ข่าว ‘กระต่ายกัดเสือ’ ณ สนามฟุตบอล กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในกลุ่มของกวินไปโดยปริยาย ต้าเล่าเหตุการณ์นั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับเป็นวีรกรรมของตัวเอง ส่วนโอมก็มองเพื่อนรักด้วยสายตาที่ผสมปนเประหว่างความเป็นห่วงกับความขบขัน
“มึงคือผู้กล้าหาญแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์!” ต้าตบบ่ากวินป้าบๆ
“คนที่กล้ายืนต่อกรกับเทพเจ้าสงครามแห่งวิศวะฯ ตัวต่อตัว!”
“กูว่ามึงแค่โชคดีมากกว่า” โอมแย้งพลางจิ้มหลอดลงในแก้วชานม
“อย่าไปโป๊กเกอร์เฟซใส่เขาบ่อยนักเลย เดี๋ยวโชคไม่เข้าข้างขึ้นมา กูไม่อยากไปเยี่ยมมึงที่โรงพยาบาลนะ”
กวินไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน เขากำลังจดจ่ออยู่กับ ‘บันทึกการวิจัยภาคสนาม’ ในสมุดของเขา หน้ากระดาษเต็มไปด้วยแผนผังความคิดและลูกศรโยงไปมา
“มันไม่ใช่เรื่องโชค” กวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของนักวิชาการ
“มันคือการตอบสนองต่อตัวแปรที่ไม่คาดคิด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อวานนี้ กูตั้งทฤษฎีได้ว่า ‘โหมดปกติ’ ของเป้าหมาย สามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย และ ‘โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์’ จะถูกเปิดใช้งานเมื่อถูกคุกคามหรือรู้สึกว่าถูกล้ำเส้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ...การตอบโต้ของกูเมื่อวานนี้ มันทำให้ระบบของเขาเกิดอาการ ‘รวน’ ชั่วขณะ”
ต้ากับโอมมองหน้ากันปริบๆ ก่อนที่ต้าจะถามขึ้น
“สรุปก็คือ...มึงไปทำให้เขาแฮงก์เหรอวะ?”
“ประมาณนั้น” กวินพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ดังนั้น เพื่อยืนยันสมมติฐานนี้ เราจำเป็นต้องเก็บข้อมูลเพิ่มเติม...เราต้องทำการสังเกตการณ์ในระยะที่ใกล้ขึ้น”
“ไม่!!!” ต้ากับโอมประสานเสียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แต่สุดท้าย...ด้วยการหว่านล้อม (แกมบังคับ) ของหัวหน้าทีมวิจัยจำเป็น ทั้งสามก็มาปรากฏตัวที่ร้านกาแฟใต้ตึกคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากตึกวิศวะฯ มากนัก แต่ก็ยังพอจะจัดอยู่ใน ‘โซนสีเหลือง’ ที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุดได้
ภารกิจในวันนี้คือ ‘การสังเกตการณ์พฤติกรรมของเป้าหมายในถิ่นอาศัย’
กวินเลือกโต๊ะริมหน้าต่างที่สามารถมองเห็นทางเดินหลักระหว่างตึกได้อย่างชัดเจน เขาแสร้งทำเป็นนั่งสเก็ตช์ภาพวิวทิวทัศน์ แต่ดวงตากลับคอยชำเลืองมองออกไปข้างนอกตลอดเวลา ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็ทำทีเป็นนั่งอ่านหนังสือ แต่ก็แอบส่งสายตาให้กันเป็นระยะๆ ราวกับกำลังทำภารกิจลับระดับชาติ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง...ไร้วี่แววของเป้าหมาย
“กูว่าเขาน่าจะเลิกคลาสแล้วกลับหอไปแล้วมั้ง” ต้าเริ่มหมดความอดทน
“นั่นสิ กลับกันเถอะ” โอมเห็นด้วย
แต่ในจังหวะที่พวกเขากำลังจะเก็บของนั่นเอง...เงาตะคุ่มของร่างสูงที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา
ภาคินกำลังเดินมากับกลุ่มเพื่อนของเขา...และกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!
‘เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว! ทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับสถานการณ์!’ กวินกรีดร้องในใจ เขาหดตัวลงเล็กน้อย พยายามใช้สมุดสเก็ตช์บังหน้าตัวเองให้มากที่สุด
กลุ่มของภาคินเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านกาแฟเพื่อคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้าย และในจังหวะที่เพื่อนๆ ของเขาเดินจากไปแล้ว ภาคินที่ควรจะเดินตรงไปยังลานจอดรถ กลับหยุดชะงัก...แล้วหันมามองตรงมายังร้านกาแฟ...ตรงมายังโต๊ะที่กวินนั่งอยู่
ดวงตาคมกริบคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาของกวินที่เบิกกว้างอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอย่างจัง
‘ชะ...ฉิบหายแล้ว! โดนจับได้แล้ว! เขาเห็นเราแล้ว! มิสไซล์ล็อกเป้าแล้ว!’
กวินรู้สึกเหมือนเวลาหยุดหมุน หัวใจของเขาเต้นรัวเหมือนกลองสงคราม เขาเห็นภาคินแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาในร้าน...แล้วมาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะของเขา
“...”
“...”
ความเงียบเข้าปกคลุมโต๊ะของพวกเขาทันที ต้ากับโอมแกล้งทำเป็นไม่รับรู้และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปอย่างแข็งขัน
‘เขาจะทำอะไร? เขาจะทำอะไร? เขาจะปล่อยสกิลไม้ตายใส่เรากลางร้านกาแฟเลยเหรอ? ไม่นะ! ที่นี่มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์อยู่เต็มไปหมด!’ กวินคิดอย่างสับสนอลหม่าน
ภาคินยืนกอดอกมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ทำตัวเหมือนเต่าพยายามจะหดหัวเข้ากระดองอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของเขาก็นึกขำอยู่ไม่น้อย
‘ไอ้เด็กนี่...เมื่อวานยังทำใจกล้าอยู่เลย วันนี้กลับมากลัวหัวหดเหมือนเดิมอีกแล้ว’ ความรู้สึกอยากจะแกล้งผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาล้วงหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เคาะมันเบาๆ ที่หลังมือจนมีบุหรี่มวนหนึ่งเลื่อนออกมา ก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้ากวิน...
กวินที่กำลังอยู่ในภาวะสมองขาวโพลน มองบุหรี่มวนนั้นสลับกับใบหน้าหล่อเหลาที่อ่านอารมณ์ไม่ออกของภาคินอย่างงุนงง
‘อะไร...นี่คืออะไร? การประกาศสงครามรูปแบบใหม่เหรอ? หรือเป็นกับดัก? ถ้าเรารับมามันจะระเบิดไหม? หรือว่านี่คือการท้าทาย? เขาท้าให้เราดวลบุหรี่กับเขางั้นเหรอ!?’
สมองของนักวิจัยทำงานอย่างหนักเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
‘หรือว่า...นี่จะเป็นธรรมเนียมการทักทายของเผ่าวิศวะฯ? เหมือนที่ชนเผ่าอินเดียแดงยื่นไปป์ให้กันเพื่อแสดงความเป็นมิตร? หรือว่า...นี่คือของขวัญ! เหมือนที่อีกาคาบของมาให้คนที่มันถูกใจ!? เดี๋ยวนะ! ทำไมความคิดสุดท้ายมันแปลกๆ!’
“มะ...ไม่เป็นไรครับ” กวินรวบรวมสติที่กระจัดกระจายแล้วตอบกลับไปเสียงสั่น
“ผะ...ผมไม่สูบครับ”
ภาคินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดึงบุหรี่กลับ เขาแค่จ้องหน้ากวินนิ่งๆ เป็นการกดดันทางสายตา
กวินรู้สึกเหมือนเหงื่อแตกพลั่กๆ เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ไม่...ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ”
ภาคินแค่นเสียงในลำคอเบาๆ ก่อนจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขายื่นมือออกมา...แล้วยัดบุหรี่มวนนั้นใส่มือของกวินที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ
“ให้”
เขาพูดสั้นๆ เพียงคำเดียว แล้วก็หมุนตัวเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้กวินนั่งแข็งเป็นหิน มือยังคงกำ ‘วัตถุพยานชิ้นสำคัญ’ เอาไว้แน่น
หลังจากที่แน่ใจว่าภาคินไปไกลแล้ว ต้ากับโอมก็รีบโผเข้ามาทันที
“เฮ้ย! เมื่อกี้มันอะไรวะ!” ต้าถามอย่างตื่นเต้น
“เขายื่น ‘สาส์นท้ารบ’ ให้มึงเหรอ?”
“กูว่ามันคือกับดักแน่ๆ” โอมพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ในนั้นอาจจะมียาพิษ หรือเครื่องติดตามตัวอยู่ก็ได้ ทิ้งมันไปเลยกวิน!”
แต่กวินกลับไม่สนใจ เขาค่อยๆ คลายมือออกแล้วจ้องมองบุหรี่มวนสีขาวในมือนิ่ง มันเป็นแค่บุหรี่ธรรมดาๆ แต่ไม่รู้ทำไม...เขากลับรู้สึกว่ามันพิเศษอย่างประหลาด ปลายนิ้วของเขาสัมผัสได้ถึงความอุ่นจางๆ ที่ภาคินทิ้งไว้ กลิ่นยาสูบอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายจางๆ ของคนให้...มันทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปอย่างไม่มีเหตุผล
ไม่ใช่เพราะความกลัว...แต่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน...
คืนนั้น กวินนำบุหรี่มวนนั้นมาเก็บใส่กล่องเหล็กเล็กๆ อย่างดี เขานั่งมองมันอยู่พักใหญ่ก่อนจะเปิดบันทึกการวิจัยของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
ผลการสังเกตการณ์ภาคสนามครั้งล่าสุด: เป้าหมายมีพฤติกรรมที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์...มีการมอบ ‘วัตถุ’ ที่ไม่สามารถระบุเจตนาที่แท้จริงได้
สมมติฐานใหม่: นอกเหนือจาก ‘โหมดปกติ’ และ ‘โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์’ อาจมี ‘โหมดสุ่ม’ ที่ทำงานโดยไร้ซึ่งตรรกะ...
ข้อควรระวัง: การเข้าใกล้เป้าหมาย อาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของนักวิจัยโดยตรง...ทำให้เกิดอาการ...ใจสั่น
กวินรีบปิดสมุดลงทันที ใบหน้าของเขารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ความกลัวยังคงอยู่...แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้...มันกำลังจะมีเพื่อนใหม่ที่ชื่อว่า ‘ความหวั่นไหว’ เข้ามาอยู่ด้วยเสียแล้ว
ฝั่งภาคิน...ภาพหยดน้ำตาเงียบๆ ของเด็กหนุ่มคณะศิลปกรรมคนนั้น มันตามหลอกหลอนภาคินไปตลอดทั้งบ่าย เขานั่งเรียนไม่รู้เรื่อง สมองที่เคยใช้คำนวณสูตรฟิสิกส์ที่ซับซ้อน ตอนนี้กลับเอาแต่ฉายภาพใบหน้าที่เจ็บปวดของกวินซ้ำไปซ้ำมา‘แค่คำพูดไม่กี่คำ...ทำไมมันถึงได้รู้สึกผิดขนาดนี้วะ’ภาคินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเขาจะปากเสียหรือแกล้งใคร เขาก็ไม่เคยใส่ใจผลที่ตามมา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...ความเงียบและการเดินจากไปของกวิน มันทิ้งความรู้สึกหน่วงหนักไว้ในอกของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ไอ้ภาคิน มึงเป็นไรวะ นั่งซึมเป็นหมาป่วยเลย”เจตทักขึ้นเมื่อเห็นเขาเอาแต่นั่งเขี่ยบุหรี่ในมือเล่นโดยไม่ยอมจุดมันขึ้นมาสูบ“เสือก” เขาตอบกลับไปตามสไตล์ แต่เป็นคำด่าที่ไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง“แหม่...ปากดีเหมือนเดิม แต่สายตามึงนี่โคตรเศร้าเลยว่ะ” นนท์เสริม“อกหักเหรอวะ?”ภาคินไม่ตอบ เขาแค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากกลุ่มไป ทิ้งให้เพื่อนมองตามอย่างงงๆคืนนั้น...ภาคินตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาชอบทำเวลาที่รู้สึกแย่...เขาไปดื่มเหล้า และดื่มอย่างหนักหน่วง กะว่าจะให้แอลกอฮอล์มันล้างความรู้สึกผิดบ้าๆ นี้ออกไปจากหัว แต่ยิ่งดื่ม...ภาพ
‘วัตถุพยานหมายเลข 1’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บุหรี่’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของกวินไปโดยปริยายตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าจากสุสานฟาโรห์ เขาเก็บมันไว้ในกล่องเหล็กอย่างดี และจะนำออกมาพินิจพิเคราะห์ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในห้องเท่านั้นเขาทั้งดม...ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นกลิ่นยาสูบจางๆ ผสมกับกลิ่นโคโลญจน์เฉพาะตัวของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งลองเอามาคีบระหว่างนิ้วทำท่าเหมือนจะสูบจริงๆ หน้ากระจก ก่อนจะรีบวางลงแล้วส่ายหัวอย่างแรงกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง“มึงจะทำพิธีปลุกเสกมันรึไงวะ” ต้าถามขึ้นในเช้า เมื่อเห็นกวินกำลังจ้องมองกล่องเหล็กใบนั้นด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินเบอร์“นี่คือข้อมูล” กวินตอบกลับเสียงขรึม“การกระทำของเป้าหมายในวันนั้นมันอยู่นอกเหนือทุกทฤษฎี มันคือตัวแปรที่เราต้องทำความเข้าใจ”“กูว่ามันคือการแกล้งเด็กว่ะ” โอมสรุปอย่างง่ายๆ“เขาเห็นมึงกลัว เขาก็เลยยิ่งอยากแกล้งให้มึงสับสนเล่น มันคือจิตวิทยาการล่าเหยื่อของนักล่า”คำว่า ‘ล่าเหยื่อ’ ทำให้กวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ความรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยัง
ข่าว ‘กระต่ายกัดเสือ’ ณ สนามฟุตบอล กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในกลุ่มของกวินไปโดยปริยาย ต้าเล่าเหตุการณ์นั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับเป็นวีรกรรมของตัวเอง ส่วนโอมก็มองเพื่อนรักด้วยสายตาที่ผสมปนเประหว่างความเป็นห่วงกับความขบขัน“มึงคือผู้กล้าหาญแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์!” ต้าตบบ่ากวินป้าบๆ “คนที่กล้ายืนต่อกรกับเทพเจ้าสงครามแห่งวิศวะฯ ตัวต่อตัว!”“กูว่ามึงแค่โชคดีมากกว่า” โอมแย้งพลางจิ้มหลอดลงในแก้วชานม“อย่าไปโป๊กเกอร์เฟซใส่เขาบ่อยนักเลย เดี๋ยวโชคไม่เข้าข้างขึ้นมา กูไม่อยากไปเยี่ยมมึงที่โรงพยาบาลนะ”กวินไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน เขากำลังจดจ่ออยู่กับ ‘บันทึกการวิจัยภาคสนาม’ ในสมุดของเขา หน้ากระดาษเต็มไปด้วยแผนผังความคิดและลูกศรโยงไปมา“มันไม่ใช่เรื่องโชค” กวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของนักวิชาการ “มันคือการตอบสนองต่อตัวแปรที่ไม่คาดคิด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อวานนี้ กูตั้งทฤษฎีได้ว่า ‘โหมดปกติ’ ของเป้าหมาย สามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย และ ‘โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์’ จะถูกเปิดใช้งานเมื่อถูกคุกคามหรือรู้สึกว่าถูกล้ำเส้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ...การตอบโต้ของกูเมื
สัปดาห์ต่อมา กวินใช้ชีวิตราวกับสายลับในหนังสงครามเย็น หายนะที่โรงอาหารได้ยกระดับความหวาดระแวงของเขาขึ้นสู่ขีดสุด แผนที่ในสมองของเขาถูกอัปเดตจนแทบจะเป็นแผนที่ดาวเทียมเรียลไทม์ เขาสามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาไหนที่กลุ่มนักศึกษาวิศวะฯ มักจะเคลื่อนพล และเส้นทางไหนคือเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยที่สุด“กูว่ามึงใกล้จะบ้าแล้วนะกวิน”ต้าพูดขึ้นขณะที่เห็นเพื่อนรักกำลังใช้แอปพลิเคชันแผนที่ในมือถือซูมเข้าซูมออกบริเวณรอบตึกวิศวะฯ อย่างเคร่งเครียด“นี่มึงจะคำนวณวิถีกระสุนของพี่เขาเลยรึไง”“การเตรียมพร้อมคือหัวใจของการเอาตัวรอด” กวินตอบโดยไม่ละสายตาจากจอ “มิสไซล์นำวิถีลูกนั้นน่ากลัวเกินไป เราประมาทไม่ได้”โอมที่กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่ข้างๆ ส่ายหัวเบาๆ “กูว่าพี่เขาคงลืมเรื่องพวกมึงไปแล้วมั้ง ป่านนี้เสื้อเขาคงขาวเหมือนเดิมแล้ว”“แกไม่เข้าใจหรอกโอม” กวินหันมาพูดด้วยแววตาจริงจัง “เราได้ทำการ ‘ล็อกเป้า’ กับเขาไปแล้วสองครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เราอยู่ในเรดาร์ของเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ”ความหวาดระแวงขั้นสุดทำให้จิตวิญญาณศิลปินของกวินเริ่มห่อเหี่ยว เขาต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อชาร์จพลังใจและปลดป
หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การเผชิญหน้ากับ ‘ลาสบอส’ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชีวิตของกวินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นนักยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดเต็มขั้น สมุดสเก็ตช์ภาพของเขานอกจากจะมีภาพวาดทิวทัศน์แล้ว หน้าหลังสุดยังถูกอุทิศให้เป็น ‘แผนที่เอาตัวรอดฉบับกวินและผองเพื่อน’ อย่างลับๆแผนที่นั้นระบุโซนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยด้วยสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนโซนสีเขียว (Green Zone): เขตปลอดภัยสูงสุด เช่น ตึกคณะศิลปกรรม, ห้องสมุดมุมในสุด, และร้านป้าน้ำปั่นหลังคณะสถาปัตย์ฯ เป็นพื้นที่ที่โอกาสเจอบอสเท่ากับศูนย์โซนสีเหลือง (Yellow Zone): เขตต้องระวัง เช่น ลานกิจกรรมกลาง, สนามฟุตบอล, และโรงอาหารส่วนใหญ่ มีโอกาสเจอบอสได้ แต่สามารถหลบหลีกได้หากมีการสอดแนมที่ดีโซนสีแดง (Red Zone): เขตอันตรายสูงสุด! ได้แก่ ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร การย่างเท้าเข้าไปเทียบเท่ากับการกดปุ่ม ‘ยอมแพ้’ ให้กับชีวิต“มึง...กูว่ามึงจริงจังเกินไปแล้วนะ” ต้าพูดขึ้นในตอนเช้า ขณะที่กวินกำลังพาเพื่อนเดินอ้อมโลกเพื่อไปยังโรงอาหารที่ไกลออกไป แต่เป็นโซนสีเขียวตามแผนที่“ความปลอดภัยต้องมาก่อน” กวินตอบด้วยสีหน้
แสงแดดอ่อนๆ ของต้นเทอมสาดส่องลงมากระทบกับกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ในลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย เสียงจอแจดังอื้ออึงราวกับตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมเอาความตื่นเต้น ความฝัน และความประหม่าของเด็กหนุ่มสาวนับพันคนมาไว้ในที่เดียว บูธจากคณะต่างๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บ้างก็ตกแต่งอย่างสวยงามตามธีม บ้างก็เปิดเพลงดังกระหึ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจและท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ‘กวิน’ เฟรชชี่ปีหนึ่งจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ กำลังยืนกะพริบตาปริบๆ ราวกับลูกแมวที่เพิ่งหลุดเข้ามาในโลกกว้างเป็นครั้งแรก ในหัวของเขามีฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้งเคลือบทุกอย่างที่มองเห็นเอาไว้ มหาวิทยาลัยในฝันที่เขาเห็นแต่ในซีรีส์ บัดนี้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้วจริงๆ“โอ้โห...มึงดูบูธนิเทศฯ ดิ อย่างกับหลุดมาจากบรอดเวย์” ‘ต้า’ เพื่อนสนิทร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้ชวนให้ดูด้วยแววตาตื่นตะลึง ที่บูธนั้นมีรุ่นพี่แต่งตัวเป็นตัวละครแปลกๆ เต้นกันอย่างหลุดโลก“แล้วดูทางนู้น...บูธบริหารฯ อย่างกับประชุมบอร์ดผู้บริหาร”‘โอม’ เพื่อนอีกคนที่สุขุมกว่าเสริมขึ้น พยักพเยิดไปยังกลุ่มรุ่นพี่ในชุดสูทที่ยืนแจกแผ่นพับด้วยมาดนั