แสงแดดอ่อนสาดส่องไปทั่วฟาร์มเมล่อนอีกครั้งในวันฟ้าเปิด พายุผ่านไปฟ้าย่อมสดใสและคราวนี้เป็นความสดใสที่หิรัญสามารถรู้สึกได้จริง
กัทลีก้าวลงจากรถพร้อมกล่องอาหารเช้าที่เตรียมมาให้ลูกและทีมงานในฟาร์ม เสียงหัวเราะเบาๆ ของน้องบัวที่วิ่งเล่นไล่จับแมวหน้าโรงเรือนทำให้หญิงสาวยิ้มออกโดยไม่รู้ตัว
หิรัญยืนอยู่กลางพื้นที่ที่แทบมองไม่ออกว่าเคยเสียหายอย่างหนัก เพียงไม่กี่วันหลังเหตุการณ์พายุถล่มตอนนี้มันกลายเป็นโรงเรือนใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม เขากำลังชี้ตำแหน่งให้คนงานตั้งเสาและผูกเชือกเหล็กโยงคานเตรียมรองรับต้นเมล่อนชุดใหม่
หลังเหตุการณ์พายุถล่ม ในทุกวันหยุดน้องบัวก็ขอมาหาพ่อแทบทุกวัน กัทลีเองมาช่วยงานในส่วนที่เธอทำได้เช่น การออกแบบครัวใหม่หรือช่วยหิรัญทำบัญชีรับ-จ่าย การเก็บเอกสารซื้อขายต่างๆ และด้วยความเป็นแม่ที่มีในตัวสูง เวลาไปไหนเจออะไรถูกไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้หรืออุปกรณ์ครัวหญิงสาวก็มักจะซื้อมาให้แม่ครัวของที่นี่ทำกับข้าวให้คนงาน
จนหิรัญต้องตั้งงบในส่วนนี้ให้เธอจัดการซึ่งในตอนแรกหญิงสาวไม่เห็นด้วย แต่ชายหนุ่มก็ขอร้องให้เธอช่วยวางระบบหากว่าเธอไม่ยุ่งงานหลักจนเกินไป
หิรัญเข้ามาล้างมือเพื่อเตรียมตัวพักกลางวัน หลังจากที่คนงานกินกันไปครบทุกคนแล้ว ชายหนุ่มมักจะรับประทานหลังจากคนงานอิ่มหมดแล้ว เพราะจะได้แน่ใจว่าอาหารที่ทำพอให้ทุกคนในฟาร์มได้รับประทาน และมีคุณภาพเพียงพอไม่ใช่ว่ามีแต่ผักแต่โปรตีนนิดเดียว
“วันนี้บ่ายมีของว่างอะไรไหมครับป้าไหม” ชายหนุ่มถามแม่ครัวที่กำลังเก็บล้างทำความสะอาดจานชาม
“มีค่ะ ป้าจะทำน้ำเต้าหู้คุณกล้วยเลยว่าจะทำเต้าฮวยฟรุตสลัดแจกคนงานไปกินที่บ้านกันด้วยค่ะ”
นางไหมภรรยาคนงานในฟาร์มที่หิรัญจ้างทั้งสามีภรรยาทำงานด้วยกันและพักในฟาร์มเหมือนกับชายหนุ่ม แต่บ้านพักของพวกเขาปลูกด้วยไม้อย่างง่ายๆ อยู่ด้านหลังฟาร์ม มีทางเข้าออกด้านหลังแยกจากด้านหน้า
แต่หิรัญก็อนุญาตให้แกมาใช้ครัวทำอาหารในวันหยุดได้ ไม่ได้หวงอะไรซึ่งแกก็ตอบแทนด้วยการทำเผื่อให้ชายหนุ่มและครอบครัวไปด้วยเลย รวมถึงเก็บล้างให้แม้จะไม่ใช่วันทำงานของแก
หิรัญพยักหน้า “ดีเลยงั้นให้คนออกไปซื้อปาท่องโก๋ไว้ด้วยสิป้า เดี๋ยวให้มาเอาเงินที่ผม”
“ไม่ต้องค่ะคุณ คุณกล้วยสั่งพ่อค้าที่ตลาดนัดไว้แล้วว่าให้เอาปาท่องโก๋มาส่งที่นี่ตอนบ่ายสาม” นางไหมตอบและถามต่อ
“คุณหินจะกินข้าวเลยไหมคะ ป้าจัดสำรับให้”
“ไม่เป็นไรฮะป้า เดี๋ยวผมกินพร้อมกับกล้วยก็ได้” เขาตอบง่ายๆ พลางตักข้าวใส่จานไปนั่งโต๊ะเดียวกับกัทลี
“คุณจะทำเต้าฮวยฟรุตสลัดเหรอ ทำเผื่อไปฝากให้พ่อแม่ด้วยได้ไหมกล้วยจะทำเยอะหรือเปล่า” ชายหนุ่มถาม
“ฉันทำเผื่อปู่กับย่าน้องบัวอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เผื่อคุณ”
กัทลีตอบพลางวางถ้วยแกงเลียงกุ้งสดและไข่เจียววางบนโต๊ะ หิรัญจึงลุกไปช่วยเธอยกมาวาง
“อ้าว... ทำไมไม่เผื่อให้ผมด้วยล่ะ ผมก็กินเป็นนะ” ชายหนุ่มถามเป็นทำนองพูดเล่น ทำให้กัทลีมองเขาอย่างแปลกใจ
“ฉันนึกว่าคุณไม่กินน้ำเต้าหู้ หรือพวกเต้าหู้อะไรแบบนี้ซะอีก แต่ไม่เป็นไรหรอก ทำเกินเยอะอยู่แล้ว” กัทลีตอบตามตรง
“หัดกินเป็นแล้ว ตั้งแต่มาอยู่นี่ผมกินง่ายขึ้นเยอะเลย”
หิรัญตอบปนหัวเราะและนั่นก็คือความจริง หนุ่มเจ้าสำอาง ผู้ชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อคนนั้นไม่มีอีกแล้ว
“กล้วย... มาช่วยดูหน่อยสิ ตรงนี้จะปลูกกล้วยกัทลีตามคำสั่งเจ้าหนูบัวเธอได้ไหม”
กินข้าวเสร็จเขาก็เริ่มทำงานช่วงบ่ายต่อ คือการปลูกกล้วยกัทลีตามคำขอของน้องบัว
ชายหนุ่มตะโกนเรียกกัทลีจากอีกฝั่ง พร้อมชูต้นกล้วยประดับที่เพิ่งไปหาได้จากตลาดนัดต้นไม้
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ มองต้นกล้วยกัทลีในมือชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจ “คุณหาจนเจอเลยเหรอ”
“เจอสิ ก็ลูกสั่งมาแบบนี้ พ่อก็ต้องจัดให้เต็มที่”
หิรัญพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะหันไปพูดกับน้องบัวที่กำลังช่วยคนงานรดน้ำต้นกล้า
“น้องบัวลูก มาดูต้นกล้วยกัทลีของหนูเร็ว”
เด็กหญิงรีบวิ่งเข้ามาหา ตาโตเป็นประกายเมื่อเห็นต้นไม้จริงตรงหน้า “พ่อปลูกไว้ตรงกลางเลยนะคะ หนูจะดูแลต้นนี้เอง!”
บรรยากาศในฟาร์มกลับมาเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง หิรัญและน้องบัวช่วยกันขุดหลุดปลูกกล้วยกัทลี ส่วนคนงานก็เริ่มเพาะเมล็ดเมล่อนชุดใหม่ในถาดเพาะอย่างเป็นระเบียบ
และตอนนี้โรงเรือนหลังที่สอง สาม สี่และห้าก็ใกล้แล้วเสร็จตามโรงที่หนึ่ง และทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยใกล้เคียงกับเวลาที่ต้องทยอยย้ายต้นกล้าเข้าสู่แปลงจริง
จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปจากวันที่ย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกจริง น้องบัวก็ได้กลับมาช่วยพ่อผูกเชือกโยงต้นเมล่อนเข้ากับคานคราวนี้เธอทำได้แบบที่พ่อไม่ต้องสอน
จนถึงวันที่ต้นเมล่อนชุดใหม่ออกดอกและติดผล มือเล็กๆ ของเธอจับเชือกอย่างเบามือขณะมองดูผลเล็กๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง
หิรัญมองภาพลูกสาวอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันไปสบตากัทลีที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันมาก แต่เพียงแค่การยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกดี
แดดบ่ายอ่อนแสงลามผ่านร่มไม้ใหญ่หน้าฟาร์ม เมื่อต้นเมล่อนชุดใหม่แข็งแรงพอจะยืนต้นได้แล้ว ฟาร์มก็เริ่มมีรายได้จากพืชผักระยะสั้นชนิดอื่นที่หิรัญปลูกเพื่อให้มีรายได้หมุนเวียนตลอดปี
เขานำผักปลอดสารพิษไปขายที่ตลาดนัดของนางจันทร์หอมที่มีหลายแห่ง เพราะว่าผลผลิตยังไม่มากพอที่จะส่งขายตลาดใหญ่ที่กรุงเทพฯ และตัวเขาเองก็พอใจที่จะทำเพียงเท่านี้ไปก่อนเพื่อไม่ให้สเกลงานใหญ่เกินไปจนดูแลยาก เมื่อมีรายรับหิรัญแบ่งรายได้บางส่วนไปเป็นกองกลางให้กับทีมงาน ฟื้นฟูแรงใจของทุกคนให้กลับมาเต็มร้อย
ช่วงสายวันหนึ่งที่บรรยากาศเงียบสงบ ธนนท์ขับรถมาจอดที่ฟาร์มอย่างตั้งใจ เขารออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นกัทลีเดินออกมาจากโรงครัวพร้อมสมุดจดในมือ
“พี่นนท์มีธุระอะไรกับกล้วยรึเปล่าคะ หรืออยากมาชมฟาร์มเฉยๆ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นเขามารออยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านไม้เล็ก
“พี่ขอเวลากล้วยสักสิบนาทีได้ไหมครับ” เขาถามน้ำเสียงสุภาพเช่นเคยเสมอต้นเสมอปลาย
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะพาเขาเดินเลี่ยงไปที่มุมสงบของฟาร์ม ตรงนั้นมีชุดม้านั่งหินอ่อนเหมาะกับเวลาแดดร่มลมตก
“พี่เห็นกล้วยอยู่ที่นี่ในเช้าวันหลังจากที่พายุเข้า พี่ก็เลยรู้ว่าเรื่องที่พี่เคยถามกล้วย ถึงถามซ้ำคำตอบของกล้วยก็คงไม่เปลี่ยน” ธนนท์เริ่ม
“ขอบคุณพี่นนท์นะคะที่เข้าใจ”
กัทลียิ้มแบบรักษาน้ำใจ เธอเข้าใจความรู้สึกของเขา แต่เรื่องนี้แม้จะไม่มีหิรัญเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตอบรับความรู้สึกของเขาได้หรือไม่
“ตอนนี้พี่อยากพูดแค่เรื่องเดียวคือความรู้สึกของพี่ กล้วยไม่จำเป็นต้องตอบไม่ต้องให้สัญญาอะไรทั้งนั้น แค่รับฟังว่าความหวังดีหรือความรู้สึกดีๆ ที่พี่เคยมีให้กล้วย มันก็ยังจะเป็นแบบนั้นเสมอ”
หญิงสาวกะพริบตา
“พี่ชอบกล้วยตั้งแต่วันที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ แต่พี่จะพยายามจัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้แล้วเป็นพี่ชายที่ดี และถ้าวันไหนกล้วยมีปัญหา มีเรื่องอยากปรึกษาพี่ก็ยังพร้อมทำหน้าที่นั้นโดยที่กล้วยไม่ต้องตอบแทนอะไรพี่เลย”
“พี่ธนนท์” กัทลีเรียกชื่อเขาเบาๆ อย่างสะเทือนใจ หากแต่ชายหนุ่มไม่รอคำตอบเขาถอนใจแล้วพูดต่อ
“พี่อยากบอกแค่นี้ ขอให้กล้วยมีความสุขมากๆ นะครับ”
ธนนท์ลุกขึ้น เขาไม่รอคำตอบใดจากเธออีกเพียงแค่โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปอย่างสงบ
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั