LOGIN“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก”
นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น
“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ”
แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”
หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด
“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่”
“กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ
“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ
“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไม่คิดจะกลับไปดูดำดูดีพี่น้องเลยหรือไง”
“แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราตัดขาดกันแล้วหลังจากที่แม่เอาฉันมาทิ้งไว้ที่บ้านพ่อน้องบัวน่ะ”
“ก็มึงหย่ากับมันแล้วไม่ใช่เหรอ นี่กูอุตส่าห์ไม่ถือสาหาความอะไร เรื่องเก่าๆ ที่เคยทำงามหน้าไว้ก็คิดว่าจะลืมๆ ไปแล้วรับพวกมึงกลับเข้าบ้านไม่งั้นมึงกับลูกก็จะหัวเดียวกระเทียมลีบนะอีกล้วย” มารดาขึ้นกูขึ้นมึง
“แม่ไม่ต้องมาหวังดีกับฉันหรอกว่าจะหัวเดียวกระเทียมลีบไหม ก็เป็นมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ก่อนฉันท้องอีก เอาเวลาไปหาคนช่วยลูกชายแม่เถอะ” กัทลีว่าแล้วหันหลังจะกลับเข้าบ้านไม่แม้แต่จะถามว่ามารดาจะเอาเงินไปทำไม ก็คงไม่พ้นเอาไปตามล้างตามเช็ดแต่ละสิ่งที่พี่ชายทำ ไม่ว่าจะเล่นพนัน ติดยา ลักเล็กขโมยน้อยจนเป็นคดีบ่อยๆ
“อีกล้วย มึงจะไปไหนกลับมาคุยกับกูก่อน” นางกินรีตามไปคว้าเส้นผมของกัทลีดึงไว้จนหญิงสาวเซกลับมา ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของเด็กหญิงบัวชมพู
“ปล่อยแม่หนูเดี๋ยวนี้”
เด็กหญิงตรงเข้าดึงมือยายให้ปล่อยจากผมของแม่เธอ จนนางกินรีจะหันมาผลักเด็กออกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อแขนนางถูกคว้าไว้
“ปล่อยกล้วยกับลูกผมเดี๋ยวนี้” หิรัญเพิ่งมาถึงเขารีบจอดรถเมื่อเห็นความวุ่นวายที่หน้าบ้านของกัทลี
ชายหนุ่มจับมือของหญิงวัยกลางคนออก ออกแรงกดจนนางยอมปล่อยเส้นผมยาวสลวยของกัทลี “กล้วยพาลูกเข้าบ้านไป ผมจัดการเอง”
ไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มพูดซ้ำ เมื่อเป็นอิสระจากมารดากัทลีรีบดึงลูกสาวเข้าบ้านทันที หญิงสาวดันตัวลูกเข้าบ้านและลงกลอนประตูแน่นหนา ท่ามกลางสายตาของเด็กหญิงที่ยังคงมองเรื่องราวด้านนอกสลับกับมองแม่ไปมา
“แม่ขา คุณลุงคนนั้นจะโดนคุณยายตีไหมคะ”
กัทลีมองตามสายตาลูก เห็นเหมือนกันว่านางกินรีเบนเป้าหมายไปหาหิรัญแทน
“คงไม่หรอกค่ะลูก” คนในครอบครัวเธอไม่ว่าจะมารดาหรือพี่ชายต่างก็ไม่เคยกล้าลงไม้ลงมือกับคนอื่น มีแต่เธอนี่ล่ะที่โดนมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต หญิงสาวมองไปยังด้านนอกที่หิรัญกับมารดาของเธอคุยกันอยู่ หลังจากชายหนุ่มพูดอะไรสักอย่างครู่เดียวเท่านั้นเธอก็เห็นว่านางกินรีร้องโวยวายดังลั่น
จากนั้นหิรัญกดโทรศัพท์ทำท่าจะโทรออกหาใคร นางกินรีเห็นดังนั้นก็ตกใจและจึงรีบกลับไปขึ้นรถขับขี่ออกไปทันที
กัทลีนึกสงสัยว่าหิรัญพูดอะไรทำไมแม่ของตัวเองจึงมีอาการเช่นนั้น หญิงสาวจึงสั่งให้ลูกอยู่ในบ้านและตัวเองเปิดประตูออกไป
“คุณพูดอะไรกับแม่ฉัน”
หิรัญหันกลับมามองกัทลีหลังจากที่ดูจนแน่ใจว่านางกินรีลับสายตาไปแล้ว “ไม่มีอะไร ก็แค่บอกว่าสัญญาที่แม่คุณเซ็นไว้กับพ่อผมมันยังอยู่ ถ้าไม่เลิกยุ่งกับคุณอีกไม่เลิกมาไถเงินเราจะฟ้องจริงๆ”
กัทลีผ่อนลมหายใจลงอย่างโล่งอกและเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วคุณมาทำไม”
หิรัญชะงัก คล้ายว่าบรรยากาศเกิดเดดแอร์กะทันหันกว่าที่เขาจะเรียบเรียงคำพูดได้
“ผมย้อนไปอ่านไลน์ของคุณหมดแล้ว ผมบอกได้แค่ว่าผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ไม่มีอะไรแก้ตัวเลย”
คำว่าไม่มีอะไรแก้ตัวนั่นคือเรื่องจริงที่หิรัญไม่สามารถทำได้จริงๆ เขามองย้อนไปในอดีตเมื่อเกือบแปดปีก่อน จากความเบื่อกัทลีที่เอาแต่โทรมาเช็กมาจิกเขาจึงไม่รับสายเธอ แต่ลืมคิดไปว่านั่นเพราะเธอไม่มีใครให้โทรหา
ความคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองทำให้ชายหนุ่มลืมใส่ใจว่าตัวเองมีลูกเล็กและแม่ของลูกก็รอให้เขากลับไปหา นานวันเข้าก็กลายเป็นการเลื่อนธุระของลูกเมียเป็นสิ่งที่เอาไว้ก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยไปหาก็ได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มที่เขาลืมไปจริงๆ ในที่สุดว่ามีเด็กผู้หญิงคนนี้และแม่ของเธอที่ยังมีตัวตนอยู่
กัทลีมองท่าทางสำนึกผิดนั้นอย่างเชื่อไม่ลง คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาได้ตั้งหลายปีแบบหิรัญ จู่ๆ จะมาบอกว่าขอโทษ มันไม่ง่ายไปหรือสำหรับสิ่งที่เขาละเลยลูกมาตลอดตั้งแต่แกเกิด ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเธอเองกัทลีถือว่าเมื่อเราหย่ากันไปแล้วเธอก็ไม่อยากคิดและพูดถึงอีก
“ถ้าคุณอยากขอโทษฉัน ฉันก็จะรับมันไว้” เธอมองสบตาด้วยความว่างเปล่าและพูดต่อ “แต่ในส่วนของน้องบัวถ้าคุณอยากขอโทษแก ฉันตอบแทนลูกไม่ได้ว่าแกจะว่ายังไง”
“กล้วย ผมไม่ได้ขอโทษส่งๆ เรื่องของเราจริงๆ ผมก็ไม่เคยคิดว่าเราจะต้องหย่ากัน” หิรัญพูดแต่กัทลีแว้ดขึ้นก่อน
“โอ๊ย... ช่วยคิดหน่อยเถอะ ถ้าเป็นคนทำอะไรไม่คิดมาตลอดคุณก็ควรคิดได้แล้วนะหิน แต่ถึงคุณไม่คิดแต่ฉันคิด คิดมาตลอดแปดปี ใหม่ๆ ฉันแทบจะเหมือนคนบ้า ท้อง ดร็อปเรียนเพื่อคลอดลูก คลอดแล้วฉันก็เป็นซึมเศร้าต่อ มีผัวมันก็เอาฉันมาทิ้งไว้กับพ่อแม่แล้วมันก็ไปมีชีวิตใหม่ โทรไปผัวก็ไม่อยากคุยด้วยหนักๆ เข้ามันก็บล็อกฉัน ฉันได้แต่ถามตัวเองว่าฉันทำอะไรผิดทำไมคุณถึงทิ้งฉันกับลูกไว้ข้างหลังแบบนี้ ผ่านไปอีกสักพักลูกเข้าโรงเรียนฉันถึงคิดได้ว่าฉันยังมีลูกที่ต้องเลี้ยง ฉันต้องสร้างอนาคตของตัวเอง ฉันต้องเรียนจบต้องมีอาชีพ ช่างหัวพ่อมันเถอะลูกฉันฉันเลี้ยงได้ ผ่านมาจนถึงวันนี้ฉันก็ไม่อยากรู้เรื่องของคุณอีกแล้วหิน เกือบสิบปีมันผ่านมานานมากเกินไปแล้ว” ถ้าไม่ติดว่าคิดว่าน้องบัวแอบมองอยู่กัทลีคงต่อยหน้าเขาสักทีอย่างอดไม่ไหว แต่เธอไม่อยากให้ลูกเห็นตัวเองในมุมแบบนั้นจึงสะกดใจไว้
“ผมเข้าใจ กล้วยอยากหย่าผมก็เลยไม่ขัด แต่เรื่องลูกผมขอแก้ตัวได้ไหม ผมอยากเป็นพ่อที่ดีของน้องบัวผมอยากปรับปรุงตัวเอง แล้วก็อยากแบ่งเบาภาระคุณด้วยไง” หิรัญต่อรอง
“ก่อนจะอยากเป็นพ่อที่ดี เป็นลูกที่ดีให้ได้ก่อนไหมคุณ” กัทลีมองคนตรงหน้าด้วยสายตาดูถูกชัดเจนจนหิรัญหน้าชาแต่ก็เถียงเธอไม่ได้เลยสักคำ
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั







![คนดีของเฮียมังกร [ผัวเอวดุ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)