หลังรับประทานอาหารเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนนั่งรถม้ากลับบ้าน เพิ่งลงจากรถ หยิ่งเถาก็รีบเข้ามาต้อนรับ "คุณหนู ทำไมเพิ่งกลับมาเจ้าคะ?" "เพิ่งรับประทานอาหารค่ำที่จวนท่านอาจารย์จางมา" เจียงซุ่ยฮวนส่งเห็ดถังแตะที่ถือมาให้ "นำไปที่ครัว บอกจางอวิ๋นให้ต้มซุปไก่พรุ่งนี้" หยิ่งเถารับเห็ดมา กล่าวว่า "คุณหนู คุณหนูว่านเพิ่งมาหาท่าน หม่อมฉันบอกว่าท่านออกไปข้างนอก ให้นางมาใหม่พรุ่งนี้" เจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าว่านเมิ่งเยียนคงได้ยินข่าวการสิ้นสุดการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง จึงตั้งใจมาหานาง นางก้าวเข้าห้อง "ข้าจะพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ว่านเมิ่งเยียนมาค่อยเรียกข้า" จากบ้านมาหลายวัน นางคิดถึงเตียงของตนเองมาก จำเป็นต้องนอนพักให้เต็มที่ "อ้อใช่" นางหยุดฝีก้าว "จัดห้องให้ชุนเถาเรียบร้อยแล้วหรือ?" "เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อยู่ติดกับห้องของหม่อมฉันกับหงหลัว นางพอใจมาก" "พวกเจ้าอยู่ด้วยกันราบรื่นดีหรือ?" "ราบรื่นดีเจ้าค่ะ โดยเฉพาะป้าจางอวิ๋น ชอบนางมากทีเดียว" หยิ่งเถายิ้ม "อาหารทุกจานที่ป้าจางอวิ๋นทำ นางบอกว่าอร่อยทั้งหมด สุดท้ายยังกินจนหมดเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือ" มุมปากเจียงซุ่ยฮวนยกขึ้นเล็กน้อย ถามต่อว่
คำพูดนี้เป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน เจียงซุ่ยฮวนไม่เพียงมองออกถึงความรู้สึกของกู้จิ่น แต่นางเองก็รู้สึกหวั่นไหวต่อเขา เช่นยามนี้ กู้จิ่นอยู่ใกล้นางเหลือเกิน นางถึงกับได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้น "ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!" แต่นางไม่อาจตอบรับความรู้สึกของกู้จิ่น ไม่เพียงเพราะฐานะที่ห่างกันเกินไป สำคัญกว่านั้นคือในท้องนางยังมีทารก และกู้จิ่นก็ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อกู้จิ่นได้ยินคำตอบของเจียงซุ่ยฮวน เขาก้มตัวเข้าใกล้นางมากขึ้น นางหลับตาแน่น ขนตายาวดกดำสั่นไหวเบาๆ ถึงกับได้ยินเสียงลมหายใจเร่งรีบของกู้จิ่น ราวกับกำลังอดกลั้นบางสิ่ง กู้จิ่นอยู่ข้างนอกมานานเท่าใดไม่ทราบ ลมหายใจที่เป่าออกมามีไอเย็นบางเบา ผมที่ขมับของนางสั่นไหวในลมหายใจนั้น เช่นเดียวกับหัวใจของนางในยามนี้ "ได้" กู้จิ่นเอ่ยอีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำลงกว่าเดิม "เมื่อเจ้ามองไม่ออก ข้าก็จะบอกตรงๆ" "อาฮวน ข้าชอบเจ้า" เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้นทันที วินาถัดมาก็สบเข้ากับสายตาของกู้จิ่น แววตาของเขาอ่อนโยนลึกล้ำ นางแทบจะจมดิ่งลงไปในนั้น กู้จิ่นแสดงท่าทีประหม่าต่อหน้านางเป็นครั้งแรก ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ก่อนถามว่า "เจ้ายินดีเป็นชายา
น้ำเสียงของกู้จิ่นแสนอ่อนโยนแหบพร่า เจียงซุ่ยฮวนฟังจนแก้มแดงระเรื่อ กัดริมฝีปากจนเกือบเลือดออก "องค์ชาย..." นางหลับตาลง ฝืนใจผลักกู้จิ่นออก "ขออภัย หม่อมฉันไม่อาจอยู่ร่วมกับท่านได้จริงๆ" กู้จิ่นชะงักเล็กน้อย "เจ้าไม่มีใจให้ข้าเลยหรือ?" นางเงียบไม่ตอบ กู้จิ่นหลุบตาลง น้ำเสียงแฝงความเหงาหงอยที่แทบสังเกตไม่ได้ "ข้าเข้าใจแล้ว ขออภัยคุณหนูเจียง ที่รบกวนยามดึกเช่นนี้" "ก่อนหน้านี้คิดว่าเจ้าก็มีใจให้ข้า ตอนนี้ดูเหมือนข้าจะเข้าใจผิดเอง" กู้จิ่นถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้ากลับมาสงบนิ่ง ยกเท้าเดินออกนอกประตู "เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าขอตัวก่อน" "รอก่อน!" เจียงซุ่ยฮวนเรียกกู้จิ่นไว้ นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกที่จะบอกความจริง "ที่หม่อมฉันไม่ยอมรับ เพราะหม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์ และใกล้คลอดแล้ว!" กู้จิ่นหยุดฝีก้าวฉับพลัน เมื่อหันกลับมาสีหน้าซีดขาวผิดปกติ เขาจ้องท้องของเจียงซุ่ยฮวนแน่วนิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกต ตอนนี้ดูแล้วนูนขึ้นจริงๆ เขาถามว่า "เด็กในท้องเจ้า เป็นลูกของฉู่เจวี๋ยหรือ?" "ไม่ใช่!" เจียงซุ่ยฮวนรีบส่ายหน้า "แล้วเป็นลูกของใคร?" สีหน้ากู้จิ่นซับซ้อน เจียงซุ่ยฮวนเม้มปากแน่น
ยวี่จี๋สบตากับจางอวิ๋น ยวี่จี๋ถามอย่างระมัดระวัง "คุณหนู หากมีผู้ใดทรมานพวกเรา บังคับให้พวกเราเปิดเผยความลับ จะทำอย่างไร?" ยวี่จี๋สมกับเป็นผู้ดูแลจวน คิดรอบคอบกว่าผู้อื่น เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างไม่แสดงอาการใดๆ "ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามบอกออกไป หากมีผู้ใดทรมานบังคับพวกเจ้า ข้าจะรับผิดชอบรักษาพยาบาลและชดเชยให้ แต่มีข้อแม้ว่าพวกเจ้าต้องไม่เปิดเผยความลับ" "ข้าพูดถึงเพียงเท่านี้ พวกเจ้าเลือกได้ว่าจะประทับลายนิ้วมือหรือไม่ หากไม่ประทับ ก็เก็บข้าวของออกไปได้เลย ก่อนจากไปข้าจะจ่ายค่าจ้างเดือนนี้ให้" นิ้วชี้ของเจียงซุ่ยฮวนเคาะโต๊ะเบาๆ "ไม่ต้องรีบ ข้าให้เวลาพวกเจ้าคิดหนึ่งธูป" หยิ่งเถาและหงหลัวเลือกประทับลายนิ้วมือโดยไม่ลังเล "คุณหนู พวกเราจะรักษาความลับอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!" ชุนเถาก็ประทับลายนิ้วมือตาม "อาจารย์ ข้าก็จะรักษาความลับเช่นกันเจ้าค่ะ" เหลือเพียงยวี่จี๋และจางอวิ๋นที่ยังลังเล มิใช่ไม่อยากรักษาความลับ แต่กังวลว่าภายภาคหน้าอาจเผชิญอันตรายถึงชีวิต แต่ทั้งสองคิดอีกที พวกเขารับใช้ผู้คนมามาก เจียงซุ่ยฮวนปฏิบัติต่อพวกเขาดีที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเขาทำงานที่จวนอัครเสนาบดี ถูกเมิ่งเซียวขายไป
"ในช่วงที่ท่านไม่อยู่บ้าน บางครั้งก็มีลุงแก่มาขายสมุนไพร ลุงยวี่ซื้อไว้ทั้งหมด รอท่านกลับมาใช้เจ้าค่ะ" "เก็บไว้ก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมารักษา ส่วนสมุนไพรพวกนั้น หากเก็บถูกวิธีก็จะไม่เสีย" เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ ก่อนหน้านี้ฮูหยินอ๋องให้คนแพร่ข่าวลือว่านางเป็นหมอปลอม ทำให้ไม่มีใครกล้ามารักษา แต่นางไม่ใส่ใจ นางมีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้คน แต่พวกเขากลับไม่เชื่อใจนาง แล้วนางจะไปวิ่งตามเอาใจพวกเขาทำไม มีเสียงดังจากนอกประตู หยิ่งเถาพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามว่า "คุณหนู จะให้ขังสี่จือไว้ก่อนไหมเจ้าคะ เกรงว่ามันจะพุ่งชนท่านโดยไม่ตั้งใจ" เจียงซุ่ยฮวนคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า "ไม่เป็นไร สี่จือรู้กาลเทศะ เมื่อวานเห็นข้าก็ไม่ได้วิ่งเข้ามา ปล่อยให้มันอยู่ในลานเถอะ จะได้เฝ้าบ้านด้วย" สี่จือฉลาดมาก สามารถแยกแยะคนดีคนเลวได้ เจียงซุ่ยฮวนไว้ใจมัน สายตาของหยิ่งเถามักจ้องที่ท้องของเจียงซุ่ยฮวนโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็นึกถึงปัญหาสำคัญ "คุณหนู เมื่อเด็กคลอดแล้วต้องเตรียมอะไรบ้างเจ้าคะ?" เจียงซุ่ยฮวนเขียนสิ่งที่ต้องใช้ทั้งหมดลงบนกระดาษ มอบให้หยิ่งเถาไปจัดเตรียม หลังหยิ่งเถาออกไป ในห้องเหลือเพียงชุนเ
เจียงซุ่ยฮวนไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเงียบไม่พูดจา ว่านเมิ่งเยียนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา นางดึงแขนเสื้อเจียงซุ่ยฮวน เสียงแฝงความสะอื้น "อาฮวน เจ้าพูดสิ เกิดเรื่องกับเสวียหลิงใช่หรือไม่?" "สัตว์ป่าในภูเขาดุร้าย เขาถูกกินไปแล้วหรือ?" เห็นว่านเมิ่งเยียนคาดเดาเกินจริง เจียงซุ่ยฮวนจำต้องกล่าว "เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ เสวียหลิงยังมีชีวิตอยู่ดี มิได้ถูกสัตว์ป่ากินไป" เสียงร้องไห้ของว่านเมิ่งเยียนหยุดกะทันหัน "แล้วเหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเช่นนี้?" เจียงซุ่ยฮวนเห็นสีหน้ากังวลของนาง พูดไม่ออก นางรักเสวียหลิงมากเพียงนั้น หากรู้ว่าเสวียหลิงถูกวางยากู่โลหิต คงรับไม่ได้แน่ นางกำแขนเสื้อเจียงซุ่ยฮวนแน่น "หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสวียหลิง ขอร้องละ บอกข้าด้วย ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใคร!" "เรื่องนี้..." เจียงซุ่ยฮวนลำบากใจยิ่ง เรื่องที่เสวียหลิงถูกกู่โลหิต คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ นางเองก็ไม่กล้าบอกใครง่ายๆ คิดอยู่หลายตลบ เจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าว "ข้าบอกได้เพียงว่าเสวียหลิงยังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นข้าไม่อาจพูดมาก" "พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปจวนสกุลเสวีย ส่วนจะได้พบเสวียหลิงหรือไม่ ต้องดูความเห็นของท่านพ่อท่านแม่เขา"
หลังดูการตกแต่งชั้นหนึ่งทั้งหมด เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกขาอ่อน ถึงขั้นไม่กล้าถามว่าใช้เงินไปเท่าไหร่การตกแต่งหรูหราขนาดนี้ อย่าว่าแต่เปิดร้านเสริมสวยเลย แม้แต่ใช้เป็นโรงแรมก็ต้องห้าดาวเป็นอย่างต่ำว่านเมิ่งเยียนถามอย่างตื่นเต้น "ทั้งหมดนี้ข้าเลือกเอง เจ้าคิดว่าอย่างไร? ถ้าไม่พอใจข้าจะแก้ไขใหม่""พอใจมาก" เจียงซุ่ยฮวนชื่นชม แล้วถามอย่างลังเล "เตียง ผ้าม่าน และพื้นพวกนี้ ล้วนใช้วัสดุชั้นดี คงใช้เงินไปไม่น้อยสินะ?"ว่านเมิ่งเยียนตอบ "ก็พอไหว"พอนางบอกว่าพอไหว เจียงซุ่ยฮวนก็รู้ว่าแย่แล้วจริงดังคาด นางเอ่ยว่า "รวมเสาหน้าประตูสองต้นนั่น ทั้งหมดก็แค่สามหมื่นกว่าตำลึง""พื้นและผ้าม่านข้าสั่งทำกับคนรู้จัก ราคาลดให้มาก แค่แจกันเซรามิกนี่แพงหน่อย เป็นฝีมือช่างสมัยราชวงศ์ก่อน นับเป็นของโบราณแล้ว"เจียงซุ่ยฮวนยื่นมือเกาะกรอบประตู พยายามยืนให้มั่นสามหมื่นกว่าตำลึง แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาในเมืองหลวง ก็ต้องอดข้าวอดน้ำเก็บกันหลายชั่วคนซื้อร้านนี้ใช้เงินสี่หมื่นเจ็ดพันตำลึง นางยังขาดอีกสองหมื่นกว่าตำลึงต้องผ่อนจ่าย แต่ว่านเมิ่งเยียนใช้เงินแค่ซ่อมแซมก็สามหมื่นกว่าตำลึง นางต้องทำงานนานแค่ไหนถึงจะหาเงิ
ที่ลานหน้าจวน กงซุนซวีถือดาบยาวที่แกะจากไม้ กำลังฝึกฟันดาบอยู่ในลาน แม้ท่าทางของเขาจะยังใช้แรงไม่เต็มที่ แต่ดูจากการร่ายรำทีละท่าแล้ว เห็นได้ว่ามีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่เขายังเด็ก รากฐานไม่แน่นพอ หลายวันที่ไม่ได้ฝึก พื้นฐานที่ดีก็เริ่มเสื่อมถอย เจียงซุ่ยฮวนดูอยู่ครู่ใหญ่ ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้น "ท่าทางเจ้าลอยเกินไป อันดับแรกต้องยืนให้มั่น อันดับสองต้องฟันดาบให้เร็ว จิตใจต้องไม่วอกแวก จึงจะเป็นหนึ่งเดียวกับดาบได้" แม้กงซุนซวีจะไม่หยุดเคลื่อนไหว แต่เห็นได้ชัดว่ารับฟังคำพูดของเจียงซุ่ยฮวน ฝีเท้าที่เดิมไม่มั่นคงก็มั่นคงขึ้นมาก เจียงซุ่ยฮวนพูดต่อ "ดาบเป็นอาวุธร้ายแรง เวลาใช้ดาบต้องเร็ว แม่น และโหด ไม่อาจเฉื่อยชาอืดอาด ขณะออกท่าต้องมองท่าของคู่ต่อสู้ให้ชัด คิดว่าท่าต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่สนใจแต่ฟันดาบของตน เช่นนั้นจะบาดเจ็บได้ง่าย" ภายใต้การชี้แนะของนาง ท่าฟันดาบของกงซุนซวีก็เด็ดขาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนดูราวกับเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นทันที เจียงซุ่ยฮวนมองด้วยความพอใจ ชี้แนะเป็นระยะ ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่างดงามขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งชั่วยามผ่านไป กงซุนซวีวางดาบในมือ ใบหน้าเต็มไปด้
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช