จากที่วุ่นวายใจก็กลับกลายเป็นความกังวลเมื่อคนของเขารายงานว่าคนถูกจองจำไม่ยอมแตะอาหารแม้แต่อย่างเดียวนับตั้งแต่วันที่เขาก้าวเท้าออกมาจากที่แห่งนั้น นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์หนุ่มกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างหากก็ตองชะงักเมื่อร่างระหงในชุดสูทภูมิฐานก้าวเข้ามาภายในห้องโถงขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะลุกจากโต๊ะอาหาร
“แดเนียล พี่กำลังจะไปไหนหรือคะ?”
โมนิกาทักทายญาติผู้พี่ซึ่งน้อยครั้งนักที่เธอจะได้ทานอาหารมื้อเช้าพร้อมกับเขา ชายหนุ่มในชุดลำลองนั่งลงอีกครั้งและแค่ปรายยิ้มจางก่อนพูด
“พี่กำลังจะกลับไปที่ห้องทำงาน มีหลายอย่างที่ยังไม่ได้สะสางตอนไปอิตาลี”
“หรือคะ?” โมนิกาเลิกคิ้วสูงขณะแม่บ้านยกชุดอาหารซึ่งเป็นไข่ดาวและเบคอนพร้อมชามาวางตรงหน้า “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็คงต้องพิจารณาเรื่องการปรับปรุงตึกไพรซ์ บิวดิ้งในนิวยอร์คอย่างเร่งด่วน เอ้อ...ฉันพูดเรื่องนี้กับคุณเพียร์สันแล้ว แต่เขาบอกว่าต้องได้รับการอนุมัติจากประธานบริหาร ไพรซ์ คอร์ป เสียก่อน ฉันก็ไม่เป็นว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากนะคะ ก็แค่ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้ตึกสำนักงานของเราในนิวยอร์คดูหราขึ้นเพื่อเป็นหน้าตาให้บริษัทของเรา”
“พี่ยังไม่เห็นโครงการนี้ แต่ถ้าเธอคิดว่ามันจะส่งผลดีต่อบริษัทในอนาคตพี่ก็จะรีบพิจารณาอนุมัติให้”
“จริงนะคะ” โมนิกาตาวาว เธอตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินหากก็ยังไม่ลืมอีกเรื่องที่สำคัญ
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะรีบดำเนินโครงการทันทีหลังจากที่พี่อนุมัติแล้ว อืม...ว่าแต่วันนี้เงียบ ๆ นะคะ ตั้งแต่แม่สาวยูทาห์ของพี่ไม่อยู่”
คำกล่าวนั้นทำให้แดเนียลชะงัก ชายหนุ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอีกหากก็ปรับสีหน้าให้ดูเสมือนว่าไม่มีอะไรทุกข์ร้อน
“เธอไปก็ดีแล้ว”
“แม่ผู้หญิงข้างถนน” โมนิกาเหยียดยิ้มมุมปากขณะบรรจงใช้มีดหั่นเบคอนเป็นชิ้นเล็ก “ปล่อยเจ้าหล่อนไปเถอะค่ะ ผู้หญิงแบบนั้นก็คงใช้แค่ความสวยหลอกล่อผู้ชายไปวัน ๆ แต่คงไม่มีใครคิดจริงจังด้วย พวกผู้หญิงรักสนุก”
“เธอคงกลับยูทาห์ไปแล้วกระมัง” แดเนียลตัดบทเสียงเครียด “พี่คงต้องไปห้องทำงานก่อน ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ทานมื้อเช้าด้วย”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป โมนิกาวางมีดและส้อมในมือลงพร้อมความรู้สึกคุกรุ่นข้างในที่พวยพุ่งขึ้นมา แดเนียลกำลังโกหก ถึงเขาจะเยือกเย็นแค่ไหนแต่ความวุ่นวายใจมันฟ้องในดวงตาคู่นั้น ญาติผู้พี่ของเธอไม่ได้ปล่อยหล่อนไป เมื่อคืนเฟลรอฟส่งข่าวน่าผิดหวังมาทางข้อความลับว่าเขาเกือบได้โอกาสปิดปากออโซลย่า แต่พระเจ้าดันเข้าข้างนังสายลับตัวแสบเพราะแดเนียลตามทันและพาเจ้าหล่อนกลับไป หากก็ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่พาสายลับของไซออนเนตไปซุกซ่อนไว้ที่ไหน โมนิกาคิดว่าแผนของเธอสำเร็จแล้วที่ทำให้แดเนียลรู้ว่าแม่สาวยูทาห์ไม่จริงใจ เธอคิดว่าออโซลย่าจะสิ้นชื่อตั้งแต่คืนนั้นทว่าทุกอย่างก็ล้มเหลวอีกจนได้
แต่...เธอจะไม่ยอมหยุดยั้ง โมนิกาคิดได้ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งข้อความสำคัญหาคนสนิท
“เตรียมพร้อมสำหรับที่ทำการใหม่ เตรียมเชื่อมโยงเครือข่ายเร็ว ๆ นี้”
ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองก้าวยาว ๆ ผ่านประตูนิรภัยที่เปิดให้โดยอัตโนมัติเมื่อสแกนนัยน์ตาเชื่อมโยงกับระบบความปลอดภัย ปื้นคิ้วหนาสีน้ำตาลเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาขมวดมุ่นเมื่อไปถึงหน้าประตูนิรภัยบานสุดท้ายที่มีบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยืนเฝ้าอยู่เพียงคนเดียว
“ออโซลย่าล่ะ...วันนี้เธอกินอะไรหรือยัง?”
แดเนียลถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและคำตอบที่ได้คือการ์ดของเขาส่ายหน้าไปมา
“เหมือนเดิมครับ คุณแดเนียล...เธอดื่มแต่น้ำ แต่ไม่ยอมกินอาหารที่ผมเอาเข้าไปให้เลยแม้แต่มื้อเดียวครับ”
“ให้ตายเถอะ!” ชายหน่มสบถเสียงดังก่อนก้าวผ่านบอดี้การ์ดร่างใหญ่เข้าไปภายในห้องเล็กที่เงียบแสนเงียบ แดเนียลเห็นก็แต่ร่างบอบบางที่นอนหันหลังให้ เธออยู่ในชุดกระโปรงผ้าไหมสีครีมและห่มคลุมช่วงตัวท่อนบนด้วยเสื้อสูทสีเทาควันบุหรี่
มันเป็นสูทของเขาที่ถอดทิ้งไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาที่นี่ ร่างสูงตระหง่านสืบเท้าเข้าไปดูที่เตียงเล็กใกล้ ๆ เพื่อจะเห็นว่าอลินทิรานอนหลับตาพริ้มทว่าแก้มนั้นซูบลงกว่าเดิม เสียงหายใจนั้นแสนเบาจนชายหนุ่มต้องคุกเข่าลงมองดูใกล้ ๆ
สำนึกบางอย่างแล่นปราดเข้าจับหัวใจเยือกแข็ง นี่หรือคือการตอบโต้การกระทำรุนแรงที่เขาสาดอารมณ์ ร้ายใส่เธอในวันนั้น ร่างเล็กบางดูสงบนิ่งอย่างน่าใจหายจนนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปจนชิด ความขุ่นแค้นที่ปะทุก่อนหน้าคลายลงเมื่ออีกความรู้สึกคืบคลานเข้ามาแทนที่
“ซอนญ่า...ซอนญ่า...ได้ยินผมไหม?”
เสียงกระซิบนั้นแผ่วผาดทว่ากลับมีพลังมากพอจะดึงสติสัมปชัญญะของผู้หลับใหลกลับคืน อลินทิราค่อย ๆ เปิดเปลือกตาด้วยท่าทีอ่อนล้าและราโรย
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต