญ
“หิน ไปกินข้าวพักผ่อนก่อนนะ ค่อยมาคิดกันว่าจะทำอะไรต่อ”
ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ กัทลีจึงย้ำ “เดี๋ยวเรามาคิดด้วยกันนะว่าจะทำยังไงต่อ”
หิรัญเดินตามมาที่โต๊ะรับประทานอาหารในโรงครัว ที่คนงานช่วยกันทำความสะอาดกันไปส่วนหนึ่ง เขานั่งลงและรับอาหารจากมือเธออย่างเงียบๆ
“กล้วย ผมขอบคุณมากๆ นะ” เมื่อท้องอิ่มชายหนุ่มก็เริ่มได้สติกลับมา เขามองกัทลีที่ช่วยเข้ามาจัดการเคลียร์พื้นที่ในส่วนที่ทำได้เลยอย่างขอบคุณ มองลูกสาวตัวเล็กที่ช่วยเข้ามาเป็นกำลังใจแม้ว่าเธอเองก็มีสิ่งที่ต้องเสียใจเช่นกัน
เขาไม่รู้จะพูดอะไรอีก เป็นอีกครั้งที่ผู้หญิงสองคนนี้ช่วยตอกย้ำว่าในวันที่เขามีปัญหา พวกเธอก็คือคนที่อยู่เคียงข้างและช่วยเขาแก้ปัญหาโดยที่ไม่พูดอะไรมากมาย
กัทลีมองไปยังลูกที่นั่งจัดเรียงกระป๋องเมล็ดพันธุ์ที่กระจัดกระจายให้อยู่ด้วยกัน โดยวางเรียงบนตะกร้าใบเดียวกันซึ่งเป็นงานที่เด็กทำได้
“คุณรู้ไหมหิน ว่าลูกของเราเข้มแข็งกว่าที่เราคิด”
“ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วกล้วย”
“ฉันอยากบอกว่าแค่คุณยังอยู่ตรงนี้ แค่ไม่ยอมถอดใจ ไม่ทิ้งฟาร์ม ไม่ทิ้งแกไปไหน น้องบัวก็จะไม่มีวันทิ้งคุณให้เจอปัญหาอยู่คนเดียว”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ดวงตาสั่นไหวด้วยความรู้สึกผิดที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้และแม่ของแก
“ขอบคุณนะกล้วย ขอบคุณที่คุณกับลูกไม่ทิ้งผมไปไหน”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะท้อและไม่ใช่เวลาที่คุณจะรู้สึกผิดอะไรกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่คุณมีคนงานที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเข้าใจถ้าคุณจะผิดหวังหรือเสียใจแต่คุณต้องลุกให้เร็วนะหิน”
ธนนท์เดินเข้ามาพอดี เขาเห็นภาพกัทลียื่นมือไปตบไหล่หิรัญ
เบา ๆ ดวงตาของเธอไม่ได้แค่ให้กำลังใจ...แต่มันอ่อนโยนจนเกินกว่าคำว่า “คนเคยรัก”ธนนท์ยืนมองอยู่เงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขามา แต่แววตาของเขาเศร้าขึ้นเล็กน้อย...เพราะในที่สุด เขาก็เข้าใจ
ช่วงบ่ายปู่เหมและนางจันทร์หอมมาที่ฟาร์มเพราะได้ข่าวพายุดังกล่าว ชายสูงวัยทำท่าตกใจเมื่อบุตรชายบอกว่าจะขายรถหรูที่เคยหวงมาก
“จะขายทำไมหิน ถ้าทุนหมดก็เอาที่พ่อใหม่ได้ เรื่องพายุพ่อเข้าใจถ้ากู้แบงก์ แบงก์ก็ให้ใหม่ได้อยู่ดี”
“เอาไว้มันก็ไม่ได้ใช้ครับพ่อ ขายเถอะแล้วผมจะเอาเงินมาลงทุนทำฟาร์มใหม่อีกครั้ง ผมเคยรักมันมากแต่ตอนนี้ผมมีสิ่งที่รักมากกว่าแล้ว”
ปู่เหมมองตามสายตาลูกชาย เห็นหิรัญมองตรงไปยังสองแม่ลูกที่อยู่ในโรงครัวกับแม่ครัวและย่าจันทร์หอมก็เข้าใจ เขามองลูกชายด้วยสายตาแบบใหม่ สายตาที่ภูมิใจและดีใจว่าในที่สุด หิรัญก็ “รัก” เป็นและรักมากพอที่จะเสียสละอะไรให้ใครได้แล้ว
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั