“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก”
นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น
“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ”
แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”
หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด
“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่”
“กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ
“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ
“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไม่คิดจะกลับไปดูดำดูดีพี่น้องเลยหรือไง”
“แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราตัดขาดกันแล้วหลังจากที่แม่เอาฉันมาทิ้งไว้ที่บ้านพ่อน้องบัวน่ะ”
“ก็มึงหย่ากับมันแล้วไม่ใช่เหรอ นี่กูอุตส่าห์ไม่ถือสาหาความอะไร เรื่องเก่าๆ ที่เคยทำงามหน้าไว้ก็คิดว่าจะลืมๆ ไปแล้วรับพวกมึงกลับเข้าบ้านไม่งั้นมึงกับลูกก็จะหัวเดียวกระเทียมลีบนะอีกล้วย” มารดาขึ้นกูขึ้นมึง
“แม่ไม่ต้องมาหวังดีกับฉันหรอกว่าจะหัวเดียวกระเทียมลีบไหม ก็เป็นมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ก่อนฉันท้องอีก เอาเวลาไปหาคนช่วยลูกชายแม่เถอะ” กัทลีว่าแล้วหันหลังจะกลับเข้าบ้านไม่แม้แต่จะถามว่ามารดาจะเอาเงินไปทำไม ก็คงไม่พ้นเอาไปตามล้างตามเช็ดแต่ละสิ่งที่พี่ชายทำ ไม่ว่าจะเล่นพนัน ติดยา ลักเล็กขโมยน้อยจนเป็นคดีบ่อยๆ
“อีกล้วย มึงจะไปไหนกลับมาคุยกับกูก่อน” นางกินรีตามไปคว้าเส้นผมของกัทลีดึงไว้จนหญิงสาวเซกลับมา ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของเด็กหญิงบัวชมพู
“ปล่อยแม่หนูเดี๋ยวนี้”
เด็กหญิงตรงเข้าดึงมือยายให้ปล่อยจากผมของแม่เธอ จนนางกินรีจะหันมาผลักเด็กออกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อแขนนางถูกคว้าไว้
“ปล่อยกล้วยกับลูกผมเดี๋ยวนี้” หิรัญเพิ่งมาถึงเขารีบจอดรถเมื่อเห็นความวุ่นวายที่หน้าบ้านของกัทลี
ชายหนุ่มจับมือของหญิงวัยกลางคนออก ออกแรงกดจนนางยอมปล่อยเส้นผมยาวสลวยของกัทลี “กล้วยพาลูกเข้าบ้านไป ผมจัดการเอง”
ไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มพูดซ้ำ เมื่อเป็นอิสระจากมารดากัทลีรีบดึงลูกสาวเข้าบ้านทันที หญิงสาวดันตัวลูกเข้าบ้านและลงกลอนประตูแน่นหนา ท่ามกลางสายตาของเด็กหญิงที่ยังคงมองเรื่องราวด้านนอกสลับกับมองแม่ไปมา
“แม่ขา คุณลุงคนนั้นจะโดนคุณยายตีไหมคะ”
กัทลีมองตามสายตาลูก เห็นเหมือนกันว่านางกินรีเบนเป้าหมายไปหาหิรัญแทน
“คงไม่หรอกค่ะลูก” คนในครอบครัวเธอไม่ว่าจะมารดาหรือพี่ชายต่างก็ไม่เคยกล้าลงไม้ลงมือกับคนอื่น มีแต่เธอนี่ล่ะที่โดนมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต หญิงสาวมองไปยังด้านนอกที่หิรัญกับมารดาของเธอคุยกันอยู่ หลังจากชายหนุ่มพูดอะไรสักอย่างครู่เดียวเท่านั้นเธอก็เห็นว่านางกินรีร้องโวยวายดังลั่น
จากนั้นหิรัญกดโทรศัพท์ทำท่าจะโทรออกหาใคร นางกินรีเห็นดังนั้นก็ตกใจและจึงรีบกลับไปขึ้นรถขับขี่ออกไปทันที
กัทลีนึกสงสัยว่าหิรัญพูดอะไรทำไมแม่ของตัวเองจึงมีอาการเช่นนั้น หญิงสาวจึงสั่งให้ลูกอยู่ในบ้านและตัวเองเปิดประตูออกไป
“คุณพูดอะไรกับแม่ฉัน”
หิรัญหันกลับมามองกัทลีหลังจากที่ดูจนแน่ใจว่านางกินรีลับสายตาไปแล้ว “ไม่มีอะไร ก็แค่บอกว่าสัญญาที่แม่คุณเซ็นไว้กับพ่อผมมันยังอยู่ ถ้าไม่เลิกยุ่งกับคุณอีกไม่เลิกมาไถเงินเราจะฟ้องจริงๆ”
กัทลีผ่อนลมหายใจลงอย่างโล่งอกและเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วคุณมาทำไม”
หิรัญชะงัก คล้ายว่าบรรยากาศเกิดเดดแอร์กะทันหันกว่าที่เขาจะเรียบเรียงคำพูดได้
“ผมย้อนไปอ่านไลน์ของคุณหมดแล้ว ผมบอกได้แค่ว่าผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ไม่มีอะไรแก้ตัวเลย”
คำว่าไม่มีอะไรแก้ตัวนั่นคือเรื่องจริงที่หิรัญไม่สามารถทำได้จริงๆ เขามองย้อนไปในอดีตเมื่อเกือบแปดปีก่อน จากความเบื่อกัทลีที่เอาแต่โทรมาเช็กมาจิกเขาจึงไม่รับสายเธอ แต่ลืมคิดไปว่านั่นเพราะเธอไม่มีใครให้โทรหา
ความคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองทำให้ชายหนุ่มลืมใส่ใจว่าตัวเองมีลูกเล็กและแม่ของลูกก็รอให้เขากลับไปหา นานวันเข้าก็กลายเป็นการเลื่อนธุระของลูกเมียเป็นสิ่งที่เอาไว้ก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยไปหาก็ได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มที่เขาลืมไปจริงๆ ในที่สุดว่ามีเด็กผู้หญิงคนนี้และแม่ของเธอที่ยังมีตัวตนอยู่
กัทลีมองท่าทางสำนึกผิดนั้นอย่างเชื่อไม่ลง คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาได้ตั้งหลายปีแบบหิรัญ จู่ๆ จะมาบอกว่าขอโทษ มันไม่ง่ายไปหรือสำหรับสิ่งที่เขาละเลยลูกมาตลอดตั้งแต่แกเกิด ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเธอเองกัทลีถือว่าเมื่อเราหย่ากันไปแล้วเธอก็ไม่อยากคิดและพูดถึงอีก
“ถ้าคุณอยากขอโทษฉัน ฉันก็จะรับมันไว้” เธอมองสบตาด้วยความว่างเปล่าและพูดต่อ “แต่ในส่วนของน้องบัวถ้าคุณอยากขอโทษแก ฉันตอบแทนลูกไม่ได้ว่าแกจะว่ายังไง”
“กล้วย ผมไม่ได้ขอโทษส่งๆ เรื่องของเราจริงๆ ผมก็ไม่เคยคิดว่าเราจะต้องหย่ากัน” หิรัญพูดแต่กัทลีแว้ดขึ้นก่อน
“โอ๊ย... ช่วยคิดหน่อยเถอะ ถ้าเป็นคนทำอะไรไม่คิดมาตลอดคุณก็ควรคิดได้แล้วนะหิน แต่ถึงคุณไม่คิดแต่ฉันคิด คิดมาตลอดแปดปี ใหม่ๆ ฉันแทบจะเหมือนคนบ้า ท้อง ดร็อปเรียนเพื่อคลอดลูก คลอดแล้วฉันก็เป็นซึมเศร้าต่อ มีผัวมันก็เอาฉันมาทิ้งไว้กับพ่อแม่แล้วมันก็ไปมีชีวิตใหม่ โทรไปผัวก็ไม่อยากคุยด้วยหนักๆ เข้ามันก็บล็อกฉัน ฉันได้แต่ถามตัวเองว่าฉันทำอะไรผิดทำไมคุณถึงทิ้งฉันกับลูกไว้ข้างหลังแบบนี้ ผ่านไปอีกสักพักลูกเข้าโรงเรียนฉันถึงคิดได้ว่าฉันยังมีลูกที่ต้องเลี้ยง ฉันต้องสร้างอนาคตของตัวเอง ฉันต้องเรียนจบต้องมีอาชีพ ช่างหัวพ่อมันเถอะลูกฉันฉันเลี้ยงได้ ผ่านมาจนถึงวันนี้ฉันก็ไม่อยากรู้เรื่องของคุณอีกแล้วหิน เกือบสิบปีมันผ่านมานานมากเกินไปแล้ว” ถ้าไม่ติดว่าคิดว่าน้องบัวแอบมองอยู่กัทลีคงต่อยหน้าเขาสักทีอย่างอดไม่ไหว แต่เธอไม่อยากให้ลูกเห็นตัวเองในมุมแบบนั้นจึงสะกดใจไว้
“ผมเข้าใจ กล้วยอยากหย่าผมก็เลยไม่ขัด แต่เรื่องลูกผมขอแก้ตัวได้ไหม ผมอยากเป็นพ่อที่ดีของน้องบัวผมอยากปรับปรุงตัวเอง แล้วก็อยากแบ่งเบาภาระคุณด้วยไง” หิรัญต่อรอง
“ก่อนจะอยากเป็นพ่อที่ดี เป็นลูกที่ดีให้ได้ก่อนไหมคุณ” กัทลีมองคนตรงหน้าด้วยสายตาดูถูกชัดเจนจนหิรัญหน้าชาแต่ก็เถียงเธอไม่ได้เลยสักคำ
“แม่ต้องย้ายที่ทำงานพรุ่งนี้แต่โรงเรียนหนูยังไม่ปิดเทอม หนูไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะลูก แล้ววันหยุดแม่จะมารับไปนอนค้างกับแม่” “ค่ะแม่ หนูอยู่กับปู่ย่าได้แต่แม่อย่าลืมมารับหนูเย็นวันศุกร์นะคะ” เด็กหญิงกำชับ“แม่ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ใครจะลืมลูกทั้งคนเนอะ” ใครจะลืม ถ้าไม่ใช่อดีตสามี ‘ไอ้บ้าหิน’ หญิงสาวอดคิดด่าฝ่ายนั้นในใจไม่ได้“โอเค นอนนะคะลูก คืนนี้แม่ขอนอนกอดหนูหน่อยนะคะ พรุ่งนี้แม่ต้องไปแล้ว” หญิงสาวเอื้อมมือไปหรี่ไฟเอนตัวนอนกอดเด็กหญิงไว้หลวมๆ ยังไม่ทันได้ห่างกันจริงๆ เธอก็ใจจะขาด แล้วต้องไปอยู่โน่นคนเดียวเป็นเดือนเธอจะทนไหวไหม กัทลีถามตัวเองเช้าวันต่อมากลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัทลีขนของย้ายบ้านโดยที่เธอจะขนของที่จำเป็นไปทั้งหมดทีเดียว ยกเว้นของใช้ส่วนตัวของน้องบัวที่จะขนไปไว้ที่บ้านปู่เหมย่าจันทร์ชั่วคราว ในขณะที่เริ่มขนของขึ้นท้ายรถกระบะของวาตะที่ชายหนุ่มนำรถที่บ้านมาช่วยย้าย หิรัญก็ขับรถปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้าน“ให้ไอ้หินมาช่วยขนของด้วยเหรอกล้วย” สไบนางถามเพื่อน“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะย้าย” กัทลีตอบพลางเดินไปหาแขกที่ไม่ได้เชิญว่าเขามาทำไม“คุณมาทำอะไรหิน”
น้องบัววิ่งเข้าไปหลบหลังแม่แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามามองคนเป็นพ่อ หลังจากที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้วเธอจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ยังมีท่าทีระแวงอยู่หิรัญย่อตัวลงนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองเพื่อให้ใบหน้าตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิง “น้องบัวคะพ่อมาหาค่ะลูก หนูออกมาหาพ่อได้ไหมคะ” “พ่อ...” เด็กหญิงทวนคำ “พ่อมาทำไมคะ” เพราะว่าเธอจำได้ว่าคนที่แม่เคยแนะนำว่าเป็น “คุณพ่อ” ช่วยเธอและแม่ไม่ให้คุณยายตีเมื่อเช้าวันนี้ เด็กหญิงจึงลดท่าทีไม่เป็นมิตรลงไปบ้างถ้าเทียบกับปฏิกิริยาของเธอในวันวาน“พ่อมาหาหนูไงคะลูก” หิรัญใจชื้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงยอมพูดกับเขาบ้าง ดีกว่าท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดแบบเมื่อวาน“น้องบัวออกไปบอกลุงลมให้ย่างหมูได้แล้วลูก เดี๋ยวแม่ตามออกไปนะคะ” กัทลีออกคำสั่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ทำให้เด็กหญิงทำท่านึกออกว่าเธอกำลังจะออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของแม่ “ค่ะแม่” เมื่อมารดาพยักหน้าให้เด็กหญิงก็เลยเลิกสนใจ ‘คุณพ่อ’ และวิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วกัทลีมองตามหลังลูกจากนั้นกลับมามองอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิม “เรื่องเมื่อเช้าขอบคุณมากแต่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักทีฮะหิน” “วันนี้กล้วยจะฉลองกับเพื่อนเก่าไม่ใช่
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วมาจอดไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ “ใครมา อ้าวไอ้ลม ไอ้จิณพวกมันมากันทำไม” หิรัญมองเพื่อนเก่าสองคนที่ลงจากรถ“อ้าวไอ้หินมันอยู่ด้วยเหรอวะมึง” วาตะกระซิบถามจิรัช“กูก็มาพร้อมมึง แล้วก็เห็นมันยืนอยู่พร้อมกันกูจะรู้ไหมล่ะ” จิรัชตอบจากนั้นเขาทักทายหิรัญและเจ้าของบ้านสาว“ว่าไงวะมึงไอ้หิน กูได้ข่าวว่ามึงจะกลับมาอยู่บ้านถาวรเลยเหรอ” “เออว่ะ ตอนนี้ทางโน้นปิดงานหมดกูเลยว่าจะมาหาอะไรทำที่บ้าน” หิรัญเดินไปหาเพื่อนสองคนที่เขาเคยสนิทและมาห่างกันช่วงไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี“ละมึงมาทำไมกัน ขนอะไรกันมาเยอะแยะ” ชายหนุ่มมองข้าวของในมือของวาตะที่ส่งมาให้จิรัชและตน เขารับมาช่วยถืออย่างงงๆ และพบว่ามันเป็นพวกน้ำแข็ง เครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเองยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะตอบ กัทลีก็แทรกขึ้น “แล้วอีกสองสาวล่ะ ยังไม่มาเหรอ” “วันนี้วันเสาร์วุ้นมันไปเคลียร์งานครึ่งวันบีเลยจะไปรับแล้วจะมาพร้อมกัน เดี๋ยวคงมาถึงตะกี้มันโทรมาถามว่าฉันสองคนซื้ออะไรมาแล้วบ้าง” วาตะเป็นคนตอบพลางเดินนำเข้าบ้านเปิดประตูบ้านอย่างคุ้นเคย ส่งเสียงทักทายสาวน้อยวัยเจ
“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก” นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ” แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่” “กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไ
กัทลีมาถึงบ้านแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มารอ หิรัญนั่นเองเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัยว่าเขามาที่บ้านนี้ทำไมกัน“กล้วย น้องบัว” ชายหนุ่มลุกจากเทอเรซหน้าบ้านทันที เขาว่าเขาตามเธอออกมาจากบ้านเวลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบนาที แต่มาถึงไม่เจอใครและต้องมานั่งรออยู่เกือบชั่วโมงแล้ว“มาที่นี่มีอะไรเหรอหิน” น้ำเสียงของกัทลีราบเรียบจนหิรัญเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เขากลับมาที่นี่อดีตภรรยาไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนหรือโกรธเขาเลยสักครั้ง ต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อนลิบลับที่หลังจากคลอดน้องบัว กัทลีมักจะโทรหาเขาในตอนค่ำๆ หิรัญในตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเทอมสองเป็นช่วงที่ชีวิตในรั้วมหาลัยเริ่มลงตัว มีสังคมใหม่ มีกิจวัตรใหม่ แรกๆ เขาก็รับสายของเธอดี แต่ช่วงหลังหิรัญเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทในคณะซึ่งส่วนมากก็เป็นการเที่ยวกลางคืน ทำให้เขาเริ่มไม่อยากรับสายกัทลีถึงรับก็พูดด้วยความเร่งรีบจนเธอเริ่มระแวงและหาเรื่องว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อถูกโวยวายชวนทะเลาะบ่อยๆ เขาเริ่มไม่รับสาย และยกเลิกการกลับบ้าน และจนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย“เอ่อ ผมมาหาน้อง
“ไปค่ะ หนูจะเอาขนมอะไรแม่ให้เลือกได้สองอย่าง” กัทลีจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อปากทางเข้าบ้านตามที่ลูกสาวร้องขอ“ค่ะแม่ แม่อยากกินอะไรไหมคะ” น้องบัวหันมาถาม“เรามีกับข้าวที่คุณย่าทำมาให้เยอะแล้วนะลูก ขนมก็มีไม่ใช่เหรอคะ”เด็กน้อยพยักหน้าตาม “จริงด้วยค่ะ งั้นเอาขนมไปไว้เผื่อกินพรุ่งนี้นะคะแม่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เผื่อไม่ได้ออกมา” กัทลีนึกขำในความ “ยังไงก็จะเอา” ให้ได้ของลูกสาว กระนั้นเธอก็อนุญาตเพราะคิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ลูกสาวจะได้ไม่รบเร้าให้พาออกมาซื้อของข้างนอกอีกใช้เวลาไม่นานสองแม่ลูกก็มาต่อแถวรอคิดเงิน กัทลีมองเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายชายหญิงคิวก่อนหน้าตนเองสามคิว ท่าทางบอกชัดว่าน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าเพื่อน“ตัวเองจะยื่นพอร์ตที่ไหน เรายื่นที่เดียวกันนะ จะได้ไปเรียนที่เดียวกัน” เด็กหนุ่มพูด“เชียงใหม่ดีไหมเขาอยากไปเรียนเชียงใหม่ ไกลดี” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “พูดเล่นน่ะ เราว่าไปกรุงเทพฯ ดีกว่า คณะ....น่าสนใจหรือตัวคิดยังไง” “ก็ดีเหมือนกัน คะแนนเขาน่าจะถึงเราเข้าวิศวะกันนะ ถ้าได้เข้าที่เดียวกันจะได้อยู่หอด้วยกัน”