‘วัตถุพยานหมายเลข 1’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บุหรี่’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของกวินไปโดยปริยายตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าจากสุสานฟาโรห์ เขาเก็บมันไว้ในกล่องเหล็กอย่างดี และจะนำออกมาพินิจพิเคราะห์ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในห้องเท่านั้น
เขาทั้งดม...ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นกลิ่นยาสูบจางๆ ผสมกับกลิ่นโคโลญจน์เฉพาะตัวของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งลองเอามาคีบระหว่างนิ้วทำท่าเหมือนจะสูบจริงๆ หน้ากระจก ก่อนจะรีบวางลงแล้วส่ายหัวอย่างแรงกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง
“มึงจะทำพิธีปลุกเสกมันรึไงวะ” ต้าถามขึ้นในเช้า เมื่อเห็นกวินกำลังจ้องมองกล่องเหล็กใบนั้นด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินเบอร์
“นี่คือข้อมูล” กวินตอบกลับเสียงขรึม
“การกระทำของเป้าหมายในวันนั้นมันอยู่นอกเหนือทุกทฤษฎี มันคือตัวแปรที่เราต้องทำความเข้าใจ”
“กูว่ามันคือการแกล้งเด็กว่ะ” โอมสรุปอย่างง่ายๆ
“เขาเห็นมึงกลัว เขาก็เลยยิ่งอยากแกล้งให้มึงสับสนเล่น มันคือจิตวิทยาการล่าเหยื่อของนักล่า”
คำว่า ‘ล่าเหยื่อ’ ทำให้กวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ความรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยังคงอยู่ ความสับสนตีรวนกันในหัวจนเขาแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อภาคินมันคืออะไรกันแน่ ระหว่าง ‘ความกลัว’ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ หรือ ‘ความ...’
...กวินไม่กล้าที่จะคิดต่อ
เพื่อหลีกหนีจากความสับสนวุ่นวายและเสียงแซวของเพื่อนๆ บ่ายวันนั้นกวินจึงปลีกตัวมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กับตึกคณะของตัวเอง มันเป็นมุมสงบที่เขาชอบมานั่งปล่อยอารมณ์และหาแรงบันดาลใจ เขาเปิดสมุดสเก็ตช์ภาพของเขาขึ้นมา หน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่าค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยภาพของป่าสนในจินตนาการที่มีกระท่อมไม้หลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว...มันเป็นภาพที่แสดงถึงความสงบสุขที่เขาโหยหา
เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ลืมเรื่องการวิจัยภาคสนาม ลืมเรื่องลาสบอสใจเถื่อน...โลกทั้งใบของเขาย่อส่วนลงมาเหลือแค่ปลายดินสอและแผ่นกระดาษตรงหน้า
“วาดรูปอะไรของมึงวะ”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย!
กวินสะดุ้งสุดตัวราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ดินสอในมือแทบจะร่วงหล่น เขาหันขวับไปมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง...
ภาคิน...กำลังยืนกอดอกก้มลงมองสมุดสเก็ตช์ของเขาอยู่
‘มาได้ยังไง! ที่นี่มันเขตปลอดภัยสีเขียวของผมนะ! ระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติทำงานผิดพลาดเหรอ!’ กวินกรีดร้องในใจ
ภาคินไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ เขาแค่กำลังจะเดินไปหาเพื่อนที่คณะสถาปัตย์ฯ แต่สายตาก็ดันไปเห็นร่างโปร่งเสียก่อน เด็กหนุ่มตัวเล็กกำลังนั่งอยู่คนเดียว ก้มหน้าก้มตาวาดรูปอย่างตั้งอกตั้งใจจนไม่สนใจโลกรอบข้าง ท่าทางแบบนั้นมันทำให้เขารู้สึก...อยากจะเข้าไปกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก
“ปะ...เปล่าครับ” กวินรีบปิดสมุดลงโดยอัตโนมัติ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
“เปิดดิ๊” ภาคินสั่งเสียงเรียบ
“กูเห็นแล้ว”
กวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สายตาคมกริบที่จ้องมาทำให้เขาไม่กล้าขัดขืน เด็กหนุ่มค่อยๆ เปิดสมุดออกอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
ภาคินก้มลงมองภาพวาดป่าสนในจินตนาการนั้นนิ่งๆ อยู่หลายวินาที ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ
“หึ...นี่มันภาพวาดเด็กอนุบาลชัดๆ”
คำพูดนั้นเหมือนค้อนที่ทุบลงมากลางใจของกวินอย่างจัง
“ลายเส้นอ่อนปวกเปียกขนาดนี้...สมแล้วที่เป็นเด็กศิลป์” เขาพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนฟัง
“เสียเวลาเปล่าว่ะ เอาเวลาไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์กว่านี้ดีไหม”
แต่ละคำ...แต่ละประโยค...มันเหมือนเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงเข้ามาในจุดที่บอบบางที่สุดของกวิน
ที่ผ่านมา...เขาโดนด่า โดนตะคอก โดนดูถูก แต่เขาก็ยังทนได้ เพราะมันเป็นแค่เรื่องภายนอก แต่ครั้งนี้...มันต่างออกไป
ภาคินกำลังวิจารณ์...กำลังดูถูกในสิ่งที่เขารักที่สุด...ศิลปะของเขา...ตัวตนของเขา...
กวินพยายามแล้ว...พยายามจะบอกตัวเองว่านี่เป็นแค่การเก็บข้อมูล เขาต้องมีสติ ต้องเป็นนักวิจัยที่ใจเย็น แต่เขาก็ทำไม่ได้...
ความร้อนผ่าวเริ่มก่อตัวขึ้นที่ขอบตา เขาก้มหน้างุด พยายามจะซ่อนใบหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจซ่อนหยดน้ำอุ่นๆ ที่เริ่มไหลรินลงมาอาบแก้มได้
เขาไม่ได้สะอื้น...ไม่ได้ร้องไห้โฮ...มีเพียงหยดน้ำตาเงียบๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุด มันคือหยดน้ำตาของความเสียใจ...ความน้อยใจ...และความผิดหวัง
ภาคินที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรต่อต้องชะงักงันไปในทันที เมื่อเขาเห็นว่าไหล่เล็กๆ ของคนตรงหน้ากำลังสั่นเทาเบาๆ และเมื่อก้มลงมองดีๆ เขาก็เห็นหยดน้ำที่หยดลงบนหน้ากระดาษ...
‘ฉิบหาย...’
นั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของภาคิน เขาแค่ตั้งใจจะแกล้งเล่นๆ ตามประสาคนปากเสีย เขาคาดว่าอีกฝ่ายจะเถียงกลับ หรือไม่ก็กลัวจนตัวหดเหมือนทุกที แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นภาพนี้...ภาพของเด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้เงียบๆ เพราะคำพูดของเขา
ความรู้สึกผิดจู่โจมเข้าใส่หัวใจของเขาอย่างจังจนตั้งตัวไม่ติด ออร่ามาคุที่เคยแผ่ออกมามลายหายไปในพริบตา เหลือเพียงชายหนุ่มที่ยืนทำอะไรไม่ถูก
“เฮ้ย...กู...”
เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงกลับจุกอยู่ในลำคอ คำขอโทษที่ควรจะพูดออกไปมันช่างหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กวินรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมมองหน้าภาคินแม้แต่น้อย
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาพูดเสียงสั่นเครือ แล้วก็รีบเดินจากไปทันที
ภาคินได้แต่ยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ที่เดินจากไปจนลับสายตา ในหัวของเขาว่างเปล่าไปหมด...
ความรู้สึกผิด...มันหนักอึ้งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เขาไม่ได้แค่ทำให้เด็กคนนั้นกลัว...แต่ครั้งนี้...เขาทำให้เด็กคนนั้น ‘เสียใจ’
และนั่น...ได้เปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของการวิจัยครั้งนี้...ไม่ได้เกิดขึ้นกับนักวิจัย...แต่กลับเกิดขึ้นกับ ‘เป้าหมาย’ ของการวิจัยเสียเอง
ฝั่งภาคิน...ภาพหยดน้ำตาเงียบๆ ของเด็กหนุ่มคณะศิลปกรรมคนนั้น มันตามหลอกหลอนภาคินไปตลอดทั้งบ่าย เขานั่งเรียนไม่รู้เรื่อง สมองที่เคยใช้คำนวณสูตรฟิสิกส์ที่ซับซ้อน ตอนนี้กลับเอาแต่ฉายภาพใบหน้าที่เจ็บปวดของกวินซ้ำไปซ้ำมา‘แค่คำพูดไม่กี่คำ...ทำไมมันถึงได้รู้สึกผิดขนาดนี้วะ’ภาคินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเขาจะปากเสียหรือแกล้งใคร เขาก็ไม่เคยใส่ใจผลที่ตามมา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...ความเงียบและการเดินจากไปของกวิน มันทิ้งความรู้สึกหน่วงหนักไว้ในอกของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ไอ้ภาคิน มึงเป็นไรวะ นั่งซึมเป็นหมาป่วยเลย”เจตทักขึ้นเมื่อเห็นเขาเอาแต่นั่งเขี่ยบุหรี่ในมือเล่นโดยไม่ยอมจุดมันขึ้นมาสูบ“เสือก” เขาตอบกลับไปตามสไตล์ แต่เป็นคำด่าที่ไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง“แหม่...ปากดีเหมือนเดิม แต่สายตามึงนี่โคตรเศร้าเลยว่ะ” นนท์เสริม“อกหักเหรอวะ?”ภาคินไม่ตอบ เขาแค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากกลุ่มไป ทิ้งให้เพื่อนมองตามอย่างงงๆคืนนั้น...ภาคินตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาชอบทำเวลาที่รู้สึกแย่...เขาไปดื่มเหล้า และดื่มอย่างหนักหน่วง กะว่าจะให้แอลกอฮอล์มันล้างความรู้สึกผิดบ้าๆ นี้ออกไปจากหัว แต่ยิ่งดื่ม...ภาพ
‘วัตถุพยานหมายเลข 1’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บุหรี่’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของกวินไปโดยปริยายตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าจากสุสานฟาโรห์ เขาเก็บมันไว้ในกล่องเหล็กอย่างดี และจะนำออกมาพินิจพิเคราะห์ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในห้องเท่านั้นเขาทั้งดม...ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นกลิ่นยาสูบจางๆ ผสมกับกลิ่นโคโลญจน์เฉพาะตัวของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งลองเอามาคีบระหว่างนิ้วทำท่าเหมือนจะสูบจริงๆ หน้ากระจก ก่อนจะรีบวางลงแล้วส่ายหัวอย่างแรงกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง“มึงจะทำพิธีปลุกเสกมันรึไงวะ” ต้าถามขึ้นในเช้า เมื่อเห็นกวินกำลังจ้องมองกล่องเหล็กใบนั้นด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินเบอร์“นี่คือข้อมูล” กวินตอบกลับเสียงขรึม“การกระทำของเป้าหมายในวันนั้นมันอยู่นอกเหนือทุกทฤษฎี มันคือตัวแปรที่เราต้องทำความเข้าใจ”“กูว่ามันคือการแกล้งเด็กว่ะ” โอมสรุปอย่างง่ายๆ“เขาเห็นมึงกลัว เขาก็เลยยิ่งอยากแกล้งให้มึงสับสนเล่น มันคือจิตวิทยาการล่าเหยื่อของนักล่า”คำว่า ‘ล่าเหยื่อ’ ทำให้กวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ความรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยัง
ข่าว ‘กระต่ายกัดเสือ’ ณ สนามฟุตบอล กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในกลุ่มของกวินไปโดยปริยาย ต้าเล่าเหตุการณ์นั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับเป็นวีรกรรมของตัวเอง ส่วนโอมก็มองเพื่อนรักด้วยสายตาที่ผสมปนเประหว่างความเป็นห่วงกับความขบขัน“มึงคือผู้กล้าหาญแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์!” ต้าตบบ่ากวินป้าบๆ “คนที่กล้ายืนต่อกรกับเทพเจ้าสงครามแห่งวิศวะฯ ตัวต่อตัว!”“กูว่ามึงแค่โชคดีมากกว่า” โอมแย้งพลางจิ้มหลอดลงในแก้วชานม“อย่าไปโป๊กเกอร์เฟซใส่เขาบ่อยนักเลย เดี๋ยวโชคไม่เข้าข้างขึ้นมา กูไม่อยากไปเยี่ยมมึงที่โรงพยาบาลนะ”กวินไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน เขากำลังจดจ่ออยู่กับ ‘บันทึกการวิจัยภาคสนาม’ ในสมุดของเขา หน้ากระดาษเต็มไปด้วยแผนผังความคิดและลูกศรโยงไปมา“มันไม่ใช่เรื่องโชค” กวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของนักวิชาการ “มันคือการตอบสนองต่อตัวแปรที่ไม่คาดคิด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อวานนี้ กูตั้งทฤษฎีได้ว่า ‘โหมดปกติ’ ของเป้าหมาย สามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย และ ‘โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์’ จะถูกเปิดใช้งานเมื่อถูกคุกคามหรือรู้สึกว่าถูกล้ำเส้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ...การตอบโต้ของกูเมื
สัปดาห์ต่อมา กวินใช้ชีวิตราวกับสายลับในหนังสงครามเย็น หายนะที่โรงอาหารได้ยกระดับความหวาดระแวงของเขาขึ้นสู่ขีดสุด แผนที่ในสมองของเขาถูกอัปเดตจนแทบจะเป็นแผนที่ดาวเทียมเรียลไทม์ เขาสามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาไหนที่กลุ่มนักศึกษาวิศวะฯ มักจะเคลื่อนพล และเส้นทางไหนคือเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยที่สุด“กูว่ามึงใกล้จะบ้าแล้วนะกวิน”ต้าพูดขึ้นขณะที่เห็นเพื่อนรักกำลังใช้แอปพลิเคชันแผนที่ในมือถือซูมเข้าซูมออกบริเวณรอบตึกวิศวะฯ อย่างเคร่งเครียด“นี่มึงจะคำนวณวิถีกระสุนของพี่เขาเลยรึไง”“การเตรียมพร้อมคือหัวใจของการเอาตัวรอด” กวินตอบโดยไม่ละสายตาจากจอ “มิสไซล์นำวิถีลูกนั้นน่ากลัวเกินไป เราประมาทไม่ได้”โอมที่กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่ข้างๆ ส่ายหัวเบาๆ “กูว่าพี่เขาคงลืมเรื่องพวกมึงไปแล้วมั้ง ป่านนี้เสื้อเขาคงขาวเหมือนเดิมแล้ว”“แกไม่เข้าใจหรอกโอม” กวินหันมาพูดด้วยแววตาจริงจัง “เราได้ทำการ ‘ล็อกเป้า’ กับเขาไปแล้วสองครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เราอยู่ในเรดาร์ของเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ”ความหวาดระแวงขั้นสุดทำให้จิตวิญญาณศิลปินของกวินเริ่มห่อเหี่ยว เขาต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อชาร์จพลังใจและปลดป
หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การเผชิญหน้ากับ ‘ลาสบอส’ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชีวิตของกวินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นนักยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดเต็มขั้น สมุดสเก็ตช์ภาพของเขานอกจากจะมีภาพวาดทิวทัศน์แล้ว หน้าหลังสุดยังถูกอุทิศให้เป็น ‘แผนที่เอาตัวรอดฉบับกวินและผองเพื่อน’ อย่างลับๆแผนที่นั้นระบุโซนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยด้วยสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนโซนสีเขียว (Green Zone): เขตปลอดภัยสูงสุด เช่น ตึกคณะศิลปกรรม, ห้องสมุดมุมในสุด, และร้านป้าน้ำปั่นหลังคณะสถาปัตย์ฯ เป็นพื้นที่ที่โอกาสเจอบอสเท่ากับศูนย์โซนสีเหลือง (Yellow Zone): เขตต้องระวัง เช่น ลานกิจกรรมกลาง, สนามฟุตบอล, และโรงอาหารส่วนใหญ่ มีโอกาสเจอบอสได้ แต่สามารถหลบหลีกได้หากมีการสอดแนมที่ดีโซนสีแดง (Red Zone): เขตอันตรายสูงสุด! ได้แก่ ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร การย่างเท้าเข้าไปเทียบเท่ากับการกดปุ่ม ‘ยอมแพ้’ ให้กับชีวิต“มึง...กูว่ามึงจริงจังเกินไปแล้วนะ” ต้าพูดขึ้นในตอนเช้า ขณะที่กวินกำลังพาเพื่อนเดินอ้อมโลกเพื่อไปยังโรงอาหารที่ไกลออกไป แต่เป็นโซนสีเขียวตามแผนที่“ความปลอดภัยต้องมาก่อน” กวินตอบด้วยสีหน้
แสงแดดอ่อนๆ ของต้นเทอมสาดส่องลงมากระทบกับกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ในลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย เสียงจอแจดังอื้ออึงราวกับตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมเอาความตื่นเต้น ความฝัน และความประหม่าของเด็กหนุ่มสาวนับพันคนมาไว้ในที่เดียว บูธจากคณะต่างๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บ้างก็ตกแต่งอย่างสวยงามตามธีม บ้างก็เปิดเพลงดังกระหึ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจและท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ‘กวิน’ เฟรชชี่ปีหนึ่งจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ กำลังยืนกะพริบตาปริบๆ ราวกับลูกแมวที่เพิ่งหลุดเข้ามาในโลกกว้างเป็นครั้งแรก ในหัวของเขามีฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้งเคลือบทุกอย่างที่มองเห็นเอาไว้ มหาวิทยาลัยในฝันที่เขาเห็นแต่ในซีรีส์ บัดนี้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้วจริงๆ“โอ้โห...มึงดูบูธนิเทศฯ ดิ อย่างกับหลุดมาจากบรอดเวย์” ‘ต้า’ เพื่อนสนิทร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้ชวนให้ดูด้วยแววตาตื่นตะลึง ที่บูธนั้นมีรุ่นพี่แต่งตัวเป็นตัวละครแปลกๆ เต้นกันอย่างหลุดโลก“แล้วดูทางนู้น...บูธบริหารฯ อย่างกับประชุมบอร์ดผู้บริหาร”‘โอม’ เพื่อนอีกคนที่สุขุมกว่าเสริมขึ้น พยักพเยิดไปยังกลุ่มรุ่นพี่ในชุดสูทที่ยืนแจกแผ่นพับด้วยมาดนั