"ไม่จำเป็น ข้ารู้เรื่องนี้มานานแล้ว" กู้จิ่นกล่าวเรียบๆ "ฉู่เลี่ยนส่งคนมาวางกับดักในสนามล่าสัตว์บนเขาซานชิงมากมายเช่นนี้ หากข้าถึงกับไม่รู้ ก็คงน่าละอายเกินไป"ที่แท้เขาก็รู้มานานแล้ว เจียงซุ่ยฮวนถามอย่างประหลาดใจ "คืนนี้ท่านออกไปจัดการเรื่องนี้หรือ?""อืม เพิ่งพาคนไปกำจัดกับดักพวกนั้นทั้งหมด" ดวงตาของกู้จิ่นวาบขึ้นด้วยแววดูแคลน "ฉู่เลี่ยนชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมพวกนี้เสมอ น่าเสียดายที่ปัญญาไม่พอ หากผู้อื่นพลาดพลั้งติดกับดักพวกนี้ได้รับบาดเจ็บ เขาย่อมหนีความผิดไม่พ้น"เจียงซุ่ยฮวนกล่าว "เขาพูดว่าอยากโดดเด่น แต่จริงๆ แล้วจะเป็นเพราะต้องการรำระบำอวยพรในพิธีบวงสรวงหรือไม่?""ในต้าเหยียนมีตำนานว่า ผู้ใดรำระบำอวยพรในพิธีบวงสรวงแล้วฝนตกหนัก ผู้นั้นจะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต""ไม่ใช่" กู้จิ่นส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด "คนอื่นอาจเป็นไปได้ แต่ฉู่เลี่ยนผู้นี้ เป็นคนรักการโอ้อวดจริงๆ""อ้อ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี "ดึกแล้ว องค์ชายรีบไปพักผ่อนเถิด"ทั้งสองกล่าวราตรีสวัสดิ์ แล้วกลับห้องของตนคืนนั้นเจียงซุ่ยฮวนหลับสบาย ตื่นเช้าเปิดประตู เห็นกู้จิ่นแต่งตัวพร้อมกำลังเดินออกนอกประตูนางยังง่วง
ชุนหลิวและชุนหยางไม่ยอมคำนับ ทั้งไม่ยอมทำงาน เพียงยืนอยู่ข้างๆ ราวกับว่าเจียงซุ่ยฮวนเป็นอากาศธาตุในใจพวกนางไม่พอใจยิ่ง นางกำนัลคนอื่นล้วนได้อยู่ข้างกายฮองเฮา พำนักในหอเฟิ่งหมิง เครื่องอุปโภคบริโภคล้วนดีเลิศแต่พวกนางสองคนกลับต้องมาดูแลหมอหลวงหญิงผู้หนึ่ง ต้องอยู่ในเรือนด้านข้างทุกวัน ซ้ำยังมีองค์ชายเป่ยโม่พักอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้พวกนางหวาดกลัวไม่เป็นสุขด้วยเหตุนี้พวกนางจึงไม่แสดงสีหน้าดีต่อเจียงซุ่ยฮวนแม้แต่น้อยเจียงซุ่ยฮวนสั่งให้ชุนหลิวไปรินชา ชุนหลิวทำเป็นไม่ได้ยิน ยืนนิ่งอยู่กับที่เจียงซุ่ยฮวนพูดอีกครั้ง ชุนหลิวจึงพูดเสียงประชดประชัน "หมอหลวงเจียง พวกเราปกติรับใช้แต่ฮองเฮาเท่านั้น วันนี้เพิ่งมาที่เช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าชาอยู่ที่ใด ท่านคงต้องไปรินเอง"เจียงซุ่ยฮวนโกรธจนหัวเราะ นางกำนัลน้อยผู้นี้อาศัยอำนาจผู้อื่น หวังจะใช้อำนาจฮองเฮากดข่มนาง จะทนได้อย่างไร?นางยิ้มมุมปาก เอ่ยว่า "เจ้าพูดมีเหตุผล พวกเจ้าเป็นนางกำนัลข้างกายฮองเฮา ข้าควรต้อนรับให้ดี จะให้พวกเจ้ามาทำงานได้อย่างไร"นางโบกมือให้ชุนหลิว "คงเหนื่อยที่ยืนแล้วกระมัง เจ้ามานั่งตรงนี้สิ ข้าจะไปรินชาให้เจ้าดื่ม แ
ชุนหลิวถูกบารมีของเจียงซุ่ยฮวนข่ม มือสั่นรับชามะลิมา ดื่มลงไปด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน แววรังเกียจในดวงตาเห็นได้ชัด"ชามะลิที่ผสมใบระบายและน้ำลายรสชาติเป็นอย่างไร?" เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะเยาะ รอยยิ้มแฝงแววเยาะหยันเจียงซุ่ยฮวนเกิดในตระกูลแพทย์ ตั้งแต่อายุสามขวบก็เริ่มแยกแยะสมุนไพรนานาชนิด ไม่ว่าสมุนไพรใด เพียงได้กลิ่นนางก็รู้แม้ชานี้จะใส่ดอกมะลิมากมาย แต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นใบระบาย อีกทั้งยังมีกลิ่นประหลาด คิดนิดหน่อยก็รู้ว่านางกำนัลถ่มน้ำลายลงไปในตำราแพทย์จีน ใบระบายมีฤทธิ์เย็น ใช้รักษาอาการท้องผูก หากกินมากเกินไปอาจท้องเสีย สตรีมีครรภ์กินเข้าไปอาจทำให้มดลูกบีบตัว ร้ายแรงถึงขั้นแท้งได้ชุนหลิวได้ยินคำพูดของเจียงซุ่ยฮวน ตกใจจนทำถ้วยชาในมือตกแตก เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับสิบชิ้นที่พวกนางทำเช่นนี้เพราะเมื่อครู่เจียงซุ่ยฮวนตบชุนหลิว และขู่ว่าจะฟ้องฮองเฮาชุนหลิวและชุนหยางเคยชินกับการได้หน้าในวัง ไม่เคยถูกดูถูกเช่นนี้ จึงแค้นเคืองเจียงซุ่ยฮวน คิดจะแอบสั่งสอนนางสักหน่อย แต่ไม่คิดว่านางจะเก่งกาจ รู้ทันในทันทีแต่ถึงเจียงซุ่ยฮวนจะจับได้ ทั้งสองก็ไม่รีบคุกเข่า เห็นชัดว่าคิดว่าเจียงซุ
นางกำนัลน้อยทั้งสองจึงตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา ขาอ่อนทรุดลงกับพื้น ตกใจจนลุกไม่ขึ้นชุนหยางถึงกับร้องไห้ด้วยความกลัว "หมอหลวงเจียง บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่กล้าอีกแล้วฮือๆๆ"เจียงซุ่ยฮวนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ข้าจะไม่นำเรื่องนี้ไปทูลฮองเฮา พวกเจ้าสองคนไปชงชามะลิมาอีก ต้องเหมือนเมื่อครู่ทุกประการ คนละกาดื่มให้หมด ข้าจึงจะไม่เอาความ"ชุนหลิวดื่มชามะลิไปหนึ่งถ้วย ท้องก็เริ่มปวดแล้ว นางไม่กล้าคิดว่าหากต้องดื่มอีกหนึ่งกาจะเป็นอย่างไรนางหน้าซีดเผือด กลับเข้าห้องไปชงชากับชุนหยาง เสียงเจียงซุ่ยฮวนดังมาจากลาน "จำที่ข้าพูดไว้ ต้องเหมือนชามะลิถ้วยเมื่อครู่ทุกประการ ขาดส่วนผสมแม้แต่น้อยไม่ได้"ชุนหลิวและชุนหยางแม้จะเสียใจภายหลังก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่ฝืนทนความคลื่นไส้ชงชามะลิใหม่สองกา แล้วดื่มต่อหน้าเจียงซุ่ยฮวนไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็กุมท้องวิ่งไปส้วม เพื่อแย่งส้วมถึงกับต่อยตีกัน ชุนหยางแย่งชุนหลิวไม่ได้ จึงต้องวิ่งออกไปจัดการข้างนอกพอถึงยามบ่าย ชุนหลิวและชุนหยางถ่ายจนแทบหมดแรง หน้าซีดจนยืนไม่มั่นเจียงซุ่ยฮวนมองทั้งสองอย่างสงบนิ่ง ถามว่า "ยังกล้าทำอีกหรือไม่?"ทั้งสองรีบส่ายหน้า "ไ
"เสร็จแล้ว" กู้จิ่นวางของในมือลงบนโต๊ะหิน เจียงซุ่ยฮวนมองดู เป็นปิ่นโตใส่อาหาร"เจ้าไม่ได้กินอะไรทั้งวัน นี่เป็นอาหารที่ข้าเพิ่งห่อมาจากครัว กินตอนร้อนๆ เถิด" กู้จิ่นเปิดปิ่นโต หยิบอาหารออกมาทีละอย่างอาหารเหล่านี้สมกับเป็นฝีมือพ่อครัวหลวง ทั้งสีสัน กลิ่นหอม และรสชาติครบครัน เจียงซุ่ยฮวนน้ำลายสอ หยิบตะเกียบขึ้นกินแต่เดิมนางกินจุอยู่แล้ว อีกทั้งหิวมาทั้งวัน จึงกินอาหารหมดอย่างรวดเร็วกู้จิ่นเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ "อิ่มหรือยัง? หากไม่พอ ข้าจะให้พ่อครัวหลวงทำมาอีก""พอแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนวางตะเกียบ รู้สึกอบอุ่นขึ้นเพราะได้พลังงานกู้จิ่นมองรอบด้าน พบว่าไม่มีคนปรนนิบัตินาง จึงขมวดคิ้วถาม "ข้าขอให้ฮองเฮาส่งนางกำนัลน้อยมาสองคน พวกนางยังไม่มาหรือ?"เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ กล่าว "มาแล้ว เมื่อครู่พวกนางรู้สึกไม่สบาย ข้าให้กลับไปพักก่อน พรุ่งนี้ค่ำค่อยมาใหม่""เกิดอะไรขึ้น?" กู้จิ่นถาม ฮองเฮาคงไม่พานางกำนัลที่ป่วยขึ้นเขา เขาคิดว่านางกำนัลสองคนนั้นคงแกล้งป่วยเพื่อขี้เกียจเจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนกลางวัน ดวงตากู้จิ่นหม่นลง "เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ ข้าจะไปบอกฮองเฮาเดี๋ยวนี้ แล้วส่งนา
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่มีรอยยิ้มของฮ่องเต้ ความตื่นเต้นในใจเจียงซุ่ยฮวนก็ลดลงไปครึ่งหนึ่ง นางลุกขึ้นมองฮ่องเต้แม้ฮ่องเต้จะมีพระชนมายุสามสิบเจ็ดพรรษาแล้ว แต่ดูยังหนุ่มนัก พระพักตร์คล้ายกู้จิ่นสามส่วน เพียงแต่เมื่อเทียบกับกู้จิ่นแล้ว พระพักตร์ฮ่องเต้ดูอ่อนโยนกว่าเล็กน้อยเมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเจียงซุ่ยฮวน รอยแย้มพระสรวลก็ลึกขึ้น "ที่แท้เป็นเด็กสาวงามถึงเพียงนี้ น่าแปลกที่จิ่นเอ๋อร์จะพานางมาร่วมงานล่าสัตว์"กู้จิ่นทูลอธิบาย "เสด็จพี่ ที่ข้าพาหมอหลวงเจียงมาด้วย เพราะวิชาแพทย์นางเป็นเลิศ มิใช่เพราะนางงดงาม"หลิวกงกง ขันทีใหญ่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ เมื่อเห็นใบหน้าเจียงซุ่ยฮวนชัดเจน ก็ตกใจจนต้องขยี้ตา แล้วเข้าไปกระซิบข้างพระกรรณฮ่องเต้ "ฝ่าบาท หมอหลวงเจียงผู้นี้คือเจียงซุ่ยฮวน ธิดาท่านอ๋องหย่งหนิง อดีตพระชายาองค์แรกขององค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ไม่ค่อยเสด็จออกนอกวัง และฉู่เจวี๋ยก็ไม่เคยพาเจียงซุ่ยฮวนเข้าวัง ฮ่องเต้จึงไม่เคยพบเจียงซุ่ยฮวนมาก่อนพระองค์เก็บรอยแย้มพระสรวล ตรัสอย่างจริงจัง "จิ่นเอ๋อร์ ที่หลิวกงกงว่ามาเป็นความจริงหรือ?""ทูลเสด็จพี่ เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นสีพระพักตร์ไม
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนพูด บุคลิกของนางสงบนิ่งและเย็นชา แฝงไว้ด้วยความมั่นใจเพียงความมั่นใจนี้ ก็ทำให้ฮ่องเต้ทรงเชื่อถือนางมากขึ้น แม้แต่หมอหลวงอาวุโสที่มีประสบการณ์มากในวังยังไม่กล้าพูดมั่นใจถึงเพียงนี้ การที่นางกล้าพูดเช่นนี้ คงมีความสามารถจริงโรคนอนไม่หลับดูเหมือนไม่ร้ายแรง ไม่เจ็บไม่ปวด แต่กลับทรมานคนไม่น้อย นานวันเข้าจิตใจจะอ่อนล้าลงเรื่อยๆฮ่องเต้ทรงทุกข์ทรมานจากโรคนอนไม่หลับมาหลายปี หมอหลวงในวังทั้งใหญ่น้อยต่างเคยถวายการรักษา แต่ละครั้งหลังเสวยยาจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่พอนานไปก็กลับเป็นเหมือนเดิมนานวันเข้า พระอาการของฮ่องเต้ยิ่งทรุดลง ต่อหน้าขุนนางต้องทรงแสร้งว่าไม่ประชวร จนบัดนี้ทั้งพระวรกายและพระทัยอ่อนล้าที่จริงฮ่องเต้ทรงหมดหวังที่จะรักษาโรคนอนไม่หลับแล้ว แม้กู้จิ่นจะทูลว่ารู้จักหมอเก่ง ฮ่องเต้ก็มิได้ทรงใส่พระทัยแต่บัดนี้ทอดพระเนตรเห็นท่าทีมั่นใจของเจียงซุ่ยฮวน ในพระทัยฮ่องเต้ก็เกิดความหวังขึ้นมา ทรงโบกพระหัตถ์ตรัสว่า "เมื่อหมอเจียงกล่าวเช่นนี้ เราจะลองยาที่เจ้าว่ามาดู หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวัง"การที่ฮ่องเต้เรียกเจียงซุ่ยฮวนว่าหมอเจียง แสดงว่าทรงยอมรับตำแหน่งหมอหลวงข
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเจียงซุ่ยฮวนที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดูเหมือนจะทรงนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้พระองค์ตรัสว่า "เรายุ่งกับราชการ อีกทั้งยังทุกข์กับอาการนอนไม่หลับ จึงไม่ได้สนใจเรื่องการสมรสของเจ้ากับฉู่เจวี๋ยเท่าใดนัก ทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงหย่าขาดกัน วันนี้เจ้าจงเล่าให้เราฟัง หากมีความคับข้องใจ เราจะช่วยตัดสินให้"เจียงซุ่ยฮวนเม้มริมฝีปาก นางไม่คิดจะบอกความจริง แม้ฮ่องเต้จะดูเหมือนโปรดปรานนาง แต่ฉู่เจวี๋ยเป็นพระโอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้ ท้ายที่สุดฮ่องเต้ก็ต้องเข้าข้างฉู่เจวี๋ย อย่างมากก็แค่ตำหนิฉู่เจวี๋ยเล็กน้อยเท่านั้นนางทูลเรียบๆ "ทูลฝ่าบาท ฉู่เจวี๋ยมิได้รังแกหม่อมฉัน พวกเรานิสัยไม่เข้ากัน อีกทั้งคนที่ฉู่เจวี๋ยรักจริงๆ คือเจียงเม่ยเอ๋อร์ หม่อมฉันยินดีถอยออกมาเพื่อให้พวกเขาได้ครองคู่กันเพคะ"ฮ่องเต้ตรัสอย่างเสียดาย "น่าเสียดายจริง เป็นฉู่เจวี๋ยที่ไม่มีวาสนา"มุมปากเจียงซุ่ยฮวนปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา "ฝ่าบาทไม่ต้องเสียดายเพคะ พระชายาองค์ปัจจุบันของฉู่เจวี๋ย เจียงเม่ยเอ๋อร์ อนุธิดาของอ๋องหย่งหนิง เชี่ยวชาญทั้งพิณ หมากรุก อักษรศิลป์ และจิตรกรรมตั้งแต่เยาว์วัย เป็นสตรีผู้เลอเลิศอันดับหนึ
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช