“กรมตรวจราชการรขุนนางใหญ่หูพีอบรมบุตรไม่ดี แต่ความผิดยังไม่ปรากฏแน่ชัด บัดนี้ข้าสั่งให้ถอดยศหูพี กรมตรวจราชการขุนนางใหญ่กับหูกั่นเหวย แห่งกรมแจ้งราชการทันที ส่งตัวให้ศาลต้าหลี่ ร่วมกับสำนักสอบสวนกลางและกรมยุติธรรม เป็นสามหน่วยร่วมกับหน่วยบูรพาสืบสวนอย่างเข้มงวด”“หน่วยบูรพาต้องถอนรากถอนโคนขุนนางที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมด ไม่ว่าเกี่ยวข้องกับผู้ใด มีพื้นหลังอย่างไร ขอเพียงหลักฐานแน่ชัด ก็จับตัวไว้ก่อน แล้วค่อยรายงานแก่ข้า”“เมื่อพิสูจน์ความผิดชัดเจนแล้ว มอบให้กรมยุติธรรมตัดสินตามกฎหมายต้าฉิน ฆ่าก็ฆ่า ถอดยศก็ถอดยศ คุมขังก็คุมขัง”กล่าวถึงตรงนี้ หลี่เฉินจ้องเฉินทงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จงจำไว้ ในแผ่นดินนี้ไม่มีฝ่ายตำหนักบูรพา ขุนนางทุกคนล้วนเป็นข้าราชสำนักต้าฉิน ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”เฉินทงรู้สึกหัวใจเต้นระรัว ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย รีบรับคำ “กระหม่อม ขอรับบัญชา!”“เจิ้งเป่าหรง! สวีจวินโหลว!”หลี่เฉินหันไปตวาดเรียกอีกครั้งทั้งสองสะดุ้งสุดตัว โดยเฉพาะสวีจวินโหลวที่ตลอดเวลาทำตัวเหมือนอากาศ รีบวิ่งไปคุกเข่าข้างเจิ้งเป่าหรงทันทีเมื่อเห็นสวีจวินโหลว หลี่เฉินหรี่ตาลงเล
หลี่เฉินเข้าใจความหมายของหูพี จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะเอาชีวิตของตน มาแลกกับชีวิตของบุตรชายทั้งสองหรือ?”หูพีเอ่ยเสียงสั่น “กระหม่อมอายุมากแล้ว รู้ตัวดีว่าอบรมบุตรไม่ดี ทำให้สองคนนี้หลงเดินทางผิด หากจะโทษก็ต้องโทษกระหม่อมมากกว่า จะว่าลูกผิด ยังไม่เท่าโทษของพ่อ กระหม่อมเพียงขอให้ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตสายเลือดของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”หลี่เฉินหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าข้ากำลังต่อรองกับเจ้าหรือ? เจ้าจะเอาตัวเองมาแลกกับบุตรชายทั้งสอง แล้วความผิดของพวกเขาจะถือว่าไม่มีหรือ?”“ข้าตอบตกลง แล้วเจ้าลองถามดูสิ ว่าพวกเขาจะยอมไหม!”หลี่เฉินชี้นิ้วไปยังชาวบ้านที่รายล้อมอยู่ แล้วตวาดต่อหูพีด้วยความโกรธ “พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิด ผูกพวกกันเป็นกลุ่ม ฉ้อฉลเอาจากประชาชนต้าฉิน ชาวบ้านเหล่านี้ผิดอะไรหรือ? พวกเขาทำงานเหนื่อยยากเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว สุดท้ายกลับถูกพวกเจ้าขูดรีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่มีแม้แต่จะประทังชีวิตขั้นพื้นฐาน เจ้ายังมีหน้ามาขอความเมตตาอีกหรือ?”“บงการราคาข้าว ขายเกลือหลวงเถื่อน ตั้งพรรคพวกแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หูพี เจ้ารับราชการมาทั้งชีวิต โทษทั้งสามประการนี้ เจ้าควรรู้ดียิ่งกว่าใครว
“ก็ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ถึงกับร้ายแรงนัก ล้วนแต่เป็นเพราะความโลภล้วนๆ กระหม่อมก็ทำได้เพียงไม่ร่วมมือกับพวกเขาเท่านั้น…”คำพูดของเจิ้งเป่าหรงเปี่ยมด้วยน้ำตาและเสียงสะอื้นเขาระบายความลำบากใจและความอัดอั้นทั้งหมดออกมาจนหมดสิ้นหลี่เฉินฟังอย่างเงียบงัน ไม่แสดงความเห็นใดๆแต่คำพูดเหล่านี้ กลับดั่งฟ้าผ่าลงกลางใจผู้คนโดยรอบสิ่งที่ทุกคนตกตะลึงมิใช่เนื้อหาที่เจิ้งเป่าหรงกล่าวแต่เป็นคำสรรพนามที่เขาใช้เรียกตนเองว่ากระหม่อมขุนนางในราชสำนัก หากจะใช้คำว่า “กระหม่อม” กล่าวแทนตน จะใช้ได้ต่อหน้าใครบ้าง?ก็เพียงราชวงศ์เท่านั้นฮ่องเต้ ฮองเฮา ไทเฮา องค์รัชทายาท และพระชายารัชทายาทเพียงห้าพระองค์นี้เท่านั้นแม้จะเป็นนางสนมคนโปรดเพียงใด ขุนนางก็ยังใช้เพียง “ขุนนาง” หรือ “ขุนน้อย” มิใช่ “กระหม่อม”เมื่อนำสถานการณ์ในยามนี้มาประกอบกับวัยของหลี่เฉิน ต่อให้เจิ้งเป่าหรงไม่เอ่ยนามออกมาตรงๆ ตัวตนของหลี่เฉินก็ปรากฏเด่นชัดยิ่งนักหูกั่นตังที่ยังมีสติอยู่เบิกตากว้างจ้องมองหลี่เฉิน ในนัยน์ตาเหลือเพียงความหวาดกลัวสุดขีดขณะเดียวกัน ในสมองของเขา ตอนนี้มีเพียงคำนี้ลอยวนอยู่จบสิ้นแล้วท้ายที่สุด
หูกั่นตังหายใจแรงเฮือกแล้วเฮือกเล่าผ่านมาเพียงไม่นาน หลังจากถูกหลี่เฉินเตะเข้าหน้า อาการชาก็เริ่มจางหายไป กลับกลายเป็นความปวดร้าวที่แทงลึกเข้าไปถึงกระดูกแต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดและความโกรธแค้นแล้ว สิ่งที่ก่อตัวในใจของหูกั่นตังมากกว่ากลับเป็นความประหลาดใจและหวั่นไหวแม้แต่คนโง่ก็ยังมองออกว่าชายผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า ซึ่งอายุราวคราวเดียวกับตน รู้ดีว่าเขาเป็นใคร และรู้แม้กระทั่งบิดาของเขาเป็นใครแต่เขากลับไม่แยแสแม้แต่น้อยจากท่าทีของเขา ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะถอนรากถอนโคนเขากับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดนี่มิใช่สิ่งที่คุณชายเสเพลธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้เลยต่อให้มีภูมิหลังสูงศักดิ์เพียงใด ข้อพิพาทระหว่างคุณชายด้วยกัน ย่อมมีวิธีจัดการในวงการของพวกเขาอย่างมากก็แค่ชกต่อยกัน แล้วให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายออกมาเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องจะใหญ่แค่ไหน สุดท้ายตระกูลก็ยอมเสียผลประโยชน์บางส่วน แล้วเรื่องก็จบเพียงเท่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่เกิดในเบื้องหลังไม่มีใครที่เปิดฉากมาจะถอนรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามทั้งกลุ่มเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรที่จักรวรรดิต้าฉินมีบุรุษที่อหังการถึงเพียงนี้?หูกั่นตังเริ่มมีข้อ
“ให้แก้มัดได้”หลี่เฉินสั่งวั่นเจียวเจียวให้นำกระดาษกับพู่กันมา แล้วโยนลงต่อหน้าหูกั่นตังอย่างไม่ใยดี เอ่ยเสียงเรียบ “จงเขียนชื่อขุนนางทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ลงมาให้หมด”เมื่อเห็นกระดาษพู่กันที่ถูกโยนลงตรงหน้าเขาราวกับเศษขยะ หูกั่นตังขบกรามแน่น หัวเราะเย็นใส่หลี่เฉิน “เจ้าคิดจะเจาะฟ้าหรือไร?”หลี่เฉินส่งสัญญาณด้วยแววตา วั่นเจียวเจียวจึงรีบยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางด้านหลังให้เขาเมื่อหลี่เฉินยกชายเสื้อคลุมขึ้นนั่งลงแล้ว เขาก็ยกขาขึ้นพาด อีกข้างหนึ่งเหยียดออกไปแตะปลายคางหูกั่นตังเบาๆการกระทำที่ดูเหมือนเล่นเช่นนี้ กลับแฝงไว้ด้วยการดูหมิ่นอย่างรุนแรง และถัดมาคือถ้อยคำที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ดังกึกก้องดั่งฟ้าร้อง“พวกขุนนางโลภมากที่ตาบอดเพราะไขมันหมูในใจ ไล่ตะกายผลประโยชน์กันอย่างไม่อาย ทั้งหมดก็แค่พวกโล้นชุ่ยที่ไร้แก่นสาร มีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าฟ้าจะถล่ม?”หูกั่นตังนั้นเกิดในตระกูลขุนนาง บิดาเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก ผู้ทรงอิทธิพลและได้รับความเคารพอย่างสูง หลังจากโตขึ้นก็ถูกส่งเข้าสอบจอหงวน ได้รับตำแหน่งในกรมทูต ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเพื่อน ขุนนาง หรือผู้ใหญ
“ยังสามารถจัดการอนาคตของบุตรหลานได้ ถือเป็นสามัญของมนุษย์ ข้าเองก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น”“ตราบเท่าที่ไม่ขัดขวางเส้นทางความก้าวหน้าของคนทั่วไป ก็ไม่เป็นไร”“แต่ฟังจากที่เฉินทงว่า พี่น้องตระกูลหูดูท่าจะมีเล่ห์กลมากอยู่”“ฝ่ายตำหนักบูรพาหรือ?”หลี่เฉินเลิกคิ้ว หัวเราะเย็น “ใต้หล้านี้มีเพียงขุนนางแห่งราชสำนัก ไหนเลยจะมีฝ่ายตำหนักบูรพา?”เฉินทงรีบพยักหน้ารับคำคำเช่นนี้ ก็มีเพียงหลี่เฉินเท่านั้นที่กล้าพูดออกมา“เจ้าหมายความว่า เรื่องการควบคุมราคาข้าวสารนั้น พี่น้องตระกูลหูเป็นหัวโจก แต่เบื้องหลังมีขุมผลประโยชน์กลุ่มหนึ่ง และเจ้าหน้าที่ในกลุ่มนั้น ส่วนมากก็สังกัดฝั่งตำหนักบูรพา?”คำถามของหลี่เฉินคมเฉียบราวคมมีดเฉินทงสีหน้าลำบากและอึดอัด แต่ก็ยังฝืนใจตอบว่า “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”“ดี”หลี่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ไป ลากพี่น้องตระกูลหูมาหาข้าเดี๋ยวนี้”คำพูดยังไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่หน้าประตูบุรุษหนุ่มสองคนในชุดหรูหราปรากฏตัวเข้ามา ก็คือหูกั่นเหวยกับหูกั่นตัง พี่น้องที่หลี่เฉินต้องการพบ“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”หูกั่นเหวยก้าวเข้ามาพร้อมใบหน้าถมึงท