“ซอนญ่า...” เขาเรียกอีกครั้งทว่าหญิงสาวก็ยังนอน นิ่ง ร่างบอบบางเพียงขยับตัวเพื่อกระชับเสื้อสูทที่เธอใช้ห่มต่างผ้านวม
“คุณหนาวหรือ?” แดเนียลถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ภายในห้องแม้ทึบทุกด้านแต่ก็มีระบบปรับอากาศที่เหมาะสม ทว่าเมื่อมือหนาสัมผัสกับต้นแขนของหญิงสาวใบหน้าคมคายก็เปลี่ยนไปในทันที
“พระเจ้า! ซอนญ่า...คุณไม่สบายหรือนี่”
แดเนียลอุทานออกมาเมื่อมือแนบลงกับผิวนุ่ม ๆ ที่ร้อนจัดของอลินทิราและเขาก็รู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร ชายหนุ่มรีบออกไปที่ประตูซึ่งบอดี้การ์ดของเขายังยืนอยูที่เดิม
“ไปรับคุณหมอออซเทิร์กที่คลินิกมาตอนนี้เลย!”
ชายหนุ่มออกคำสั่งก่อนที่การ์ดร่างใหญ่จะกุลีกุจอออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่กลับเข้าไปในห้องเพื่อทรุดตัวลงนั่งบนเตียงพลางช้อนตัวหญิงสาวที่นอนหันหลังให้พลิกกลับมาอยู่ในอ้อมแขนหนาใหญ่ที่กระชับแน่น
“ซอนญ่า” แดเนียลยังคงเรียกชื่อนั้นแผ่วเบาขณะประทับริมฝีปากลงบนโหนกแก้มอันซีดเซียว อลินทิราดูอ่อนแรงและเขาก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักตัวของร่างบอบบางที่ลดลงฮวบฮาบ
“แดน” เสียงเบาหวิวลอดผ่านเรียวปากบางที่เผยอขึ้นลงบนใบหน้าอิดโรย หญิสาวค่อย ๆ ลืมตามองประกายสีน้ำเงินอมม่วงที่สะท้อนความอ่อนโยนจากใบหน้าคร้ามคม แดเนียลขบกรามนูนเป็นสันและไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมหัวใจของเขาจึงเต้นเนิบช้า ชายหนุ่มได้ยินบางอย่างหลังจากนั้นจึงก้มลงไปหาดวงหน้าแสนหวานเพื่อรับฟังเสียงที่ลอดผ่านลำคอของหญิงสาว
“แดน...ฉันอยากกลับบ้านค่ะ”
นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์หนุ่มแนบริมฝีปากกับกลีบปากผะผ่าวราวปรารถนาจะดูดซับความร้อนรุ่มจากตัวเธอไว้ทั้งหมด สำนึกบางอย่างเริ่มกัดกินหัวใจดวงนั้น เขาไม่ควรลงทัณฑ์ ออโซลย่า ด้วยการกักขังเธอไว้โดยไม่ยอมเหลียวแล
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ากระทั่งนายแพทย์ออซเทิร์กซึ่งเป็นชายวัยห้าสิบห้าปีเดินทางมาถึงและตรวจดูอาการของหญิงสาวที่นอนซมอย่างละเอียด หมอออซเทิร์กเป็นชายร่างสูง เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแซมขาวประปราย ใบหน้าเรียวนั้นสะอาดสะอ้านและมีนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายทำให้ดูอ่อนกว่าอายุที่แท้จริงหลายปี เขาตรวจร่างกายของหญิงสาวอยู่นานจนแดเนียลเองเริ่มกระวนกระวายใจ
“ผมฉีดยาให้เธอแล้ว เกลือแร่ในเลือดของเธอต่ำมาก...อืม...แน่ใจนะแดเนียลว่าจะไม่พาเธอไปโรงพยาบาล”
เขาหันมาถามชายหนุ่มหลังจากเก็บอุปกรณ์และมองดูคนไข้อย่างชั่งใจ ออซเทิร์กเป็นหมอประจำตัวของแดเนียลที่ไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับการกระทำประหลาดของบุตรชายคนหัวปีในตระกูลไพรซ์ที่เกิดขึ้นแบบคับขันเสมอ
“แล้วถ้าผมจะให้เธออยู่ที่นี่ล่ะครับหมอ”
“มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เลวร้ายหรอก เพียงแต่คุณต้องดูและเธออย่างใกล้ชิดและต้องไม่ละเลยเรื่องยาที่หมอจะจัดไว้ให้ หรือถ้าไม่แน่ใจจะให้คนของคุณพาเธอไปโรงพยาบาลก็ได้”
“ไม่ดีกว่าครับหมอ” แดเนียลส่ายหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแย่จนเกินไปผมก็อยากดูแลเธอเอง”
“ไม่มีอะไรแย่...แต่หมอเป็นห่วงคนเฝ้าไข้เพราะถ้าไม่ได้พักผ่อนเดี๋ยวจะทรุดตามไปอีกคน”
นายแพทย์แสดงความเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นแววตาของแดเนียลซึ่งกำลังจับจ้องที่ร่างบอบบางใต้ผ้าห่มก็ไม่นึกทัดทานอะไรอีก
“หมอครับ ถ้ายังไงผมจะให้คนของผมปรับหมอมาดูอาการของซอนญ่าจนกว่าเธอจะดีขึ้น”
“ด้วยความยินดี แดเนียล คุณก็ต้องดูแลตัวเองเช่นเดียวกัน”
หมอออซเทิร์กรับคำก่อนออกไปจากห้องนั้นทิ้งไว้แต่ยาที่จัดไว้ให้ผู้ป่วยและร่างสูงใหญ่นั่งพินิจใบหน้าซีดเซียวของร่างแน่งน้อยที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวบนเตียง
อาการของอลินทิราดีขึ้นเป็นลำดับหลังจากได้รับยาบำรุงผ่านเส้นเลือดผ่านไปแล้วกว่าแปดชั่วโมง เธอหลับสนิทและหายใจในระดับปกติโดยความร้อนในตัวก็ลดตามไปด้วย แดเนียลไม่รู้ว่าเขานั่งเฝ้าหญิงสาวได้อย่างไรโดยไม่ยอมหลับยอมนอนยาวนานจนถึงเวลาดึกดื่น อาจเป็นไปได้ว่าในห้องทึบและแคบนั้นทำให้เขาไม่รู้สึกถึงแต่ละชั่วยามที่เคลื่อนผ่านไปหลายชั่วโมง
ชายหนุ่มยังคงเฝ้ามองแก้มซีดบนดวงหน้างามซึ่งค่อย ๆ มีเลือดฝาดจนตัวเขาเองผล็อยหลับไปข้าง ๆ นั่นเอง ร่างสูงใหญ่เบียดตัวเองจนชิดร่างอรชรบนเตียงเล็กโดยไม่รู้สึกถึงมือไม้ที่ป่ายแปะของหญิงสาวที่เพิ่งรู้สึกตัว
“แดเนียล” อลินทิราขานเรียกออกมาเมื่อภาพแรกที่ดวงตาเปิดรับคือใบหน้าหล่อเหลาซึ่งดวงตาปิดสนิทนั้นแนบชิดอยู่กับใบหน้า ของเธอ เมื่อสติกลับคืนเป็นปกติสายลับสาวจึงคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่แดเนียลไม่เหยียบย่างเข้ามาในห้องนี้เลย หญิงสาวเลือกที่จะลงโทษตัวเองด้วยการปฏิเสธอาหารทุกมื้อที่การ์ดของเขานำเข้ามาให้ และอดหวังในใจลึก ๆ ไม่ได้ว่าจะเห็นร่างสูงใหญ่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินอมม่วงก้าวเข้ามาเมื่อประตูนิรภัยเปิดออก
หากก็ไม่ใช่เขาทุกครั้งจนอลินทิรารู้สึกหมดสิ้นกำลังและความหวังที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึก หญิงสาวไม่คิดประชดประชัน เธอกำลังคิดถึงทางเลือกสุดท้ายและตัดสินใจได้แล้วในตอนนี้
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต