จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร
“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”
เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้ว
จวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่
หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือ
จางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้
ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด ด้วยฐานะอันต้อยต่ำพลอยมิได้เชิดหน้าชูตาในศักดิ์ฐานะฮูหยินเอกรองแม่ทัพ ทว่าเฒ่าจันทรามิได้ใจดำจนเกินไป เพราะเผิงเสียนจือไม่เคยแต่งสตรีใดเข้าจวนอีกเลย
จื่อผิงมีศักดิ์เป็นอนุภรรยาก็จริง แต่หน้าที่ความรับผิดชอบ ผู้คนแดนใต้รู้ทั่วถ้วน นางคือฮูหยินเอกของรองแม่ทัพเผิงนั่นเอง
ข้างกายจางเหม่ยอวี้จึงเหลือเพียงอาหู่คนเดียว นางไม่ยอมแต่งงานไม่ยอมมีครอบครัว ขอรับใช้นายหญิงไปจนกว่าจะตายจากกัน
และวันนี้อาหู่วิ่งวุ่นทั่วจวนตั้งแต่สายจนบ่ายคล้อย ยังไม่มีเวลาหยุดพักดื่มน้ำดื่มท่า
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ นายหญิงของบ่าวทรมานมาหลายชั่วยามแล้ว”
หัวใจร้าวระบมราวกับถูกกรีด ยามอาหู่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้านายอย่างจางเหม่ยอวี้
“ท้องแรกคลอดลำบาก อาหู่ เจ้าอย่าร้อนรนไปเลย”
จินหรงมามาเอ่ยปากปลอบใจ ทว่าตรงกันข้ามกับท่าทางกระวนกระวายของตนเอง นางเดินวนเวียนหน้าห้องนอนเฉินเย๋ปั๋วฟูเหริน หากนับแล้วคงเกินพันรอบ
“ข้าจะเข้าไป” และผู้ที่ภายในอกร้อนปุด ๆ ดังน้ำต้มเดือดก็หนีไม่พ้น
ฮูหยินผู้เฒ่า“ไม่ได้เจ้าค่ะ” จินหรงมามาเดินมาขวางหน้านายหญิงเฒ่า “ธรรมเนียมห้ามคนในครอบครัวเข้าใกล้สตรีกำลังออกลูก ดวงพวกเราอาจข่มดวงทารกน้อยเจ้าค่ะ” บนใบหน้ามามาเฒ่าปรากฏความยุ่งยากใจ
“อาอวี้! เจ็บมากไหมลูก” หรูหรั่นเซียงตะโกนเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
นางสงสารลูกสะใภ้จับจิต ตั้งครรภ์ได้สามเดือนสามีก็นำทัพออกรบต้านกองทัพต้าโจว เจ็ดเดือนแล้วกรำศึกอยู่นอกป้อมกำแพงเมืองจูเชว่ ฮูหยิน
ผู้เฒ่าอยากตีบุตรชายนัก การศึกทิ้งไว้ให้รองแม่ทัพเผิงจัดการก็ได้ ไฉน ไม่ยอมรามือ“ฮึ่ม! มะ ไม่เจ้าค่ะ ข้าทนได้ ท่านแม่ไม่ต้องห่วง” จางเหม่ยอวี้ตะโกนออกมาจากในห้อง
“ยังจะแผดเสียงอีก เบ่งลูกไปอย่าไขว้เขว!”
เสียงนี้เป็นของเผิงชิ่นหลิงที่เอ็ดตะโรขึ้น ขณะก้าวเข้ามารับรู้ความวุ่นวายอันน่าตื่นเต้นของจวนแม่ทัพ
หลังจากถูกทอดทิ้งในวันนั้น สตรีแซ่เผิงไม่ได้มาเยือนจวนแม่ทัพเพียงลำพังอีกเลย และครั้งนี้นางก็มาพร้อมสามี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกองอาลักษณ์ค่าวจูเชว่ เขาทำงานเอกสารจดบันทึกรายงานในกองทัพจึงไม่ต้องออกรบ
“ชิ่นหลิงคารวะฮูหยินผู้เฒ่า คำนับจินหรงมามาเจ้าค่ะ”
“อย่ามากพิธี กำลังท้องกำลังไส้ เดี๋ยวสามีเจ้าจะกล่าวหาว่าข้ารังแก
ฮูหยินของเขา”ฮูหยินผู้เฒ่าเย้าหยอก พลางส่งยิ้มให้นายกองอาลักษณ์ที่ยืนสงบเสงี่ยมอมยิ้มแจกจ่ายอย่างเดียว ไม่เคยมีปากมีเสียงเถียงภรรยาอย่างเผิงชิ่นหลิงแม้แต่คำเดียว
“เพิ่งสองเดือนจะลูกผีลูกคนยังไม่รู้เจ้าค่ะ” เผิงชิ่นหลิงหัวเราะกล่าวอย่างอารมณ์ดี ทว่าตรงกันข้ามกับสามี ซึ่งเป็นนายกองอาลักษณ์ที่คิ้วขมวดมุ่น
“น้องหญิง เจ้าอย่าพูดเช่นนี้อีกนะ” เขาเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าค่ะ รู้แล้วๆ”
ผู้คนหน้าห้องนอนเฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินหัวเราะพอคลายบรรยากาศเคร่งเครียดลงได้บ้าง
จื่อผิงพรวดพราดเข้ามาอีกคน หลังคารวะเสร็จสิ้นก็ถามด้วยท่าทางร้อนรน
“ยังไม่ออกอีกหรือเจ้าคะ แม่ทัพน้อยอย่าดื้อรั้นสิเจ้าคะ ท่านแม่ทรมานมาหลายชั่วยามแล้ว”
ความจริงจื่อผิงแทบจะสิงสถิตอยู่จวนเฉิน ทว่าต้องแวบกลับไปดูบ่าวไพร่จวนเผิงด้วยภาระหน้าที่
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงจางเหม่ยอวี้ร้องโหยหวนดังกว่าเดิม ผู้คนที่รอด้านนอกห้องนอนต่างพากันเคร่งเครียดลนลานนั่งไม่ติดสักคน และเสี้ยวนาทีถัดมา...
“คลอดแล้ว!”
“ทัพจูเชว่ชนะแล้ว!”
เสียงเฮดังกึกก้องกับข่าวดีทั้งสองพร้อม ๆ กัน แม่ทัพน้อยลืมตาดูโลกพร้อมค่ายทหารจูเชว่ขับไล่กองทัพต้าโจวให้พ้นเขตแดนสำเร็จ
อุแว้! อุแว้! เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังไปทั่วทั้งจวน
“หลานย่า เร็ว ๆ พาหลานมาให้ข้าดูเร็ว” ฮูหยินผู้เฒ่าดีอกดีใจ “จินหรงมามาไปจุดธูปบอกอดีตท่านแม่ทัพด้วย เขาได้หลานชาย”
“ท่านแม่ข้ามาแล้ว ไหน ๆ ลูกข้า” เฉินชิงซงควบม้าสีดำดิ่งตรงจากสนามรบ ทั้งที่ยังสวมใส่ชุดเกราะเหล็กที่เปรอะเปื้อนเลือดสีแดงทั่วร่าง
“อย่าเข้าใกล้หลานชายข้า เจ้าไปชำระร่างกายเดี๋ยวนี้”
ผู้เป็นแม่ไล่บุตรชายเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า
“ใช่! ไสหัวไปให้ไกลเลยนะ เฉินชิงซง!” เสียงหลังเป็นจางเหม่ยอวี้ที่ดังมาจากในห้อง เจือความโกรธเกรี้ยวเต็มส่วน
“เจ้าเสกก้อนแป้งยักษ์ใส่ท้องข้า ทรมานอยู่ค่อนวันกว่าจะออกมา ช่างดื้อด้านเหมือนเจ้า”
“ฮูหยิน” เฉินชิงซงเสียงอ่อนเสียงหวาน “ขอพี่ดูหน้าลูกเสี้ยวเดียว แล้วพี่จะไม่อยู่ให้เจ้าขุ่นเคืองเลย” ผู้เป็นสามีชะเง้อคอเป็นห่านป่าเพื่อหวังว่าภรรยาจะเห็นใจ
เสียงทารกตัวขาวอ้วนกลมร้องสั้นห้วน แล้วนิ่งหลับไปอยู่ในอ้อมกอดหมอตำแย
“แม่ทัพน้อยด่าบิดาตัวเอง” จื่อผิงป้องปากกระซิบ ทว่าเสียงไม่เบาเลยพลอยทำให้ทุกคนหัวเราะตาม
“นายหญิงเฒ่าอุ้มไหวหรือไม่เจ้าคะ”
จินหรงมามาเห็นแม่ทัพน้อย พลันตกหลุมรักเบียดเสียดพุ่งเข้าหาหมอตำแย นางพินิจมองใบหน้ากลม แล้วหลั่งน้ำตาปลื้มตื้นตันออกมา
“หน้าตาไม่น่าเหมือนท่านแม่ทัพเลย”
“อ้าว! มามา หมายความว่าอย่างไร” เฉินชิงซงค้อนขวับ
“แอ้” ทารกตัวอวบอ้วนร้องออกมาอีกหนึ่งคำ เหมือนเห็นด้วยกับคำกล่าวของจินหรงมามา
‘ข้าอยากมีโครงหน้าเหมือนท่านแม่’
“กลับไปสะสางงานของท่านเสีย” เสียงจางเหม่ยอวี้แผดลั่น
“ได้ ๆ พี่ขอตั้งชื่อเจ้ายักษ์นี่ก่อนนะ” ทารกแซ่เฉินตัวใหญ่กว่าทารกสกุลอื่นเท่าตัว ถึงว่าฮูหยินของเขาจึงฉุนเฉียวหงุดหงิด คงเจ็บท้องคลอดยาวนานมาก
“น้องหญิง ครั้งหน้าพี่จะไม่ปั้นเจ้าก้อนยักษ์แล้ว เอาเจ้าก้อนแป้งเล็กๆ พอ” ชายหนุ่มตะโกนเย้าแหย่ภรรยา “จริงไหม เฉิงหมิงยู่”
“แอ้” ทารกขานรับชื่อที่บิดาตั้งให้
หมิงยู่แปลว่าชัยชนะ... นี่คือชื่อที่เหมาะสมกับบุตรชายแม่ทัพอย่างเขา
จบบริบูรณ์
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนที่1.1 คุณหนูรองสกุลจางแคว้นสือจ้าว…ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อยดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับแต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เส
ตอนที่1.2 คุณหนูรองสุลจางจางเหม่ยอวี้ หรือคุณหนูรอง บุตรีของขุนนางตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ถือกำเนิดจากฮูหยินสามแห่งสกุลตู้ ตอนเป็นเด็กน้อยนางช่างอาภัพน่าสงสาร เมื่ออายุย่างเข้าห้าหนาวมารดาก็สิ้นใจตาย ทิ้งเด็กน้อยไว้กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายตระกูลจางทำได้เพียงปล่อยข่าวการตายของฮูหยินสามออกไปว่าจากไปเพราะโรคประหลาดที่ยากรักษา ทั้งที่คนในจวนต่างก็ทราบดีว่ามีผู้ประสงค์ร้าย คิดสกปรกลอบวางยาในน้ำชาของนาง ทว่ายังจับมือใครดมไม่ได้ จนตอนนี้ผู้ร้ายก็ลอยนวลไปถึงเก้าปีแล้วอันที่จริงยามไร้มารดาอุ้มชูดูแล คุณหนูรองจะต้องถูกโยกย้ายเข้าไปอยู่ภายใต้ความดูแลและสั่งสอนของฮูหยินใหญ่ ทว่าด้วยชะตาฟ้ากำหนดหรือพระโพธิสัตว์เล็งเห็นแล้วเวทนาก็มิอาจทราบได้ จึงดลจิตดลใจให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตาเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วน จนถึงขั้นรับจางเหม่ยอวี้มาเลี้ยงดูด้วยตนเองรองเจ้ากรมพิธีการที่เห็นพ้อง และอยากเอาใจมารดาตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยไปส่งถึงเรือนท้ายจวน แบบชนิดที่ไม่หันมามองสีหน้าบูดบึ้งของฮูหยินใหญ่สักนิดเดียวหลังจากฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดบุตรชาย ร่างกายของนางก็เริ่มอ่อนแอ จนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ทำให้ที่คิดอยากมีบุตรสา
ตอนที่2.1ผู้บัญชาการทัพจูเชว่แม่ทัพเฉินชิงซงทอดสายตามองชาวเมืองที่ยืนสรรเสริญตนเองตลอดเส้นทาง สายตากวาดมองไปตามบ้านเรือนที่อยู่รายรอบด้วยใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง จนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ดวงตาดุจดวงดาวยามเหมันต์เป็นประกายวาววับ แยกแยะไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรท่าทางดุดันน่ายำเกรงนั่น ชวนให้ผู้คนเสียวสันหลังวาบยามเข้าใกล้ ทำเหมือนโลกทั้งใบมีเขากับม้าศึกคู่กายเพียงหนึ่ง นอกนั้นล้วนเป็นธาตุอากาศหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มปลื้มปีติกับการต้อนรับของชาวเมืองหรือไม่หรือว่าในใจเขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ล้วนคาดเดาไม่ออก ดูท่าหากภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า ท่าทีของเขาก็น่าจะยังคงเฉยชาไม่เปลี่ยน“ท่านแม่ทัพ...จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังครั้งนี้คือสิ่งใด ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ขอรับ” เผิงเสียนจือหรือรองผู้บัญชาการกองทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแม้จะมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ทว่าแววตาดำลึกล้ำกลับแฝงโทสะ แสดงให้รู้ว่ากองทัพจูเชว่มิได้เต็มใจที่จะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแม้แต่น้อยกองทัพจูเชว่คุ้มครองทิศใต้ โดยมีตระกูลเฉินดำรงตำแหน่งแม่ทัพคอยบัญชาการ บุรุษสกุลเฉินล้
ตอนที่2.2 ผู้บัชชาการทัพจูเซว่เมื่อขบวนแม่ทัพเดินทางมาถึง พวกเขามุ่งหน้าสู่ท้องพระโรง คุกเข่ากล่าวสรรเสริญฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาขุนนางที่ทอดมองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายฝ่ายพลเรือนเหยียดหยามต่างดูหมิ่นกันว่า ‘ทหารพวกนี้ ดีแต่ใช้กำลังไม่มีมันสมอง’ ขุนนางสังกัดฝ่ายพลเรือนหยิ่งผยองและจองหองพองขนนัก กดข่มฝ่ายทหารว่าโง่เขลาเบาปัญญา มองแม่ทัพเฉินราวกับเป็นสุนัขบ้าข้างทางที่มีประโยชน์ไว้กัดผู้รุกรานเท่านั้นบ้างก็เบะปากรังเกียจ บ้างก็แค่นเสียงหยัน คลี่ยิ้มแดกดัน หรือแม้กระทั่งไหวไหล่อย่างไม่สนถึงความดีความชอบตรงกันข้ามกับฝ่ายทหาร ขุนนางสวมชุดแดงปักลวดลายพยัคฆ์กลางแผ่นหลังทั้งหลาย ดวงตาลุกวาวราวเปลวเพลิง จิตใจสั่นสะท้านดั่งถูกสายฟ้าฟาดส่วนใหญ่ริษยา ส่วนน้อยศรัทธา นั่นก็เพราะบุรุษหนุ่มที่คุกเข่าเบื้องหน้า นับเป็นอัจฉริยบุคคลที่ร้อยปีจะมีสักคน เฉินชิงซงถือเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังมีความเก่งกล้า วาจาคมคาย เป็นคนเคร่งครัดในกฎและระเบียบวินัย ทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเลิศอย่างมิอาจหาจุดด้อยพบคิดดูเอาเถิด เหล่าองค์ชายของฮ่องเต้ยังไม่อาจเทียบเคียงแม่ทัพหนุ่มแห่งสกุลเฉินได้แม้เพียงเสี้ยวขุนนางฝ
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี