ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วมาจอดไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่
“ใครมา อ้าวไอ้ลม ไอ้จิณพวกมันมากันทำไม” หิรัญมองเพื่อนเก่าสองคนที่ลงจากรถ
“อ้าวไอ้หินมันอยู่ด้วยเหรอวะมึง” วาตะกระซิบถามจิรัช
“กูก็มาพร้อมมึง แล้วก็เห็นมันยืนอยู่พร้อมกันกูจะรู้ไหมล่ะ” จิรัชตอบจากนั้นเขาทักทายหิรัญและเจ้าของบ้านสาว
“ว่าไงวะมึงไอ้หิน กูได้ข่าวว่ามึงจะกลับมาอยู่บ้านถาวรเลยเหรอ”
“เออว่ะ ตอนนี้ทางโน้นปิดงานหมดกูเลยว่าจะมาหาอะไรทำที่บ้าน” หิรัญเดินไปหาเพื่อนสองคนที่เขาเคยสนิทและมาห่างกันช่วงไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี
“ละมึงมาทำไมกัน ขนอะไรกันมาเยอะแยะ” ชายหนุ่มมองข้าวของในมือของวาตะที่ส่งมาให้จิรัชและตน เขารับมาช่วยถืออย่างงงๆ และพบว่ามันเป็นพวกน้ำแข็ง เครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเอง
ยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะตอบ กัทลีก็แทรกขึ้น “แล้วอีกสองสาวล่ะ ยังไม่มาเหรอ”
“วันนี้วันเสาร์วุ้นมันไปเคลียร์งานครึ่งวันบีเลยจะไปรับแล้วจะมาพร้อมกัน เดี๋ยวคงมาถึงตะกี้มันโทรมาถามว่าฉันสองคนซื้ออะไรมาแล้วบ้าง” วาตะเป็นคนตอบพลางเดินนำเข้าบ้านเปิดประตูบ้านอย่างคุ้นเคย ส่งเสียงทักทายสาวน้อยวัยเจ็ดขวบที่มองออกมาอย่างสนใจ
หิรัญมองตามกัทลีและวาตะที่เข้าไปในบ้านอย่างงงๆ เขาหันมาถามจิรัช “พวกมึงฉลองอะไรกัน วันก่อนเจอไอ้ลมไม่เห็นมันบอกกูสักคำ”
จิรัชหัวเราะเมื่อได้ยินคำถาม “วันก่อนที่เจอมึง วันนั้นมันก็คงไม่รู้หรอกว่ะ เพราะกล้วยเพิ่งชวนพวกกูมาฉลองความโสดที่หย่ากับมึงได้สำเร็จไง หลังจากวันที่มึงเจอมันน่ะ”
อะไรนะ ฉลองความโสดของกัทลีงั้นหรือ? หิรัญทวนในใจ นี่เขาเพิ่งรู้ว่าการหย่ากับเขา ในสายตาอดีตภรรยาเธอมองว่าเป็นสิ่งที่ควรฉลองดีใจงั้นสิ
บ่ายวันนั้นพวกเขาจัดโต๊ะสำหรับการทำอาหารประเภทปิ้งย่างที่สนามข้างตัวบ้าน สาวๆ ที่ตามมาสมทบคือวุ้นและบีช่วยกัทลีเตรียมของสด ส่วนสองหนุ่มจิณและลมช่วยกันจัดโต๊ะ ติดเตาและลากสายไฟมาด้านนอกเพื่อต่อกับหลอดไฟเพิ่มความสว่าง และจัดการเรื่องยากันยุงไฟฟ้า โดยมีหิรัญเสนอตัวอยู่ด้วยไม่ยอมกลับ
“โต๊ะตัวนี้มันโยกเยก ไอ้ลมมึงซ่อมทีดิ” จิรัชใช้เพื่อน
“เออว่ะ เห็นมันจะพังตั้งแต่คราวก่อนแล้ว ไอ้กล้วยมันคงยังไม่ได้ซ่อม” วาตะว่าแต่เขาทำสายไฟอยู่ยังไม่ว่างมาดูหิรัญจึงเสนอตัว
“กูทำให้ ซ่อมอะไรไหนกล่องเครื่องมือมีไหม”
จิรัชและวาตะมองหน้ากัน “ไม่รู้ บ้านนี้มีกล่องเครื่องมือไหม น่าจะไม่มีเพราะกล้วยมันอยู่กับลูกแค่สองคน ไม่มีพ่อบ้านก็งี้แหละ”
หิรัญรู้ว่าถูกเพื่อนว่ากระทบกระเทียบแต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองเพราะนั่นคือเรื่องจริงทั้งหมด เขาเดินไปดูเก้าอี้ที่พังและเดินเข้าบ้านไปถามหาอุปกรณ์กับกัทลีก่อนจะออกมาพร้อมกับกล่องเครื่องมือขนาดเล็ก
“มึงจะว่าอะไรกูก็ว่าไปเถอะ แต่ยังไงวันนี้กูไม่กลับ”
“ไอ้หิน กูเข้าใจนะว่ามึงอาจจะอยากเจอเพื่อนเก่า แต่มึงเข้าใจไหมว่าวันนี้มันเป็นงานกินฉลองที่กล้วยเขาหย่ากับมึงไง แล้วมึงจะมานั่งเป็นพระประธานเหรอ” จิรัชเหลืออด
“เออ แล้วไง พวกมึงก็เพื่อนเก่ากล้วย กูเองก็เพื่อนเหมือนกัน หย่ากันแล้วตอนนี้ไม่ได้เป็นผัวแต่กูก็ยังเป็นเพื่อนอยู่ เป็นพ่อของลูกด้วย”
“หน้าด้านว่ะมึง” วาตะว่าตรงๆ หิรัญเงยหน้ามองชายหนุ่มเม้มปากแน่น
“แล้วแต่มึงจะคิดเลยไอ้ลม เอาที่มึงสบายใจ”
“อะไรของแกฮะกล้วย ฉลองความโสดแต่ให้ผัวเก่ามาด้วยเหรอ” วุ้นหรือราณีเพื่อนในกลุ่มถามกัทลี หลังจากที่หิรัญเข้ามาถามหากล่องเครื่องมือช่างแล้วกลับออกไป
“เออ อะไรของแก สองคนนี้เล่นอะไรกัน หรือว่าหย่าการเมืองเฉยๆ แบบอีหินจะล้มละลายเลยหย่ากับเธอเพื่อไม่ให้ลูกเมียเดือดร้อนไปด้วยงี้ปะ” บีหรือสไบนางคิดไปอีกทาง
“มโนไปแล้วมั้งพวกเธอ เมื่อเช้าแม่ฉันมาน่ะจะมาขอเงินไปให้พี่ฉัน พอดีตานี่มาเขาเลยขู่แม่ไปว่าถ้าไม่เลิกยุ่งจะเอาสัญญาที่แม่เคยเซ็นไว้มาฟ้อง พอจบเรื่องจิณกับลมก็มาพอดีนายหินก็เลยยังไม่กลับ”
สองสาวได้ยินดังนั้นก็พอเข้าใจ “ก็ถือว่ายังพอมีความดีอยู่นะ เป็นพ่อเป็นผัวที่ยอดแย่ แต่ยังพอเป็นไม้กันหมาที่มีคุณภาพดีอยู่” ราณีเปรยทำให้สองสาวหัวเราะ
“แกนี่มันปากจัดจริง แต่ว่าเป็นไม้กันหมานี่อาจจะดีไปสำหรับไอ้หินรึเปล่า” สไบนางหัวเราะคิกคัก ทำให้กัทลีหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เธอจะขอตัว
“เดี๋ยวฉันขอไปดูน้องบัวก่อนนะว่าทำแบบฝึกหัดเสร็จยัง จะได้พาอาบน้ำลงมากินอะไร”
“เออๆ ไปเหอะ เดี๋ยวตรงนี้พวกฉันจัดการให้เอง” สองสาวรับคำกัทลีจึงผละออกไปดูลูกสาวในห้องนั่งเล่น
ซ่อมเก้าอี้เสร็จแล้ว งานด้านนอกไม่มีอะไรให้ทำอีกหิรัญจึงสำรวจรอบบ้านหลังเล็ก เขาจำได้ว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่ปู่ย่าเคยอยู่ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตไป พ่อแม่บอกว่าให้กัทลีมาอยู่ที่นี่ในปีก่อนเพราะคิดว่าเธออยากได้ความเป็นส่วนตัว ท่านจึงเลือกยกที่นี่ให้แม่ของหลานแทนการที่เธอจะออกไปหาที่อยู่เองจริงๆ
ชายหนุ่มไม่ได้ข้องใจเรื่องที่บิดาจะยกที่ดินหรือทรัพย์สินอะไรให้กัทลี แต่เริ่มสนใจว่าเธอน่าจะคิดเรื่องหย่ากับเขาตั้งแต่ตอนนั้น ไปๆ มาๆ เขาเริ่มลังเลว่าการที่ยอมหย่ากับหญิงสาวง่ายๆ นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือไม่
“กูนะกู แทนที่จะรั้งเขาไว้สักหน่อย แล้วตอนนี้น้องบัวจะมองพ่อยังไง”
เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้แคร์ที่กัทลีขอหย่า เราสองคนมาไกลและห่างกันเกินที่จะกลับไปใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาได้อีกแล้ว แต่ที่นึกเสียใจและอยากแก้ตัวก็คือเรื่องลูกเท่านั้น
เขาเดินกลับมาที่บริเวณงานกินเลี้ยงขนาดย่อมและพบว่าพวกเพื่อนๆ ต่างเริ่มหาที่นั่งของแต่ละคน มองเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าน้องบัวอาบน้ำแต่งตัวใหม่พร้อมออกมารับประทานอาหารร่วมกับเพื่อนๆ ของมารดาแล้วเช่นกัน ชายหนุ่มก้าวยาวๆ เข้าไปหาเด็กหญิงทันที
แต่เขายังไปไม่ทันถึงก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงมารดาของเธอพูดว่า
“ไปกันลูก เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราต้องย้ายบ้านกันแล้วนะคะ วันนี้ถือว่าพวกน้าๆ ลุงๆ เขาเลี้ยงส่งเราสองคนให้เลยละกัน”
“จะย้ายไปไหนกัน กล้วยจะพาลูกหนีผมไปไหนเหรอ” ไม่ได้ทันคิดอะไรเขารีบออกไปดักหน้าสองแม่ลูก ถามคำถามนั้นทันที
“แม่ต้องย้ายที่ทำงานพรุ่งนี้แต่โรงเรียนหนูยังไม่ปิดเทอม หนูไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะคะลูก แล้ววันหยุดแม่จะมารับไปนอนค้างกับแม่” “ค่ะแม่ หนูอยู่กับปู่ย่าได้แต่แม่อย่าลืมมารับหนูเย็นวันศุกร์นะคะ” เด็กหญิงกำชับ“แม่ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ใครจะลืมลูกทั้งคนเนอะ” ใครจะลืม ถ้าไม่ใช่อดีตสามี ‘ไอ้บ้าหิน’ หญิงสาวอดคิดด่าฝ่ายนั้นในใจไม่ได้“โอเค นอนนะคะลูก คืนนี้แม่ขอนอนกอดหนูหน่อยนะคะ พรุ่งนี้แม่ต้องไปแล้ว” หญิงสาวเอื้อมมือไปหรี่ไฟเอนตัวนอนกอดเด็กหญิงไว้หลวมๆ ยังไม่ทันได้ห่างกันจริงๆ เธอก็ใจจะขาด แล้วต้องไปอยู่โน่นคนเดียวเป็นเดือนเธอจะทนไหวไหม กัทลีถามตัวเองเช้าวันต่อมากลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัทลีขนของย้ายบ้านโดยที่เธอจะขนของที่จำเป็นไปทั้งหมดทีเดียว ยกเว้นของใช้ส่วนตัวของน้องบัวที่จะขนไปไว้ที่บ้านปู่เหมย่าจันทร์ชั่วคราว ในขณะที่เริ่มขนของขึ้นท้ายรถกระบะของวาตะที่ชายหนุ่มนำรถที่บ้านมาช่วยย้าย หิรัญก็ขับรถปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้าน“ให้ไอ้หินมาช่วยขนของด้วยเหรอกล้วย” สไบนางถามเพื่อน“เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะย้าย” กัทลีตอบพลางเดินไปหาแขกที่ไม่ได้เชิญว่าเขามาทำไม“คุณมาทำอะไรหิน”
น้องบัววิ่งเข้าไปหลบหลังแม่แล้วค่อยๆ โผล่หน้ามามองคนเป็นพ่อ หลังจากที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้วเธอจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ยังมีท่าทีระแวงอยู่หิรัญย่อตัวลงนั่งลงบนส้นเท้าตัวเองเพื่อให้ใบหน้าตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิง “น้องบัวคะพ่อมาหาค่ะลูก หนูออกมาหาพ่อได้ไหมคะ” “พ่อ...” เด็กหญิงทวนคำ “พ่อมาทำไมคะ” เพราะว่าเธอจำได้ว่าคนที่แม่เคยแนะนำว่าเป็น “คุณพ่อ” ช่วยเธอและแม่ไม่ให้คุณยายตีเมื่อเช้าวันนี้ เด็กหญิงจึงลดท่าทีไม่เป็นมิตรลงไปบ้างถ้าเทียบกับปฏิกิริยาของเธอในวันวาน“พ่อมาหาหนูไงคะลูก” หิรัญใจชื้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงยอมพูดกับเขาบ้าง ดีกว่าท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดแบบเมื่อวาน“น้องบัวออกไปบอกลุงลมให้ย่างหมูได้แล้วลูก เดี๋ยวแม่ตามออกไปนะคะ” กัทลีออกคำสั่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ทำให้เด็กหญิงทำท่านึกออกว่าเธอกำลังจะออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของแม่ “ค่ะแม่” เมื่อมารดาพยักหน้าให้เด็กหญิงก็เลยเลิกสนใจ ‘คุณพ่อ’ และวิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วกัทลีมองตามหลังลูกจากนั้นกลับมามองอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิม “เรื่องเมื่อเช้าขอบคุณมากแต่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปสักทีฮะหิน” “วันนี้กล้วยจะฉลองกับเพื่อนเก่าไม่ใช่
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูรั้วมาจอดไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ “ใครมา อ้าวไอ้ลม ไอ้จิณพวกมันมากันทำไม” หิรัญมองเพื่อนเก่าสองคนที่ลงจากรถ“อ้าวไอ้หินมันอยู่ด้วยเหรอวะมึง” วาตะกระซิบถามจิรัช“กูก็มาพร้อมมึง แล้วก็เห็นมันยืนอยู่พร้อมกันกูจะรู้ไหมล่ะ” จิรัชตอบจากนั้นเขาทักทายหิรัญและเจ้าของบ้านสาว“ว่าไงวะมึงไอ้หิน กูได้ข่าวว่ามึงจะกลับมาอยู่บ้านถาวรเลยเหรอ” “เออว่ะ ตอนนี้ทางโน้นปิดงานหมดกูเลยว่าจะมาหาอะไรทำที่บ้าน” หิรัญเดินไปหาเพื่อนสองคนที่เขาเคยสนิทและมาห่างกันช่วงไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี“ละมึงมาทำไมกัน ขนอะไรกันมาเยอะแยะ” ชายหนุ่มมองข้าวของในมือของวาตะที่ส่งมาให้จิรัชและตน เขารับมาช่วยถืออย่างงงๆ และพบว่ามันเป็นพวกน้ำแข็ง เครื่องดื่มนานาชนิดนั่นเองยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะตอบ กัทลีก็แทรกขึ้น “แล้วอีกสองสาวล่ะ ยังไม่มาเหรอ” “วันนี้วันเสาร์วุ้นมันไปเคลียร์งานครึ่งวันบีเลยจะไปรับแล้วจะมาพร้อมกัน เดี๋ยวคงมาถึงตะกี้มันโทรมาถามว่าฉันสองคนซื้ออะไรมาแล้วบ้าง” วาตะเป็นคนตอบพลางเดินนำเข้าบ้านเปิดประตูบ้านอย่างคุ้นเคย ส่งเสียงทักทายสาวน้อยวัยเจ
“กล้วย กล้วยเอ้ย อยู่ไหมลูก” นางกินรีมาตะโกนเรียกบุตรสาวที่หน้าบ้านในเช้าวันต่อมา ทำให้กัทลีที่กำลังจะเก็บถ้วยจานที่ใช้ในมื้อเช้าไปล้างต้องชะงัก หญิงสาวสบตาน้องบัวที่ลอบทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินว่าคุณยายมา กัทลีไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวเพราะเธอเองก็เบื่อหน่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากนางกินรีถึงจะมาที่นี่ไม่บ่อยแต่ว่าหากจะมาทีไร ก็มีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือร้อนหูมาให้ไม่เคยว่างเว้น“หนูขึ้นไปทำการบ้านข้างบนไหมลูก เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปดูค่ะ” แต่เด็กหญิงส่ายศีรษะทันที “ไม่ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”หญิงสาวออกมาเจอมารดาหน้าบ้าน ไม่ได้เชิญให้นางเข้าไปคุยกันข้างในแต่อย่างใด“มาที่นี่มีอะไรเหรอคะแม่” “กล้วย เอ็งพอมีเงินให้แม่สักหน่อยไหมขอแค่สามหมื่น แม่ต้องใช้ด่วนวันนี้เลย” หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นพูดธุระทันที ไม่มีแม้แต่จะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ“ฉันไม่มีเงินให้แม่หรอก ถ้าแม่มาแค่เรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ” ภาพที่นางกินรีหอบกระเป๋าใส่เงินห้าแสนที่นางเรียกเป็นค่าไม่ฟ้องผู้เยาว์หิรัญเมื่อแปดปีที่แล้ว ก่อนจะทิ้งเธอไว้กับครอบครัวของหิรัญยังคงชัดเจนในใจ“แต่พี่แกกำลังลำบากนะกล้วย แกเองก็ได้ดิบได้ดีแล้วไ
กัทลีมาถึงบ้านแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มารอ หิรัญนั่นเองเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัยว่าเขามาที่บ้านนี้ทำไมกัน“กล้วย น้องบัว” ชายหนุ่มลุกจากเทอเรซหน้าบ้านทันที เขาว่าเขาตามเธอออกมาจากบ้านเวลาห่างกันไม่ถึงยี่สิบนาที แต่มาถึงไม่เจอใครและต้องมานั่งรออยู่เกือบชั่วโมงแล้ว“มาที่นี่มีอะไรเหรอหิน” น้ำเสียงของกัทลีราบเรียบจนหิรัญเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เขากลับมาที่นี่อดีตภรรยาไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนหรือโกรธเขาเลยสักครั้ง ต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อนลิบลับที่หลังจากคลอดน้องบัว กัทลีมักจะโทรหาเขาในตอนค่ำๆ หิรัญในตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเทอมสองเป็นช่วงที่ชีวิตในรั้วมหาลัยเริ่มลงตัว มีสังคมใหม่ มีกิจวัตรใหม่ แรกๆ เขาก็รับสายของเธอดี แต่ช่วงหลังหิรัญเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทในคณะซึ่งส่วนมากก็เป็นการเที่ยวกลางคืน ทำให้เขาเริ่มไม่อยากรับสายกัทลีถึงรับก็พูดด้วยความเร่งรีบจนเธอเริ่มระแวงและหาเรื่องว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อถูกโวยวายชวนทะเลาะบ่อยๆ เขาเริ่มไม่รับสาย และยกเลิกการกลับบ้าน และจนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้สังเกตว่าเธอไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย“เอ่อ ผมมาหาน้อง
“ไปค่ะ หนูจะเอาขนมอะไรแม่ให้เลือกได้สองอย่าง” กัทลีจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อปากทางเข้าบ้านตามที่ลูกสาวร้องขอ“ค่ะแม่ แม่อยากกินอะไรไหมคะ” น้องบัวหันมาถาม“เรามีกับข้าวที่คุณย่าทำมาให้เยอะแล้วนะลูก ขนมก็มีไม่ใช่เหรอคะ”เด็กน้อยพยักหน้าตาม “จริงด้วยค่ะ งั้นเอาขนมไปไว้เผื่อกินพรุ่งนี้นะคะแม่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เผื่อไม่ได้ออกมา” กัทลีนึกขำในความ “ยังไงก็จะเอา” ให้ได้ของลูกสาว กระนั้นเธอก็อนุญาตเพราะคิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ลูกสาวจะได้ไม่รบเร้าให้พาออกมาซื้อของข้างนอกอีกใช้เวลาไม่นานสองแม่ลูกก็มาต่อแถวรอคิดเงิน กัทลีมองเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายชายหญิงคิวก่อนหน้าตนเองสามคิว ท่าทางบอกชัดว่าน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าเพื่อน“ตัวเองจะยื่นพอร์ตที่ไหน เรายื่นที่เดียวกันนะ จะได้ไปเรียนที่เดียวกัน” เด็กหนุ่มพูด“เชียงใหม่ดีไหมเขาอยากไปเรียนเชียงใหม่ ไกลดี” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “พูดเล่นน่ะ เราว่าไปกรุงเทพฯ ดีกว่า คณะ....น่าสนใจหรือตัวคิดยังไง” “ก็ดีเหมือนกัน คะแนนเขาน่าจะถึงเราเข้าวิศวะกันนะ ถ้าได้เข้าที่เดียวกันจะได้อยู่หอด้วยกัน”