องค์หญิงหนิงเซียงหลับตาพร้อมใจหล่นตามร่าง กัดฟันทำใจว่าตนเองต้องเจ็บแต่กลับมีบางอย่างรองรับ ความแปลกใจทำให้นางลืมตาขึ้นพร้อมกับตนถูกพาหมุนตัวหลบกิ่งไม้ที่หักตกไม่ห่างนักได้อย่างหวุดหวิด ดวงหน้าเรียวหวานซุกลงบนแผงอกกว้างอย่างลืมตัว เมื่อนึกได้จึงรีบผละออกแล้วขยับไปมา
“นางกำนัลน้อย เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
ชายอีกคนซึ่งมาด้วยเอ่ยพร้อมกับผู้ที่อุ้มนางอยู่ปล่อยลง องค์หญิงหนิงเซียงจำน้ำเสียงได้ว่าเขาคือผู้ทักตนทำให้ตกใจหล่นลงมา นางเหลือบมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ข้างกายเห็นว่าใบหน้าขาวคมคายก้มลงมองตนอย่างสงสัย สบดวงตาคู่คมกริบเพียงชั่วแวบก็รีบถอยห่าง สายตาสอดส่ายมองหาพี่สาวทว่ากลับไร้เงา
‘พี่หญิงหลบไปแล้วสินะ’
“นับแต่เกิดมา เพิ่งเคยพานพบสตรีเก่งกาจเช่นเจ้า ต้นไม้สูงไม่ใช่น้อยยังปีนป่ายขึ้นไปได้”
นางเหลือบมองผู้พูดก็เห็นว่าเขายิ้มมุมปาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมหรือขำขัน
“อันตรายเช่นนี้ เจ้ายังเห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้มู่ฉางเหยียน”
ผู้ที่ช่วยตนไว้เอ่ยเป็นครั้งแรก องค์หญิงหนิงเซียงเหลือบมองแล้วก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากให้คนทั้งสองเห็นหน้าตนชัดเจนนัก
“เฮ้อ เจ้าเองก็จริงจังไปเสียทุกเรื่องนะหลิวซูหยวน เจ้าช่วยนางได้ทัน นางปลอดภัยแล้วจะคิดมากทำไมกัน”
มู่ฉางเหยียนตบไหล่สหายสนิทพลางส่ายหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้านบน
“สิ่งนางทำน่าชื่นชมออก สังเกตดูสิ”
หลิวซูหยวนเงยมองตามเล็กน้อย แล้วก็ได้เห็นบางอย่างใกล้กับจุดที่นางกำนัลน้อยพยายามเอื้อมมือไป
“เจ้าช่วยเอารังนกกลับขึ้นไปไว้บนนั้นใช่หรือไม่”
ชายที่บอกว่าชื่นชมนางถาม องค์หญิงหนิงเซียงจึงพยักหน้า
“เอ่อ ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
นางต้องรีบหลบเลี่ยงแม้จะอยู่ในคราบนางกำนัลก็ไม่ควรพูดคุยกับบุรุษนาน
“เชิญเถิด”
ชายหนุ่มผู้อารมณ์ดีผายมือเชิญโดยง่าย ขณะผู้ที่ค่อนข้างเงียบนั้นก็ไม่ได้ทักท้วงใด
เจ้าของร่างบอบบางรีบก้าวเร็วๆ ออกจากตรงนั้นตรงไปยังประตูทางออกด้านหลังอุทยาน เพราะหากไปทิศทางอื่นคงดูน่าสงสัย กระทั่งผ่านพุ่มไม้สูงหนาที่พอบดบังได้นางก็ถูกฉุดให้นั่งลง ขณะกำลังจะหลุดส่งเสียงก็ถูกปิดริมฝีปากไว้ก่อน
“พี่หญิง”
องค์หญิงหนิงเซียงส่งเสียงอู้อี้แล้วถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นผู้ที่รั้งตนไว้ และอีกฝ่ายยอมปล่อยโดยดี ทว่าปลายนิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากอิ่มสีหวานของตัวเอง นางจึงเอ่ยเสียงเบา
“นึกว่าท่านหลบไปไกลแล้ว”
อีกฝ่ายส่ายหน้าพลางยิ้มบาง
“พี่จะทิ้งเจ้าได้อย่างไร แต่หากเรียกเตือนเจ้าก่อนก็เกรงว่าจะทำให้สองคนนั้นหันมามอง ไม่คิดว่า พวกเขาจะมาใกล้จนเห็นเจ้า”
“ช่างเถิด อย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ว่าแต่เราจะกลับทางเดิม หรือไปทางอื่นกันดี”
คราวนี้ผู้เป็นพี่สาวยิ้มกว้างขึ้นพลางส่ายหน้า
“ไม่ต้องไปแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ ก็พี่หญิงอยากเห็นบุตรชายท่านราชครูไม่ใช่หรือ”
องค์หญิงเจียวมิ่งทำเสียงจิ๊กจั๊กพลางตีแขนน้องสาวเบาๆ ดวงหน้างดงามแดงเรื่อ
“เจ้านี่ จะย้ำทำไม”
สีหน้าขัดเขินของพี่สาวทำให้องค์หญิงหนิงเซียงเกาศีรษะงุนงงแล้วก็แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่อยากไปแล้ว
“จริงไม่ใช่หรือ แล้วทำไมอยู่ๆ ท่านจึงไม่อยากไปเสียแล้วล่ะ”
“ก็...หนึ่งในบุรุษที่พบเจ้า ชื่อมู่ฉางเหยียน”
ผู้เป็นน้องสาวกะพริบตาปริบๆ ขณะพี่สาวบอกเล่าต่อ
“เขานั่นแหละ บุตรชายท่านราชครู”
องค์หญิงหนิงเซียงเพิ่งเข้าใจ นางเองไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าพี่สาวคงรู้ชื่อเสียงเรียงนามของคู่หมายตนจนจำจดขึ้นใจอยู่แล้ว
องค์หญิงเจียวมิ่งอภิเษกสมรสในอีกสองปีต่อมา แล้วออกไปอยู่ที่จวนของท่านราชครู หากก็เข้าวังมาพบองค์หญิงหนิงเซียงในยามคิดถึง กระทั่งผู้เป็นน้องเติบโตย่างเข้าวัยสิบเจ็ดชันษา ฮ่องเต้จึงประทานอนุญาตให้องค์หญิงเสด็จออกนอกวังไปเยี่ยมผู้เป็นพี่สาวได้
“ยังคุยกับพี่หญิงไม่เต็มอิ่มเลย แต่ต้องรีบกลับเข้าวังแล้ว”
ผู้เป็นน้องหน้าหงอยพลางจับมือพี่สาวออดอ้อน อยู่ในวังเพียงลำพัง ในแต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างค่อนข้างเหงาหงอย แม้มีเรียนอ่านเขียน วาดภาพ เย็บปักถักร้อย แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าเบื่อเพียงช่วงสั้นๆ สำหรับองค์หญิงหนิงเซียง
“หากเป็นไปได้ข้าก็อยากพักกับท่านสักคืน”
“พี่ก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่เสด็จพ่อกับฮองเฮาไม่ได้ประทานอนุญาต อีกอย่างองค์หญิงก็ไม่ควรค้างอ้างแรมนอกวัง”
องค์หญิงเจียวมิ่งปลอบน้องสาวอย่างเอ็นดู ตนเองก็คิดถึงน้องและเป็นห่วงเช่นกัน หากไม่อาจเลือกได้ ในช่วงที่แต่งออกมาใหม่ๆ จึงเข้าวังบ่อยครั้ง ด้วยรู้ว่าหนิงเซียงคงว้าเหว่ไม่น้อย เพราะแม้ทั้งสองจะมีพี่ชายร่วมพระมารดาด้วย หากก็ต้องช่วยแบ่งเบาราชกิจ เนื่องจากพระบิดาโปรดปรานมากที่สุด มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทำให้ผู้เป็นพี่ชายคร่ำเคร่งกับงานราชกิจจนแทบไม่มีเวลาให้น้องสาวสองคน
“เอาไว้งานเทศกาลโคมไฟ พี่จะเข้าไปทูลขอฮองเฮาให้เจ้าได้ออกมาเที่ยวชมงานนอกวัง และขอให้พักกับพี่คืนนึง”
“จริงหรือพี่หญิง”
“จริงสิ”
“ขอบคุณพี่หญิง”
องค์หญิงหนิงเซียงยกมือพี่สาวขึ้นกุมอย่างดีใจ ส่วนผู้เป็นพี่ลูบแก้มเนียนใสของน้องสาวอย่างรักใคร่
“เจ้ากับพี่อยู่แต่เพียงในวังมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีโอกาสได้เห็นโลกภายนอกวัง ชีวิตของเรา หากไม่ถูกยกให้บุตรชายขุนนางสูงศักดิ์เพื่อคานอำนาจในฐานะพระญาติ ก็อาจถูกส่งไปอภิเษกต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี หรือไม่ก็คงต้องใช้ชีวิตเพียงในวังอย่างเหี่ยวเฉาไปจนวันสุดท้าย”
น้ำเสียงของผู้เป็นพี่สาวนั้นดูเศร้าลึกขณะมองนางด้วยแววตาราวสงสาร
“เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าต้องพบเจอสิ่งใด หากทำให้เจ้ามีความสุขได้ พี่ก็อยากช่วย”
องค์หญิงหนิงเซียงขยับเข้าไปกอดร่างอรชรของพี่สาว ซบหน้าลงแนบไหล่บอบบางและกะพริบตาไล่น้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความซาบซึ้งใจในความรักที่ผู้เป็นพี่มีต่อตน ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนมีน้ำตา
ร่ำลากันอีกเล็กน้อย องค์หญิงเจียวมิ่งก็ออกมาส่งน้องสาวหน้าจวนให้ขึ้นรถม้ากลับเข้าวัง
=====
มีซีนเจอกันนิดๆ แต่รับรองว่ามีมาเรื่อยๆ แน่นอนค่ะ แต่ว่าจือเยว่ที่มาเกิดเป็นหนิงเซียงต้องเจอกับอะไรบ้างนะ? ^^"
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ