ในมหาจักรวาลอันกว้างใหญ่ วิถีแห่งฟ้าได้กำหนดให้สรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การปกครองของ สามภพ อันได้แก่ แดนสวรรค์ (เทียนเจี้ย) ดินแดนมนุษย์ (เหรินเจี้ย) และ แดนปีศาจ (โหมวเจี้ย)
แดนสวรรค์ ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงเหนือม่านเมฆ มีเพียงแสงสุริยันและจันทราที่เป็นนิรันดร์ เทียนกง หรือวิมานสวรรค์ สร้างจากหยกขาวและทองคำอันเรืองรอง ก่อเกิดเป็นภูมิทัศน์ที่สงบเยือกเย็นและศักดิ์สิทธิ์ อากาศในแดนสวรรค์อวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ท้ออมตะ และธารน้ำอมฤตที่ไหลรินอย่างไม่ขาดสาย เหล่าเซียนผู้ทรงศีลใช้ชีวิตอันเป็นอมตะภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัด เง็กเซียนฮ่องเต้ ผู้ปกครองสูงสุด ทรงรักษาความสมดุลของจักรวาลและดูแลการหมุนเวียนของมวลวิญญาณในวัฏสงสารอย่างพิถีพิถัน สวรรค์คือตัวแทนของความสงบเรียบร้อยและพลังหยางที่บริสุทธิ์
เบื้องล่างของปุยเมฆคือ ดินแดนมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งชีวิตและความวุ่นวาย เป็นภพที่เปราะบางที่สุด ทว่าก็เป็นที่กำเนิดของอารยธรรม ความรัก ความโลภ และความตาย ทุกสิ่งในแดนมนุษย์ล้วนไม่จีรัง เป็นที่ที่วิญญาณมาเพื่อเรียนรู้และชดใช้กรรม ก่อนจะกลับคืนสู่เส้นทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง แดนมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความสว่างและความมืด
ส่วนที่ลึกลงไปจากแดนมนุษย์คือ แดนปีศาจ อันเป็นขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ดินแดนแห่งความมืดมิดและพลังหยินอันเข้มข้น แสงสว่างแทบไม่เคยปรากฏ มีเพียงเปลวไฟสีครามและหินอัคนีที่ลุกโชนอย่างเงียบงัน ภูมิทัศน์เต็มไปด้วยหุบเหวและปราสาทหินดำทะมึนซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าปีศาจและอสูรที่ทรงพลัง ปกครองโดย มารานตี้ ผู้เปี่ยมด้วยพลังอำนาจแห่งความมืดและมักใหญ่ใฝ่สูง แดนปีศาจคือขุมพลังแห่งสงครามและความกระหายในอำนาจ
กฎแห่งฟ้ากำหนดให้สามภพต้องรักษาสมดุลไว้เช่นนี้มานานนับพันปี แต่ในคืนที่อากาศหนาวเหน็บยามนี้ ความสงบสุขของทั้งสามภพกำลังถูกคุกคาม…
ณ โถง หลิงเซียว อันเป็นศูนย์กลางอำนาจของวังสวรรค์ แสงจันทร์ยามราตรีสาดส่องลงกระทบพื้นหยกขาวที่เย็นเยียบ บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความกดดัน เง็กเซียนฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์อย่างสงบนิ่ง แต่ในพระเนตรฉายแววกังวล พระหัตถ์กระชับพนักพิงแน่น เหล่าเทพเซียนกว่าร้อยองค์ต่างยืนนิ่งก้มหน้า ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา
เบื้องหน้าของเง็กเซียนฮ่องเต้คือ ไท่ซ่างเหล่าจวิน (พระอาจารย์ผู้เฒ่า) เซียนผู้ทรงปัญญาที่สุดในสวรรค์ เขาสวมชุดคลุมสีขาวสะอาด แต่ใบหน้ากลับซีดเซียวราวกับเพิ่งผ่านศึกหนักมา ดวงตาที่ปกติจะเต็มไปด้วยความเมตตา บัดนี้กลับฉายแววแห่งความหวาดหวั่น
“ฝ่าบาท…นิมิตที่ข้าเห็นเมื่อยามชั่วโมงยามซวี (19.00 – 21.00 น.) หนักหนากว่าครั้งใดๆ” ไท่ซ่างเหล่าจวินกล่าวเสียงสั่นเครือ “แก่นแห่งสมดุลของสามภพ… ดวงจันทรา กำลังเกิด รอยร้าว รอยร้าวสีดำทมิฬพาดผ่านกลางดวงจันทร์ คล้ายกับรอยแผลที่กำลังจะปริแยก!”
ทั่วทั้งโถงเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที ดวงจันทร์ไม่ได้เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แต่เป็นแหล่งพลังงานหยินที่ค้ำจุนสมดุลของทุกสิ่งในจักรวาล รอยร้าวบนดวงจันทร์จึงหมายถึงรอยร้าวบนกฎแห่งฟ้า
“ท่านอาจารย์…หมายความว่าพลังของดวงจันทร์กำลังจะสลายอย่างนั้นหรือ?” เง็กเซียนฮ่องเต้ตรัสถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ไท่ซ่างเหล่าจวินส่ายศีรษะอย่างช้าๆ “ไม่ใช่สลาย แต่เป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังหยินที่เคยเยือกเย็นและสงบ บัดนี้กลับปั่นป่วนวุ่นวายจนก่อให้เกิดพลังที่ไม่อาจคาดเดาได้ และนี่คือคำพยากรณ์ที่ผูกพันกับรอยร้าวนั้น…”
เขาหลับตาลงอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง พลังเซียนสีทองค่อยๆ แผ่ออกจากร่างและก่อตัวเป็นอักษรโบราณสามบรรทัดกลางอากาศ อักษรนั้นเปล่งประกายคล้ายถูกจารึกด้วยแสงจันทร์แท้ๆ
“จันทราแยกสลาย มวลวิญญาณสั่นคลอน”
“บุตรแห่งจันทร์ถือกำเนิด นำความหวังหรือหายนะ”
“หนึ่งพันธะต้องห้าม ชุบชีวิตหรือทำลายล้าง”
เหล่าเทพเซียนต่างตกตะลึงกับคำพยากรณ์นี้ ‘พันธะต้องห้าม’ ย่อมหมายถึงความรักข้ามภพ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสูงสุดตามกฎสวรรค์
เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปยังอักษรสุดท้ายอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตรัสถาม “บุตรแห่งจันทร์…คือ หลิงซินเอ๋อร์ บุตรีรองของเราใช่หรือไม่? นางกำเนิดภายใต้ดวงจันทร์เต็มดวง และมีพลังรักษาที่โดดเด่นมาตั้งแต่เยาว์วัย”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไท่ซ่างเหล่าจวินตอบ “นางคือผู้ที่ถูกลิขิตให้เป็น แก่นแท้แห่งจันทรา ร่างกายของนางสามารถรองรับและควบคุมพลังที่วุ่นวายนั้นได้ พลังรักษาของนางคือแสงสว่างที่จะเยียวยาสามภพจากสงครามที่กำลังจะอุบัติ แต่ในขณะเดียวกัน… พลังสะกดปีศาจที่อยู่ในตัวนาง ก็คือสิ่งที่แดนปีศาจจะต้องพยายามช่วงชิงมาให้ได้”
เทพเซียนองค์หนึ่งนาม ไป๋หานอี้ องครักษ์หนุ่มผู้เงียบขรึมและภักดีขององค์หญิงหลิงซินเอ๋อร์ ยืนอยู่ด้านหลังเง็กเซียนฮ่องเต้ ร่างกายเขาพลันแข็งทื่อเมื่อได้ยินชื่อองค์หญิง พลังที่เงียบสงบในตัวเขาพลันสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ไท่ซ่างเหล่าจวินเหลือบมองไปยังไป๋หานอี้เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝ่าบาท…การที่องค์หญิงหลิงซินเอ๋อร์จะนำความหวังมาสู่สามภพได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า จิตใจ ของนางจะถูกชักนำไปในทางใด นางต้องบริสุทธิ์และมั่นคงในวิถีเซียน แต่หากพลังแห่งจันทราที่อยู่ในตัวนางถูกมลทินด้วย พันธะต้องห้าม… ไม่ว่าจะเป็นพลังจากแดนปีศาจหรือพลังอื่นใดที่ไม่ถูกกฎฟ้า ความหวังนั้นก็จะกลับกลายเป็น หายนะ ที่ทำลายทุกสิ่งจนสิ้นสูญ”
เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรไปยังเหล่าเทพเซียนอย่างเด็ดขาด “นับจากนี้ไป จงเพิ่มกำลังป้องกันวังสวรรค์เป็นสามเท่า และให้ ไป๋หานอี้ ดูแลองค์หญิงหลิงซินเอ๋อร์อย่างใกล้ชิดที่สุด ห้ามให้นางก้าวออกจากวังสวรรค์โดยเด็ดขาด จนกว่าเราจะหาทางควบคุมพลังแห่งจันทราของนางได้”
ไป๋หานอี้ค้อมกายลงทันที “น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” แต่ภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยคลื่นพายุ เขาตระหนักดีถึงพันธะที่มองไม่เห็นซึ่งตนมีต่อองค์หญิง และคำว่า 'พันธะต้องห้าม' นั้นก็ก้องอยู่ในหูอย่างเจ็บปวด
ณ ตำหนัก กวงหมิง ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์หญิงหลิงซินเอ๋อร์ ตำหนักนี้สร้างอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดในวังสวรรค์ ทำให้มองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจนที่สุด
หลิงซินเอ๋อร์ ในวัยสิบหกปีเพิ่งจะเริ่มเบ่งบานเป็นดอกเหมยในฤดูหนาว รูปร่างของนางอ่อนช้อยงดงามราวกับถูกสร้างสรรค์จากหยดน้ำค้างและแสงจันทร์ ใบหน้าเล็กเรียว ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายความไร้เดียงสา ผมสีดำขลับถูกรวบด้วยปิ่นหยกจันทร์เสี้ยวที่เง็กเซียนฮ่องเต้ประทานให้
นางกำลังนั่งอยู่ริมระเบียงหยกเย็นๆ มองไปยังดวงจันทร์บนฟากฟ้า ดวงจันทร์ยามค่ำคืนนี้ผิดแปลกไปจากทุกวัน แสงของมันดูหม่นหมองกว่าปกติ และเมื่อมองเพ่งไปนานๆ ก็จะเห็น รอยร้าวสีดำ เล็กๆ พาดผ่านกลางดวงอย่างน่าประหลาด
"จันทร์ร้าว..." หลิงซินเอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง มือเล็กๆ ของนางยกขึ้นกุมอก ความรู้สึกเจ็บปวดที่ประหลาดและปวดหน่วงได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งในใจของนาง ไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความรู้สึกเหมือนมี สายใยที่มองไม่เห็น กำลังดึงรั้งจิตวิญญาณของนางไปยังที่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกล
ทันใดนั้น พลังเซียนในร่างของนางก็พลันปั่นป่วนราวกับกระแสน้ำวน สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้าสู่ตำหนักกวงหมิงอย่างรุนแรง พลังเซียนสีเงินอ่อนๆ เริ่มเปล่งประกายออกมาจากผิวหนังของนาง แสงนั้นเรืองรองและบริสุทธิ์
หลิงซินเอ๋อร์ตกใจ พยายามใช้พลังรักษาที่ตนมีเพื่อควบคุมความวุ่นวายนี้ ทว่าพลังยิ่งควบคุมก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แสงสีเงินที่บริสุทธิ์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสี ฟ้าครามเข้ม เหมือนกับแสงจากก้นบึ้งของมหาสมุทรลึก
ตูม!
กระถางดอกไม้หยกที่อยู่ใกล้ๆ ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยแรงพลังที่มองไม่เห็น หลิงซินเอ๋อร์รู้สึกได้ว่าพลังในกายของนางกำลังจะหลุดจากการควบคุม ความรู้สึกปวดหน่วงที่อกยิ่งรุนแรงขึ้นราวกับหัวใจกำลังถูกฉีกออกเป็นสองส่วน
นางพยายามรวบรวมสมาธิ นึกถึงคำสอนของพระอาจารย์ผู้เฒ่าที่ว่า 'พลังแห่งจันทรา คือพลังแห่งความสงบเย็น' นางหลับตาลง พยายามทำให้จิตใจกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
ในขณะที่พลังในร่างปั่นป่วนจนถึงขีดสุด เสียงกระซิบที่เย็นชาและดุดันก็ดังขึ้นในความรู้สึกของนาง มันเป็นเสียงที่ลึกและก้องกังวานราวกับเสียงคำรามของพายุ:
“เซียนน้อย… เจ้าคือบุตรแห่งจันทร์ที่ข้าตามหา”
หลิงซินเอ๋อร์ลืมตาขึ้นทันทีด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางซีดเผือด นางมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นผู้ใด เสียงนั้นมาจากไหน? มันไม่ใช่เสียงที่ได้ยินทางหู แต่มันก้องอยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ
“อย่าได้ต่อต้านชะตาฟ้าเลย… เจ้าและข้าคือส่วนหนึ่งของกันและกัน” เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ในชั่วพริบตาที่จิตใจขององค์หญิงกำลังสั่นคลอน แสงจันทร์ที่ร้าวรานบนฟากฟ้าก็สาดแสงลงมาอย่างจงใจ แสงนั้นพุ่งตรงมาที่หลิงซินเอ๋อร์ราวกับลำแสงนำทาง เมื่อสัมผัสกับแสงนั้น พลังเซียนสีฟ้าครามในกายของนางก็สงบลงในทันที ความปวดหน่วงที่อกก็หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึก โหยหา บางอย่างที่แปลกประหลาดและรุนแรง
หลิงซินเอ๋อร์เงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ร้าวรานอีกครั้ง นัยน์ตาของนางเปล่งประกายสีเงินอ่อนๆ ภายใต้แสงจันทร์ ราวกับนางและดวงจันทร์ดวงนั้นได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจคำพยากรณ์ ไม่เข้าใจเสียงลึกลับที่เพิ่งได้ยิน แต่จิตวิญญาณของนางรับรู้ได้ว่า ชะตากรรมของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาร่างสีขาวก้าวเข้ามาในตำหนักอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิง! เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋หานอี้ องครักษ์คู่กายของนาง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเขาเห็นองค์หญิงนั่งนิ่งอยู่กลางแสงจันทร์ที่แปลกประหลาด และกระถางหยกที่แตกละเอียด ก็ทำให้เขานึกถึงคำเตือนของไท่ซ่างเหล่าจวิน
“ข้า…ข้าไม่เป็นไรหานอี้” หลิงซินเอ๋อร์ตอบเสียงแผ่วเบา
ไป๋หานอี้รีบเดินเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิง “ฝ่าบาทมีบัญชาให้ข้าดูแลองค์หญิงอย่างใกล้ชิด องค์หญิงไม่ควรนั่งรับแสงจันทร์ที่ผิดปกติเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่กล้าเอ่ยถึงรอยร้าวบนดวงจันทร์ เพราะกลัวว่านางจะตระหนก
หลิงซินเอ๋อร์มองใบหน้าอันเคร่งขรึมและเป็นห่วงเป็นใยของไป๋หานอี้ เขายืนอยู่ข้างนางมาตั้งแต่เด็ก ภักดีดุจเงา และเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่นางไว้ใจ
“ข้าแค่รู้สึกว่า…จันทร์ดวงนี้กำลังเรียกข้า” นางเอ่ยออกมาอย่างเผลอไผล “ข้ารู้สึกผูกพันกับมันอย่างประหลาด ราวกับว่า ชะตาของเราผูกติดกัน”
คำพูดขององค์หญิงเหมือนมีดกรีดลงบนหัวใจของไป๋หานอี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ร้าวรานอย่างขุ่นเคือง ดวงจันทร์ดวงนั้นกำลังพยายามช่วงชิงองค์หญิงไปจากสวรรค์ หรือกำลังนำพานางไปสู่หายนะที่คำพยากรณ์ได้เตือนไว้?
ไป๋หานอี้ไม่เคยกล้าเปิดเผยความรักที่ไม่อาจเอื้อมของตนที่มีต่อองค์หญิง แต่ในใจเขาสาบานว่า ไม่ว่าชะตาจะเป็นอย่างไร เขาจะปกป้องหลิงซินเอ๋อร์ไว้ด้วยชีวิต จะไม่มีพันธะต้องห้ามใดๆ มาทำร้ายนางได้
ในห้วงลึกของ แดนปีศาจ ปราสาทหินดำทะมึนของ มารานตี้ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับแล้ว
ภายในห้องบรรทมที่มืดมิดและเย็นเยียบ อวิ๋นเทียนหาน รัชทายาทแห่งปีศาจกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินสีดำ ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและสูงสง่า เส้นผมสีดำยาวสยายราวกับเงามืดที่กำลังเคลื่อนไหว ใบหน้าของเขางดงามทว่าเย็นชาไร้ความรู้สึก ดวงตาคู่นั้นดุดันราวกับพายุที่กำลังก่อตัว
อวิ๋นเทียนหานรับรู้ได้ถึง รอยร้าว บนดวงจันทร์เช่นกัน พลังหยินที่เขาควบคุมอยู่ปั่นป่วนวุ่นวายจนเกือบจะทำให้เขาหลุดจากการทำสมาธิ
“บุตรแห่งจันทร์…”
เขานึกถึงเสียงกระซิบที่ตนส่งไปยังแดนสวรรค์ พลังปีศาจที่บริสุทธิ์ของเขาสามารถเชื่อมต่อกับพลังแห่งจันทราที่แตกสลายนั้นได้ และมันนำพาเขาไปสู่ แก่นแท้แห่งพลังหยิน ที่อยู่ในร่างขององค์หญิงสวรรค์
เดิมทีเขาเป็นปีศาจที่ไร้ความรู้สึก ไม่เคยสนใจเรื่องใดนอกจากพลังและการทำสงคราม แต่ในชั่วพริบตาที่จิตวิญญาณของเขาเชื่อมต่อกับ หลิงซินเอ๋อร์ ความรู้สึกที่แปลกประหลาดก็ก่อตัวขึ้นในใจที่เย็นชาของเขา ความปรารถนา และ ความผูกพัน
เขาต้องการพลังแห่งจันทราของนางเพื่อใช้ในการทำลายสวรรค์อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อได้สัมผัสถึงความบริสุทธิ์ของวิญญาณนั้น ความต้องการในใจเขากลับสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าคือพลังที่ข้าต้องการ และเจ้าคือจุดอ่อนที่ข้าไม่ควรมี” อวิ๋นเทียนหานคิดในใจ
“นายท่าน!”
เฮยหลง แม่ทัพใหญ่แห่งแดนปีศาจ ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างกายกำยำของเขาสวมชุดเกราะสีดำทมิฬ ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยไฟปีศาจ
“รายงานมา” อวิ๋นเทียนหานเอ่ยเสียงเรียบ แต่ทรงอำนาจ
“สวรรค์กำลังเพิ่มกำลังป้องกันและเตรียมพร้อมทำสงครามพ่ะย่ะค่ะ มารานตี้ฮ่องเต้สั่งให้เราเตรียมพร้อมโจมตีในยามที่ดวงจันทร์ถึงจุดอ่อนแอที่สุด” เฮยหลงรายงาน
อวิ๋นเทียนหานลุกขึ้นยืนช้าๆ รัศมีของเขาสั่นสะเทือน พลังมืดอันทรงพลังแผ่ออกไปทั่วทั้งห้อง “ถึงเวลาแล้ว… เฮยหลง เจ้าเตรียมทัพไว้ เราจะเปิดฉากโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุด”
เฮยหลงค้อมกายลง “น้อมรับพระบัญชา แต่… รัชทายาททรงมีอะไรกังวลหรือพ่ะย่ะค่ะ? พลังของท่านดูแปรปรวน…”
อวิ๋นเทียนหานจ้องมองไปที่รอยร้าวบนดวงจันทร์ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากหน้าต่างห้อง “เปล่า… แค่รู้สึกว่า พันธะ บางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น”
เขายกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ไม่ว่ามันจะเป็นพันธะแห่งความรัก หรือพันธะแห่งความเกลียดชัง สิ่งที่สวรรค์หวงแหนที่สุด… ข้าจะช่วงชิงมาทำลายด้วยมือของข้าเอง”
นั่นคือคำประกาศของโอรสปีศาจผู้ไร้หัวใจ ในขณะที่องค์หญิงสวรรค์กำลังยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ที่ร้าวรานโดยไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง
สงครามสามภพใกล้เข้ามาแล้ว... และชะตาของ “บุตรแห่งจันทร์” ถูกผูกมัดไว้กับ “โอรสปีศาจ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้