หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การเผชิญหน้ากับ ‘ลาสบอส’ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชีวิตของกวินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นนักยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดเต็มขั้น สมุดสเก็ตช์ภาพของเขานอกจากจะมีภาพวาดทิวทัศน์แล้ว หน้าหลังสุดยังถูกอุทิศให้เป็น
‘แผนที่เอาตัวรอดฉบับกวินและผองเพื่อน’ อย่างลับๆ
แผนที่นั้นระบุโซนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยด้วยสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
โซนสีเขียว (Green Zone): เขตปลอดภัยสูงสุด เช่น ตึกคณะศิลปกรรม, ห้องสมุดมุมในสุด, และร้านป้าน้ำปั่นหลังคณะสถาปัตย์ฯ เป็นพื้นที่ที่โอกาสเจอบอสเท่ากับศูนย์
โซนสีเหลือง (Yellow Zone): เขตต้องระวัง เช่น ลานกิจกรรมกลาง, สนามฟุตบอล, และโรงอาหารส่วนใหญ่ มีโอกาสเจอบอสได้ แต่สามารถหลบหลีกได้หากมีการสอดแนมที่ดี
โซนสีแดง (Red Zone): เขตอันตรายสูงสุด! ได้แก่ ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร การย่างเท้าเข้าไปเทียบเท่ากับการกดปุ่ม ‘ยอมแพ้’ ให้กับชีวิต
“มึง...กูว่ามึงจริงจังเกินไปแล้วนะ” ต้าพูดขึ้นในตอนเช้า ขณะที่กวินกำลังพาเพื่อนเดินอ้อมโลกเพื่อไปยังโรงอาหารที่ไกลออกไป แต่เป็นโซนสีเขียวตามแผนที่
“ความปลอดภัยต้องมาก่อน” กวินตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“แกก็เห็นแล้วว่าออร่าของเขารุนแรงแค่ไหน การปะทะโดยไม่จำเป็นคือการกระทำที่โง่เขลา” โอมที่เดินตามมาเงียบๆ ได้แต่ถอนหายใจ
“กูว่าที่กวินพูดก็มีเหตุผล แต่กูหิวจนจะกินหัวต้าได้อยู่แล้วเนี่ย”
ภารกิจหลบหลีกของกวินดำเนินไปได้อย่างราบรื่นอยู่หลายวัน จนกระทั่งโชคชะตาตัดสินใจว่า...เรื่องสนุกมันยังไม่พอ
เที่ยงวันนั้นเอง... ณ โรงอาหารกลางอันเป็นโซนสีเหลืองอร่าม กลิ่นข้าวขาหมูเจ้าดังหอมยั่วยวนจนสามสหายต้องยอมเสี่ยงชีวิตเข้ามาในพื้นที่
“โอเคทุกคน...ปฏิบัติการ ‘ขาหมูสยบมังกร’ เริ่มได้”
กวินประกาศเสียงเครียด พลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ราวกับหน่วยซีลที่กำลังเข้าเคลียร์พื้นที่
“ต้าไปจองโต๊ะ โอมไปซื้อน้ำ ส่วนฉันจะไปจัดการกับเป้าหมายหลักเอง แยกย้าย!”
เพื่อนทั้งสองมองหน้ากันอย่างเอือมๆ แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
กวินต่อแถวซื้อข้าวขาหมูด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เขาสแกนพื้นที่โรงอาหารไปรอบๆ... Sector 1 Clear… Sector 2 Clear… Sector 3... เฮ้ย!
ดวงตาของกวินเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน หัวใจของเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
‘Code Red! Code Red! พบเป้าหมายในพื้นที่ปฏิบัติการ! ขอย้ำ พบเป้าหมายในพื้นที่!’ เสียงเตือนภัยในหัวของเขากรีดร้อง
ภาคิน...ในเสื้อช็อปตัวเดิม...นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่โต๊ะมุมสุดของโรงอาหาร แม้จะอยู่ไกล แต่รัศมีแห่งความกดดันนั้นแผ่กระจายมาถึงอย่างชัดเจน
“ป้าครับ...ข้าวขาหมูสองจาน...ห่อกลับบ้านครับ!” กวินเปลี่ยนแผนกลางอากาศทันที
“อ้าวไอ้หนู เมื่อกี้ยังบอกกินนี่อยู่เลย” ป้าเจ้าของร้านทัก
“ผม...ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระด่วนครับป้า”
แต่ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว...เมื่อต้า เพื่อนผู้เป็นตัวแปรแห่งหายนะ เดินกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำแดงสีสดใสสองแก้วในมือ
“กวิน! กูจองโต๊ะได้แล้ว โต๊ะนั้นเลย วิวดีมาก!” ต้าตะโกนเรียกมาแต่ไกล
‘ไอ้เพื่อนบ้า! แกกำลังเรียกยมทูตมาหาเรานะ!’
กวินอยากจะตะโกนกลับไปแต่ก็ทำไม่ได้
และแล้ว...หายนะที่แท้จริงก็บังเกิด
ด้วยความดีใจที่จองโต๊ะได้ หรืออาจจะสะดุดอากาศธาตุ ต้าก้าวพลาดไปหนึ่งก้าว...
ภาพทุกอย่างกลายเป็นสโลว์โมชันในสายตาของกวิน
แก้วน้ำแดงในมือของต้าลอยละล่องขึ้นกลางอากาศ ของเหลวสีแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นสายโค้งงดงามราวกับงานศิลปะแอ็บสแตรก ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียว...
เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดที่อยู่ภายใต้เสื้อช็อปสีเลือดหมูของภาคิน...
ซ่า!
เสียงสาดกระเซ็นดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานของผู้คนรอบข้าง โลกทั้งใบของกวินดับวูบลง และมีคำว่า ‘GAME OVER’ ตัวใหญ่ๆ ฉายขึ้นมาแทน
ต้าหน้าซีดเผือด ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นที่ถูกสาปไปแล้วเรียบร้อย
ภาคินก้มลงมองคราบสีแดงสดที่กำลังซึมลึกเข้าไปในเนื้อผ้าเสื้อตัวโปรดของเขาอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น...
ถ้าสายตาฆ่าคนได้ โรงอาหารกลางคงกลายเป็นสุสานไปแล้วในบัดดล
‘พระเจ้า...นี่มันการเซ่นไหว้เทพเจ้าภูเขาไฟด้วยเลือดบริสุทธิ์ชัดๆ แต่นี่มันน้ำแดง!’
กวินกรีดร้องในใจ
สมองของเขาประมวลผลแผนการเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว
แผน A: แกล้งตาย...ไม่น่ารอด
แผน B: โทษว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากสนามแม่เหล็กโลก...ไม่น่าเชื่อ
แผน C: สละยานแม่...เอ๊ย! สละต้า แล้ววิ่งหนี...ดูจะใจร้ายเกินไป
สุดท้ายเขาก็เลือกแผน D: การทูตและการเจรจาต่อรอง
“ทะ...ท่าน...เอ๊ย! พี่ครับ!” กวินรีบปรี่เข้าไปโค้งตัวเก้าสิบองศา
“กระผม...เอ๊ย! ผมในนามของเพื่อนผู้ซึ่งวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว ขอกราบขออภัยในเหตุการณ์สุดวิสัยที่เกิดขึ้นนี้ด้วยครับ!”
ภาคินหรี่ตามองสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่พูดจาเหมือนหลุดมาจากหนังจักรๆ วงศ์ๆ
‘ไอ้เด็กศิลป์หน้าจืดอีกแล้ว...ดวงกูสมพงศ์กับมันรึไงวะ’ เขาคิดอย่างหัวเสีย
“เสื้อตัวนี้...พวกเราจะขอรับผิดชอบด้วยการนำไปซักฟอกด้วยผงซักฟอกที่ดีที่สุดในปฐพี พร้อมทั้งเคลือบน้ำยาปรับผ้านุ่มเจ็ดชั้น เพื่อให้กลับมาขาวสะอาดเหมือนใหม่ไร้ราคีเลยครับ!” กวินสาธยายต่อราวกับพนักงานขายตรง
“มึงเป็นคนทำรึไง” ภาคินถามเสียงเย็นเยียบ ตัดบทการขายตรงอย่างไร้เยื่อใย
“ถ้าไม่ใช่ แล้วจะเสนอหน้าออกมาทำไม!”
‘โอ๊ย...โดนดาเมจเต็มๆ’
กวินแทบจะล้มทั้งยืน แต่ยังฝืนยืนหยัดต่อไป
“คือ...เพื่อนผมเขาอยู่ในสภาวะช็อก ไม่สามารถสื่อสารได้ชั่วคราวครับ”
“แล้วไง? คณะมึงสอนให้แต่หลบอยู่ข้างหลังเพื่อนเหรอวะ หรือสอนให้เป็นแต่พวกอ่อนแอที่ต้องมีคนคอยปัดกวาดเช็ดถูให้ตลอดเวลา”
‘คณะผมสอนศิลปะครับ ไม่ได้สอนวิชาการทูตเพื่อเอาตัวรอดจากพี่ว้ากใจยักษ์!’
กวินอยากจะตอบกลับไป แต่ความเป็นจริงคือเขาได้แต่เม้มปากรับดาเมจนั้นไว้เงียบๆ พลางคิดในใจว่า
‘ครับ...พวกเราคือดอกไม้ที่บอบบาง เลือดของพวกเราทำจากสีน้ำ อย่าตะคอกสิครับ เดี๋ยวกลีบดอกไม้จะร่วงหมด’
โชคดีที่สวรรค์ยังคงเมตตา เจตคนหนึ่งในกลุ่มของภาคินลุกขึ้นมาตบบ่าเขา
“เฮ้ย พอแล้วมึงไอ้ภาคิน เด็กมันกลัวจนจะร้องไห้อยู่แล้ว ไปเหอะ เดี๋ยวเสื้อเป็นคราบไปกว่านี้”
ภาคินแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะหันมาจ้องหน้ากวินอีกครั้ง
“น่ารำคาญฉิบหาย”
พูดจบเขาก็เดินกระแทกไหล่กวินออกไปจากตรงนั้นอย่างแรง ทิ้งให้กวินและเพื่อนยืนเหมือนผู้รอดชีวิตหลังอุกกาบาตพุ่งชนโลก
“มึง...กูเกือบตายแล้ว...ขอบใจนะมึง” ต้าพูดขึ้นเสียงสั่นเครือเมื่อได้สติกลับคืนมา
กวินพยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่า...แผนที่ของเขา...แผนการเอาตัวรอดของเขา...มันพังทลายลงแล้ว
เขาเปิดหน้าแผนที่ในสมองขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะขีดฆ่าข้อมูลเก่าทั้งหมดทิ้งไป แล้วบรรจงเขียนข้อมูลใหม่ลงไปแทน...
บุคคลอันตราย: ภาคิน วิศวะฯ ปี 3
สถานะ: อัปเดตล่าสุดเป็น ‘มิสไซล์นำวิถีแห่งหายนะ’ (Homing Missile of Doom) สามารถล็อกเป้าหมายและโจมตีได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในโซนสีแดง
ข้อสรุป: การหลีกเลี่ยงแบบเดิมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป...จำเป็นต้องพัฒนายุทธศาสตร์การป้องกันตัวในระดับต่อไป...
ภารกิจเอาตัวรอดของกวิน...เพิ่งจะถูกอัปเกรดความยากขึ้นสู่ระดับ Nightmare โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ฝั่งภาคิน...ภาพหยดน้ำตาเงียบๆ ของเด็กหนุ่มคณะศิลปกรรมคนนั้น มันตามหลอกหลอนภาคินไปตลอดทั้งบ่าย เขานั่งเรียนไม่รู้เรื่อง สมองที่เคยใช้คำนวณสูตรฟิสิกส์ที่ซับซ้อน ตอนนี้กลับเอาแต่ฉายภาพใบหน้าที่เจ็บปวดของกวินซ้ำไปซ้ำมา‘แค่คำพูดไม่กี่คำ...ทำไมมันถึงได้รู้สึกผิดขนาดนี้วะ’ภาคินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเขาจะปากเสียหรือแกล้งใคร เขาก็ไม่เคยใส่ใจผลที่ตามมา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...ความเงียบและการเดินจากไปของกวิน มันทิ้งความรู้สึกหน่วงหนักไว้ในอกของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ไอ้ภาคิน มึงเป็นไรวะ นั่งซึมเป็นหมาป่วยเลย”เจตทักขึ้นเมื่อเห็นเขาเอาแต่นั่งเขี่ยบุหรี่ในมือเล่นโดยไม่ยอมจุดมันขึ้นมาสูบ“เสือก” เขาตอบกลับไปตามสไตล์ แต่เป็นคำด่าที่ไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง“แหม่...ปากดีเหมือนเดิม แต่สายตามึงนี่โคตรเศร้าเลยว่ะ” นนท์เสริม“อกหักเหรอวะ?”ภาคินไม่ตอบ เขาแค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากกลุ่มไป ทิ้งให้เพื่อนมองตามอย่างงงๆคืนนั้น...ภาคินตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาชอบทำเวลาที่รู้สึกแย่...เขาไปดื่มเหล้า และดื่มอย่างหนักหน่วง กะว่าจะให้แอลกอฮอล์มันล้างความรู้สึกผิดบ้าๆ นี้ออกไปจากหัว แต่ยิ่งดื่ม...ภาพ
‘วัตถุพยานหมายเลข 1’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บุหรี่’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของกวินไปโดยปริยายตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าจากสุสานฟาโรห์ เขาเก็บมันไว้ในกล่องเหล็กอย่างดี และจะนำออกมาพินิจพิเคราะห์ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในห้องเท่านั้นเขาทั้งดม...ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นกลิ่นยาสูบจางๆ ผสมกับกลิ่นโคโลญจน์เฉพาะตัวของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งลองเอามาคีบระหว่างนิ้วทำท่าเหมือนจะสูบจริงๆ หน้ากระจก ก่อนจะรีบวางลงแล้วส่ายหัวอย่างแรงกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง“มึงจะทำพิธีปลุกเสกมันรึไงวะ” ต้าถามขึ้นในเช้า เมื่อเห็นกวินกำลังจ้องมองกล่องเหล็กใบนั้นด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินเบอร์“นี่คือข้อมูล” กวินตอบกลับเสียงขรึม“การกระทำของเป้าหมายในวันนั้นมันอยู่นอกเหนือทุกทฤษฎี มันคือตัวแปรที่เราต้องทำความเข้าใจ”“กูว่ามันคือการแกล้งเด็กว่ะ” โอมสรุปอย่างง่ายๆ“เขาเห็นมึงกลัว เขาก็เลยยิ่งอยากแกล้งให้มึงสับสนเล่น มันคือจิตวิทยาการล่าเหยื่อของนักล่า”คำว่า ‘ล่าเหยื่อ’ ทำให้กวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ความรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยัง
ข่าว ‘กระต่ายกัดเสือ’ ณ สนามฟุตบอล กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในกลุ่มของกวินไปโดยปริยาย ต้าเล่าเหตุการณ์นั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับเป็นวีรกรรมของตัวเอง ส่วนโอมก็มองเพื่อนรักด้วยสายตาที่ผสมปนเประหว่างความเป็นห่วงกับความขบขัน“มึงคือผู้กล้าหาญแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์!” ต้าตบบ่ากวินป้าบๆ “คนที่กล้ายืนต่อกรกับเทพเจ้าสงครามแห่งวิศวะฯ ตัวต่อตัว!”“กูว่ามึงแค่โชคดีมากกว่า” โอมแย้งพลางจิ้มหลอดลงในแก้วชานม“อย่าไปโป๊กเกอร์เฟซใส่เขาบ่อยนักเลย เดี๋ยวโชคไม่เข้าข้างขึ้นมา กูไม่อยากไปเยี่ยมมึงที่โรงพยาบาลนะ”กวินไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน เขากำลังจดจ่ออยู่กับ ‘บันทึกการวิจัยภาคสนาม’ ในสมุดของเขา หน้ากระดาษเต็มไปด้วยแผนผังความคิดและลูกศรโยงไปมา“มันไม่ใช่เรื่องโชค” กวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของนักวิชาการ “มันคือการตอบสนองต่อตัวแปรที่ไม่คาดคิด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อวานนี้ กูตั้งทฤษฎีได้ว่า ‘โหมดปกติ’ ของเป้าหมาย สามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย และ ‘โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์’ จะถูกเปิดใช้งานเมื่อถูกคุกคามหรือรู้สึกว่าถูกล้ำเส้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ...การตอบโต้ของกูเมื
สัปดาห์ต่อมา กวินใช้ชีวิตราวกับสายลับในหนังสงครามเย็น หายนะที่โรงอาหารได้ยกระดับความหวาดระแวงของเขาขึ้นสู่ขีดสุด แผนที่ในสมองของเขาถูกอัปเดตจนแทบจะเป็นแผนที่ดาวเทียมเรียลไทม์ เขาสามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาไหนที่กลุ่มนักศึกษาวิศวะฯ มักจะเคลื่อนพล และเส้นทางไหนคือเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยที่สุด“กูว่ามึงใกล้จะบ้าแล้วนะกวิน”ต้าพูดขึ้นขณะที่เห็นเพื่อนรักกำลังใช้แอปพลิเคชันแผนที่ในมือถือซูมเข้าซูมออกบริเวณรอบตึกวิศวะฯ อย่างเคร่งเครียด“นี่มึงจะคำนวณวิถีกระสุนของพี่เขาเลยรึไง”“การเตรียมพร้อมคือหัวใจของการเอาตัวรอด” กวินตอบโดยไม่ละสายตาจากจอ “มิสไซล์นำวิถีลูกนั้นน่ากลัวเกินไป เราประมาทไม่ได้”โอมที่กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่ข้างๆ ส่ายหัวเบาๆ “กูว่าพี่เขาคงลืมเรื่องพวกมึงไปแล้วมั้ง ป่านนี้เสื้อเขาคงขาวเหมือนเดิมแล้ว”“แกไม่เข้าใจหรอกโอม” กวินหันมาพูดด้วยแววตาจริงจัง “เราได้ทำการ ‘ล็อกเป้า’ กับเขาไปแล้วสองครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เราอยู่ในเรดาร์ของเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ”ความหวาดระแวงขั้นสุดทำให้จิตวิญญาณศิลปินของกวินเริ่มห่อเหี่ยว เขาต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อชาร์จพลังใจและปลดป
หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การเผชิญหน้ากับ ‘ลาสบอส’ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชีวิตของกวินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นนักยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดเต็มขั้น สมุดสเก็ตช์ภาพของเขานอกจากจะมีภาพวาดทิวทัศน์แล้ว หน้าหลังสุดยังถูกอุทิศให้เป็น ‘แผนที่เอาตัวรอดฉบับกวินและผองเพื่อน’ อย่างลับๆแผนที่นั้นระบุโซนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยด้วยสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนโซนสีเขียว (Green Zone): เขตปลอดภัยสูงสุด เช่น ตึกคณะศิลปกรรม, ห้องสมุดมุมในสุด, และร้านป้าน้ำปั่นหลังคณะสถาปัตย์ฯ เป็นพื้นที่ที่โอกาสเจอบอสเท่ากับศูนย์โซนสีเหลือง (Yellow Zone): เขตต้องระวัง เช่น ลานกิจกรรมกลาง, สนามฟุตบอล, และโรงอาหารส่วนใหญ่ มีโอกาสเจอบอสได้ แต่สามารถหลบหลีกได้หากมีการสอดแนมที่ดีโซนสีแดง (Red Zone): เขตอันตรายสูงสุด! ได้แก่ ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร การย่างเท้าเข้าไปเทียบเท่ากับการกดปุ่ม ‘ยอมแพ้’ ให้กับชีวิต“มึง...กูว่ามึงจริงจังเกินไปแล้วนะ” ต้าพูดขึ้นในตอนเช้า ขณะที่กวินกำลังพาเพื่อนเดินอ้อมโลกเพื่อไปยังโรงอาหารที่ไกลออกไป แต่เป็นโซนสีเขียวตามแผนที่“ความปลอดภัยต้องมาก่อน” กวินตอบด้วยสีหน้
แสงแดดอ่อนๆ ของต้นเทอมสาดส่องลงมากระทบกับกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ในลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย เสียงจอแจดังอื้ออึงราวกับตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมเอาความตื่นเต้น ความฝัน และความประหม่าของเด็กหนุ่มสาวนับพันคนมาไว้ในที่เดียว บูธจากคณะต่างๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บ้างก็ตกแต่งอย่างสวยงามตามธีม บ้างก็เปิดเพลงดังกระหึ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจและท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ‘กวิน’ เฟรชชี่ปีหนึ่งจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ กำลังยืนกะพริบตาปริบๆ ราวกับลูกแมวที่เพิ่งหลุดเข้ามาในโลกกว้างเป็นครั้งแรก ในหัวของเขามีฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้งเคลือบทุกอย่างที่มองเห็นเอาไว้ มหาวิทยาลัยในฝันที่เขาเห็นแต่ในซีรีส์ บัดนี้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้วจริงๆ“โอ้โห...มึงดูบูธนิเทศฯ ดิ อย่างกับหลุดมาจากบรอดเวย์” ‘ต้า’ เพื่อนสนิทร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้ชวนให้ดูด้วยแววตาตื่นตะลึง ที่บูธนั้นมีรุ่นพี่แต่งตัวเป็นตัวละครแปลกๆ เต้นกันอย่างหลุดโลก“แล้วดูทางนู้น...บูธบริหารฯ อย่างกับประชุมบอร์ดผู้บริหาร”‘โอม’ เพื่อนอีกคนที่สุขุมกว่าเสริมขึ้น พยักพเยิดไปยังกลุ่มรุ่นพี่ในชุดสูทที่ยืนแจกแผ่นพับด้วยมาดนั