"ไม่มีอะไร" เจียงซุ่ยฮวนผลักเขาเบา ๆ หันไปพูดกับกู้จิ่น "องค์ชาย พวกเรากลับก่อนเถิดเพคะ" กู้จิ่นยกมุมปาก "ได้" เขายิ้มที่มุมปาก แต่ขมวดคิ้วแน่น และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เจียงซุ่ยฮวนเม้มปาก จู่ ๆ ก็ก้าวเข้าไปกอดเขา พูดเสียงนุ่ม "ไม่ว่าแมงป่องพิษจะเป็นผู้ใด หม่อมฉันเชื่อว่าท่านจะเอาชนะเขาได้แน่นอน" ฉู่เฉินร้อง "อ้าว" ปิดตาเดินไปที่ประตู "ไม่ควรมอง ไม่ควรมอง!" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกเขินในใจ จึงปล่อยมือที่กอดกู้จิ่น แต่วินาทีถัดมา กู้จิ่นกลับดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแน่น "องค์ชาย..." คางนางแนบไหล่กู้จิ่น เรียกเขาอย่างงุนงง น้ำเสียงกู้จิ่นฟังดูทุกข์ใจ "อาฮวน ขอกอดเจ้าสักครู่" นางรู้สึกสงสัยในใจ กู้จิ่นรู้แล้วว่าแมงป่องพิษเป็นใคร ไม่ควรดีใจหรือ? ไฉนจึงโศกเศร้าเช่นนี้? บางที แมงป่องพิษอาจเป็นคนที่เขารู้จัก... นางตอบกอดกู้จิ่น "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็มีหม่อมฉันอยู่เคียงข้างท่านนะเพคะ" นางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของกู้จิ่น ข้างหูคือเสียงทุ้มต่ำของเขา "อาฮวน ขอบคุณเจ้ามาก" "เหตุใดจู่ ๆ จึงขอบคุณหม่อมฉัน?" เจียงซุ่ยฮวนกะพริบตาถาม กู้จิ่นไม่ตอบ แต่ค่อย ๆ ปล่อยมือ บอกชางอี้ "ส่งพวกเขากลั
"เจ้า เจ้าร้องไห้ทำไม?" ฉู่เฉินเกาศีรษะอย่างงุนงง หันไปพูดกับเจียงซุ่ยฮวนเพื่อยืนยันตัวเอง "เจ้าเก้า ข้าไม่ได้ทำอะไรนะ!" "ท่านไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำอะไร" เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ "ท่านถอนพิษเลือดให้เสวียหลิงนี่" "นางตื้นตันใจ ร้องไห้ด้วยความดีใจ" ได้ยินคำพูดของเจียงซุ่ยฮวน ฉู่เฉินจึงวางใจ เขาก้มลงเก็บธนบัตรที่ตก นับดูไม่มีปัญหาแล้วเก็บเข้าอก เขาโผล่ศีรษะออกนอกหน้าต่าง กล่าวว่า "คุณหนูว่าน ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว" ว่านเมิ่งเยียนเช็ดน้ำตาไม่หยุดด้วยความยินดี ตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่กล่าว "ขอบคุณ" ไม่หยุด บนถนนแทบไม่มีผู้คน ลมเย็นพัดใบไม้ร่วง ดูเงียบเหงา เจียงซุ่ยฮวนกล่าว "เมิ่งเยียน เจ้าขึ้นมาเถิด ข้าจะให้สารถีส่งเจ้ากลับบ้านก่อน" หลังว่านเมิ่งเยียนขึ้นรถ ฉู่เฉินแสดงไหวพริบนั่งในมุมห้อง "พวกเจ้าคุยกันเถิด ไม่ต้องสนใจข้า" "ขอบคุณ" ว่านเมิ่งเยียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วนั่งข้างเจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนเห็นแววตาเปล่งประกายของนาง จึงแซว "ตอนนี้เสวียหลิงฟื้นแล้ว พวกเจ้าใกล้จะมีข่าวดีหรือ?" นางหันหน้าไปอย่างเขินอาย "ไม่หรอก พวกเรายังไม่ถึงขั้นนั้น"
เจียงอวี่ยังคงแยกแยะได้ว่าสิ่งใดหนักสิ่งใดเบาระหว่างน้องสาวที่มิได้ร่วมสายเลือดกับบิดามารดาแท้ ๆ นางถามว่า "อยู่ที่ใดหรือ" หงหลัวชี้ไปที่ห้องรับแขก "หยิ่งเถาพาเขาไปที่ห้องรับแขกแล้วเพคะ" "อืม ข้ารู้แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนยกเท้าเดินตรงไปยังห้องรับแขก ในห้องรับแขก หยิ่งเถายืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าเจียงอวี่ มือถือกาน้ำชา เจียงอวี่กุมถ้วยชาในมือ มองสำรวจหยิ่งเถาตั้งแต่หัวจรดเท้า จู่ ๆ ก็เอ่ยว่า "ข้าจำเจ้าได้" "เมื่อก่อนเจ้าเป็นสาวใช้เล็ก ๆ ในจวนอ๋อง" หยิ่งเถากัดริมฝีปาก "บัดนี้หม่อมฉันเป็นสาวใช้ของคุณหนูแล้ว มีเพียงคุณหนูเท่านั้นที่เป็นนายของหม่อมฉัน" เจียงอวี่พยักหน้า แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เจียงซุ่ยฮวนก้าวเข้าห้องรับแขกอย่างไม่รีบร้อน ถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกส่งให้หยิ่งเถา "ที่นี่ไม่มีธุระอันใดของเจ้า ออกไปเถิด" "เพคะ คุณหนู" หยิ่งเถารินน้ำชาให้เจียงซุ่ยฮวนถ้วยหนึ่ง แล้วอุ้มเสื้อคลุมเดินออกไป เจียงซุ่ยฮวนนั่งตรงข้ามเจียงอวี่ ถือถ้วยชาเป่าเบา ๆ "ท่านคิดดีแล้วหรือ" แม้ว่าเมื่อวานสองคนได้พบกันแล้ว แต่เจียงอวี่ก็ยังคงไม่อาจคุ้นชินกับท่าทีเย็นชาของเจียงซุ่ยฮวนที่มีต่อตน เขาหยิบก
สายตาของเจียงซุ่ยฮวนดุดัน น้ำเสียงเด็ดขาด เจียงอวี่คิดแค่ว่านางกำลังพูดด้วยความโมโห แต่หัวใจของเขาก็สั่นระริกอย่างไม่คาดคิด ทั้งร่างเย็นเฉียบ เขาอดทนต่อความไม่สบายทั้งทางร่างกายและจิตใจ พยายามโน้มน้าวต่อไป "น้องหญิง เจ้าอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง บ่าวในเรือนของเจ้าล้วนไม่รู้วิชายุทธ์ หากพบเจอภยันตรายจะทำเช่นไร!" "หากเจ้ากลับมาที่จวนอ๋อง องครักษ์ในจวนจะคอยคุ้มครองเจ้า ข้าก็สามารถส่งรองแม่ทัพมาติดตามเจ้าตลอดเวลา มีการคุ้มครองจากจวนอ๋องและข้า ต่อไปก็จะไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้" เงื่อนไขนี้น่าดึงดูดใจ หากเจียงซุ่ยฮวนเพิ่งข้ามมิติมา คงรับปากโดยไม่ลังเลเลยสักนิด แต่บัดนี้ นางมีที่พึ่งแล้ว จึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดเช่นนี้ "ข้าจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย ข้าเพียงรับปากว่าจะรักษาร่างกายของบิดาท่านให้หายดี จะไม่กลับไปพบหน้าบิดามารดาของท่าน หากท่านยังเซ้าซี้ต่อไป ข้าจะไม่รักษาบิดาของท่านด้วย" เจียงซุ่ยฮวนจำใจพูดข่มขู่ เจียงอวี่จำต้องยอมแพ้ ใบหน้าเผยความผิดหวัง กล่าวว่า "ก็ได้ เจ้าจะมาที่จวนอ๋องเพื่อดูอาการของบิดาเมื่อใด" "เมื่อท่านกำจัดปีศาจตัวนั้นแล้ว ข้าจะไปเอง" เจียงซุ่ยฮวนวางถ้วยชาในมือลง
อาเซียงมีสายตาหลบเลี่ยง ราวกับว่าภายในตำหนักบรรทมจีกุ้ยเฟยกำลังทำสิ่งที่บอกกล่าวผู้อื่นไม่ได้ จึงไม่อาจให้ผู้ใดเข้าไป เจียงซุ่ยฮวนเข้าใจในใจ ยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า "ดีแล้ว ข้าจะเดินไปมาสักครู่ แล้วค่อยกลับมาใหม่" "ท่านไม่คุ้นเคยกับวังหลวง หม่อมฉันจะหาขันทีน้อยมาพาท่านไปเที่ยวอุทยานหลวง" อาเซียงคิดได้รอบคอบ ร้องเรียกขันทีน้อยที่อยู่ไม่ไกลว่า "เสี่ยวฉีจื่อ มานี่" เมื่อเสี่ยวฉีจื่อเดินมาถึง อาเซียงกำชับว่า "พระนางกำลังยุ่งอยู่ เจ้าจงพาหมอเจียงไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นค่อยกลับมา" "ได้ขอรับ" เสี่ยวฉีจื่อพยักหน้ารับคำอย่างนอบน้อม ยกมือในท่าเชิญ "หมอเจียง เชิญตามข้ามาทางนี้" เจียงซุ่ยฮวนและฉู่เฉินเดินตามหลังเสี่ยวฉีจื่อ ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังอุทยานหลวง หางตาของเสี่ยวฉีจื่อคอยชำเลืองมองฉู่เฉินอยู่ตลอด ฉู่เฉินรู้สึกอึดอัดมาก จึงถามตรง ๆ ว่า "เจ้าจ้องมองข้าทำไม" เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย ฉู่เฉินเกร็งเสียงให้แหลมขึ้น เพื่อให้ฟังดูคล้ายสตรีมากขึ้น ใบหน้าของเสี่ยวฉีจื่อแดงระเรื่อ ก้มหน้าตอบว่า "ข้าน้อยเห็นพี่สาวคนนี้หน้าตาแปลกหูแปลกตา จึงอดใจไม่ได้ที่จะมองหลาย ๆ
เมื่อเดินมาถึงอุทยานหลวง เจียงซุ่ยฮวนพบว่าศาลาในอุทยานล้วนแขวนม่านหนาโดยรอบ คาดว่าเนื่องจากอากาศหนาวเย็น จึงใช้วิธีนี้เพื่อให้ความอบอุ่น แต่ละม่านยังแขวนป้ายไว้ บนป้ายเขียนชื่อตำแหน่งของพระสนมต่าง ๆ เห็นเจียงซุ่ยฮวนมองศาลาหลายครั้ง เสี่ยวฉีจื่อกลอกตาไปมา กล่าวว่า "อากาศหนาวเช่นนี้ ไม่มีอะไรน่าเที่ยวชมในอุทยานหลวงหรอก หรือว่าข้าน้อยจะพาท่านไปพักผ่อนในศาลาสักครู่" เจียงซุ่ยฮวนมองป้ายบนม่าน กล่าวว่า "ที่เหล่านี้เป็นที่พักผ่อนของเหล่าสนม ข้าไม่ควรเข้าไป" "ทางโน้นมีศาลาหลังหนึ่ง ไม่ว่าใครที่รู้สึกหนาวก็สามารถเข้าไปผิงไออุ่นได้ ข้าน้อยจะพาท่านไปดู" เสี่ยวฉีจื่อพูดพลางแอบสังเกตสีหน้าของฉู่เฉิน ที่แท้ก็เป็นการตั้งใจเอาใจฉู่เฉิน เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกขบขัน แต่ประสบการณ์บอกนางว่า อย่าเชื่อคำพูดของผู้อื่นง่าย ๆ นางยังคงปฏิเสธ "วันนี้แสงแดดดียิ่ง ข้าเดินเล่นในอุทยานหลวงก็พอแล้ว" ขณะที่หลายคนเดินผ่านศาลาหลังหนึ่ง พอดีมีนางกำนัลเดินออกมาจากศาลา ผ่านม่านที่เปิดออก เจียงซุ่ยฮวนเห็นสนมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในศาลากำลังอ่านหนังสือ บนโต๊ะมีชาและขนมประณีต แวบแรกที่เห็น ใบหน้าของสนมนางนี้ดูคล้ายกับฉู
ในขณะที่ม่านถูกเลิกขึ้น กู้จิ่นและฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรเห็นพวกเขาทั้งสอง เวลาในยามนั้นประหนึ่งหยุดนิ่ง ฉู่เฉินเอามือค้างไว้ที่ม่าน อ้าปากกว้างจนดูราวกับจะใส่ไข่ไก่ลงไปได้ทั้งฟอง ไม่รู้ผ่านไปกี่อึดใจ ฉู่เฉินจึงได้สติกลับคืนมา แล้วค่อย ๆ ปล่อยมือจากม่าน แกล้งทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น "จงหยุดอยู่ตรงนั้น" ฮ่องเต้ทรงมีสีพระพักตร์สงบนิ่ง ทรงวางหมากลงบนกระดาน แล้วตรัสถามว่า "เจ้าเป็นนางกำนัลจากตำหนักใดกัน? ทำไมเราจึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?" ฉู่เฉินกลืนน้ำลาย กลืนคำว่า "เสด็จพ่อ" ที่กำลังจะหลุดออกจากปากลงไปด้วย เขาแกล้งทำเสียงแหลมแล้วตอบว่า "ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมิใช่นางกำนัล แต่เป็นสาวใช้ของหมอหลวงเจียงเพคะ" กู้จิ่นแต่เดิมไม่ได้สนพระทัยเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินชื่อของเจียงซุ่ยฮวน การวางหมากของเขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางนั้น ฮ่องเต้ตรัสอย่างกึ่งขบขัน "มิน่าล่ะ เห็นเราแล้วยังไม่คุกเข่าคำนับ ที่แท้ก็เป็นสาวใช้จากนอกวังนี่เอง" หลิวกงกงที่ยืนอยู่เบื้องหลังฮ่องเต้เตือนว่า "รีบคุกเข่าเดี๋ยวนี้!" ยังไม่ทันที่ฉู่เฉินจะตั้งตัวได้ เสี่ยวฉีจื่อก็ "ผัวะ" ทรุดตัวลงคุกเข่า ร้องไห้พร้อ
ฉู่เฉินที่แกล้งร้องไห้อยู่ พอได้ยินคำนั้นก็รีบเช็ดน้ำตา กู้จิ่นมองเจียงซุ่ยฮวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ความมืดมนและเจ็บปวดวูบผ่านดวงตาไปชั่วครู่ มือของเขาค่อย ๆ กำแน่น หมากในมือกลายเป็นผง เขาเก็บอาการไม่ให้ผิดสังเกต หยิบหมากอีกเม็ดขึ้นมาวางลงบนกระดาน ฮ่องเต้ทรงเงยพระพักตร์มองเจียงซุ่ยฮวนครั้งหนึ่ง ทรงมีรอยแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน "หมอหลวงเจียง สาวใช้ของเจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก" เจียงซุ่ยฮวนเม้มริมฝีปาก ทูลว่า "เป็นความผิดของหม่อมฉันที่สั่งสอนไม่ดีเพคะ" "เราอยากไว้หน้าเจ้า แต่หากวันนี้เราละเว้นผ่านไป ต่อไปเมื่อเราอยู่ในศาลานี้ เกรงว่าจะไม่ได้ความสงบสุข" ฮ่องเต้ทรงหันพระพักตร์กลับไป "เพียงแค่สาวใช้คนหนึ่ง เราจะพระราชทานให้เจ้าอีกหลายคน" "สาวใช้ผู้นี้เติบโตมากับหม่อมฉันตั้งแต่เด็ก มิใช่ญาติแต่ก็เหมือนญาติ ไม่ว่าจะมีสาวใช้อีกกี่คนก็แทนที่นางไม่ได้เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ทำให้ฉู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ นางครุ่นคิดแล้วจึงทูลถามว่า "ฝ่าบาททรงจะลงโทษพวกเขาเช่นไรเพคะ?" "คนละหนึ่งร้อยไม้" ฮ่องเต้ทรงมองกระดานหมากแล้วจมอยู่ในภวังค์ ผ่านไปสักครู่จึงทรงวางหมากลงบนกระดา
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช