มือกำหมัดแน่น เส้นเอ็นเขียว ๆ บนหลังมือปูดโปน เหงื่อท่วมตัวคล้ายไปยืนตากฝนพรำมาอย่างไรอย่างนั้น
จากอาการที่เห็น อาหู่แทบคิดเป็นสิ่งอื่นไม่ได้
“อย่าบอกนะว่า ท่านแม่ทัพก็...”
“พวกเจ้าอย่ามัวแต่ยืนอึ้ง รีบออกมา” เผิงเสียนจือขมวดคิ้วมองเมื่อเห็นสาวใช้ทั้งสองยังคงยืนนิ่ง ก่อนจะเอ่ยอีกครั้งว่า “เอาเถิด อย่างไรพวกเขาก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยาแล้ว จะร่วมเตียงกันตอนไหนก็ไม่ต่างกัน เชื่อข้า”
ท่าทางรองแม่ทัพหนุ่มเหมือนคนกำลังข่มโทสะเอาไว้ สีหน้าและกล้ามเนื้อตึงขมึง เขาประคองร่างผู้บังคับบัญชาเข้าห้องหออย่างทุลักทุเล ก่อนจะวางร่างแกร่งที่สติเริ่มเลือนรางบนเตียงเสร็จพลันขมวดคิ้ว ก่อนปรายตาเหี้ยมวูบหนึ่งแล้วเอ่ยคำพูดด้วยเสียงขึงขัง
“ท่านแม่ทัพ ที่เหลือข้าจะสะสางให้เอง”
จื่อผิงอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากเจ้านายของตนไปเลยสักนิด ทว่าสภาพการณ์ตอนนี้ดูร้ายแรงระคนน่าสะพรึงกลัว นางเม้มริมฝีปากแน่นแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง สืบเท้าก้าวข้ามธรณีประตูแล้วเลื่อนปิด ปล่อยด้านในเป็นเรื่องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว
“ท่านรองแม่ทัพเผิง เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
จื่อผิงไม่ยอมปล่อยความสงสัยไปเด็ดขาด นางยืนรอจนเผิงเสียนจือเรียกรวมพลทหารอารักขาให้คุ้มกันเรือนหอเข้มงวดกว่าเดิมเท่าตัวเสร็จก็พุ่งกายประชิดเอ่ยถามเสียงแหลมทันที
“จื่อผิงอย่าเสียมารยาทกับท่านรองแม่ทัพเผิง” อาหู่ดวงตาแวววาวรื้นไปด้วยหยาดน้ำ พยายามห้ามปรามสหายรัก
“อาหู่! ข้าไม่ได้เสียมารยาท แต่ที่ถามเพราะพวกเราควรรู้และเตรียมรับมือ” จื่อผิงพูดเสียงกระด้าง ดูคล้ายอดทนมานานจนอึดอัดคับใจ
เริ่มจากฝ่าบาทประทานสมรส พอวันแต่งประทานสุราราคะ มองปราดเดียวก็เห็นเจตนาร้าย ฮ่องเต้คิดอ่านประการใดไม่มีใครหยั่งรู้
ทว่าพฤติกรรมของพระองค์กลับคุกคามราษฎรผู้จงรักภักดี สกุลเฉินเป็นอย่างไรจื่อผิงไม่รู้ แต่สกุลจางกระทำผิดสักครั้งก็ไม่เคย ฉะนั้นนายหญิงของนางไม่ควรถูกทำร้ายเช่นนี้
เผิงเสียนจือแผ่นหลังเกร็งเขม็งทันใด ทนเก็บความโกรธไว้ในใจ
ไม่ไหวจึงสบถด้วยคําพูดหยาบคาย“อุบายชั้นต่ำ พวกระยำชอบใช้” สีหน้าของชายหนุ่มมืดครึ้มคล้ายเมฆดำยามฝนใกล้ตก เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบ ๆ ร่องรอยจิตสังหารปรากฏในดวงตา เขาควบคุมกิริยาให้นิ่งได้นับว่าโชคดีของผู้อยู่เบื้องหลังแผนร้าย
ในวันนี้แล้ว“สุราราคะมิได้มีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาวที่ดื่มกินมัน” เส้นเอ็นสีเขียวปูดโปนบนหน้าผากของเผิงเสียนจือเหมือนจะระเบิดออก “อีกหนึ่งคนที่ดื่มลงไปโดยไม่ทันระวังตัวคือบัณฑิตกัว”
จื่อผิงกับอาหู่ปากอ้าตาค้าง ลนลานกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่เกี่ยวข้องกับลูกไม้ต่ำทรามนี้...แต่เป็นขุนนางด้วยกันอยากทำลายชื่อเสียงสองจวนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
สภาพการณ์ทำให้สองสาวใช้คิดแบบนี้ ซึ่งหากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนสามัญธรรมดาก็คงคิดเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับบุรุษผู้ผ่านกลิ่นคาวเลือดและกองซากศพในสนามรบมานับไม่ถ้วนย่อมรู้ซึ้งว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’
แต่คาดไม่ถึงจะมาเจออุบายต่ำทรามในเมืองหลวง สุรามหามงคลประทานแด่บ่าวสาวจำนวนสองจอกทอง กลับมีหนึ่งแขกบุรุษซึ่งบังเอิญว่าเป็นคนรักเก่าเจ้าสาวเกิดอาการกำหนัดพลุ่งพล่านหลังดื่มสุราในงานเหมือนกัน
บุรุษนับร้อยดื่มสุราในงานเลี้ยงหมดไปสามไหเมามายนั่งอยู่กับที่
ไม่เป็นอะไร ทว่าคนรักเก่าของเจ้าสาวสติแตกกระเจิดกระเจิงวิ่งตาลีตาเหลือกมุ่งตรงสู่เรือนหอ ปากป่าวร้องเรียกหา ‘อาอวี้’ ไม่หยุดแผนการมิได้แยบยลอันใดเลย ผู้มอบสุราราคะคือผู้อยู่เบื้องหลัง
ทุกอย่าง“สองมังกร หนึ่งบุปผา”
ประโยคเดียวทำหัวใจสองสาวใช้คนสนิทของเจ้าสาวในพิธีสมรสพระราชทานวันนี้หยุดเต้นไปชั่วขณะ หน้าเสียยิ่งกว่าฟ้าถล่ม
จื่อผิงถอนใจเศร้า ๆ หลายครา ไม่รู้ว่าในใจสงสาร เคียดแค้นหรือเสียดาย ในขณะที่อาหู่อ้าปากพะงาบ ๆ ส่งเสียงสะอื้นแหบพร่าขาด ๆ หาย ๆ อีกพักใหญ่ถึงกลับมาปกติ
“หากเป็นเช่นที่ท่านรองแม่ทัพเผิงกล่าว สามตระกูลต้องเดือดร้อนและเสียหายอย่างมากแน่เจ้าค่ะ” จื่อผิงสงบสติอารมณ์ได้ก็ท้วงติงอย่างเร็วรี่
เผิงเสียนจือหันขวับมองสองสาวใช้ แล้วพ่นลมหายใจเหมือนพ่นความอึดอัดสายหนึ่งออกมา เขากลอกตาดำขึ้นฟ้า แล้วสะกดอารมณ์พลางเอ็ดว่า
“สามตระกูลที่ไหนกันเล่า มีแต่ตระกูลเฉินย่อยยับฝ่ายเดียว” พูดจบดวงตาเขาทอประกายคมปลาบวาบขึ้น
จื่อผิงฟังแล้วหางตากระตุกโดยพลัน อดไม่ได้ที่จะโมโห นิ้วมือกระตุกคราหนึ่ง ทว่าเพียงห้าอึดใจต่อมา นางก็นิ่งควบคุมอารมณ์เดือดดาลภายในอกได้
“หากไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” เผิงเสียนจือทำท่าจะผละจากไป แต่แล้วจื่อผิงก็รีบคว้าท่อนแขนรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างฉงน
“แม่นางจื่อผิงมีอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ท่านรองแม่ทัพ แล้วตอนนี้คุณชายกัว เขา...” แววตาจื่อผิงอาบล้นด้วยความสงสัยใคร่รู้
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนี้คุณชายกัวถูกส่งไปที่หอหว่านอี้แล้ว”
“เฮ้อ! อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นค่อยโล่งอกหน่อย” สองสาวใช้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโลมหอหว่านอี้คงช่วยคุณชายกัวปลดปล่อยฤทธิ์สุราราคะจนสร่างซาได้
หลังจากนั้นไม่นานสาวใช้ทั้งสองของเฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินก็ถูกฮูหยิน
ผู้เฒ่าสกุลเฉินเรียกตัวไปสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องหอ ทว่าเมื่อสอบถามแล้วบ่าวรับใช้ทั้งสองต่างก็รายงานว่าไม่พบสิ่งใดผิดปกติ และนายสาวของตนเพียงแค่ได้รับสุรามงคลที่ส่งมาจากในวังเท่านั้นเมื่อฟังมาถึงตรงนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ครุ่นคิดตาม แต่ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดออกมาสาวใช้ทั้งสองก็พร้อมใจกันคุกเข่าแล้วโขกศีรษะ ก่อนที่จื่อผิงจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ บ่าวผิดไปแล้วที่ไม่ดูแลฮูหยินให้ดี”
“บ่าวเองก็ด้วยเจ้าค่ะ เลินเล่อขาดความรอบคอบจนเกิดเรื่อง” อาหู่สำทับต่อ สีหน้าของนางฉายแววรวดร้าวเศร้าใจ
“ข้าไม่ถือโทษโกรธเคืองอันใดพวกเจ้าหรอก แต่หลังจากนี้พวกเจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี เวลาทำอาหารจำเป็นต้องปรุงเอง ส่วนบ่าวไพร่
อีกเดี๋ยวข้าจะปรึกษาหารือกับพ่อบ้านอีกที ว่าควรจะเปลี่ยนยกจวนหรือไม่”ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้นพลางถอนหายใจ เรื่องนี้ดูท่าแล้วต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน ซึ่งคงต้องสืบหาความจริงกันต่อไป
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี