“เจ้าว่าอะไรนะ”
ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครอง
แดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง
‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’
รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้
เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก
รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง
“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอนุหลิน
มองปราดเดียวก็ดูออก ไม่เห็นต้องยกแม่น้ำทั้งห้าสาย แปดเขื่อนใหญ่มาอ้างอิง พอเห็นจวนปั๋วเฉินรุ่งโรจน์เข้าหน่อย ถึงกลับกล้านำความในสกุลจางมาเล่าสู่กันฟัง
ประสงค์แท้จริงอนุหลิน คือไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวของนางแต่งเข้าจวนปั๋วเฉิน พฤติกรรมเช่นนี้คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินจะอ่านลูกไม้ต่ำทรามไม่ออกเลยหรืออย่างไร ช่างกล้าดูแคลนเจ้านายเรือนหลังจวนฝ่ายทหารยิ่งนัก
ในใจนายหญิงผู้เฒ่าเดือดปุด ๆ ที่ถูกอนุจวนจางเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย หากเทียบแล้วฐานะกึ่งนายกึ่งบ่าวเช่นนั้น แต่กล้ามาหยามหน้าถึงจวน ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเสียนี่กระไร และนางหลินผู้นี้คงไม่รู้ตัวด้วยว่า ได้เผยจุดอ่อนทั้งหมดต่อหน้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เข้าให้แล้ว
จวนรองเจ้ากรมพิธีการจางจงใจลักขื่อเปลี่ยนเสา เอาคุณหนูใหญ่ที่มีศักดิ์ฐานะต่ำต้อยมาสวมชุดมงคลพระราชทานแทนคุณหนูรองที่มีชาติกำเนิดสูงส่งกว่า
ตามหลักปฏิบัติสมรสพระราชทาน ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก คัดเลือกบุตรชายบุตรสาวที่มีชาติกำเนิดจากภรรยาเอก เพื่อเชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูล ทว่าจะโทษสกุลจางก็มิได้ ราชโองการไม่ระบุเจาะจงนาม เพียงกล่าวว่าบุตรีผู้มีมารยาทงดงามอ่อนช้อยถึงวัยออกเรือน ในสกุลจางมีคุณหนูสองคน ฉะนั้นทางสกุลจางจะดันหลังบุตรีคนใดก็ย่อมได้
เฉินชิงซงยกมือประสานตั้งศอกค้ำคาง ท่าทางครุ่นคิดบางอย่าง
“อนุนางนั้นต่างหากที่ไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ ซึ่งเป็นบุตรีของตนเองแต่งเข้ามา”
เผิงเสียนจือผงกศีรษะเห็นพ้อง
“ฮูหยินเฒ่าจะไปเยือนตระกูลจาง แล้วจัดการเรื่องนี้ในอีกสามวันข้างหน้าขอรับ” เขาบอกเล่าแผนการเอาคืนอย่างกระตือรือร้น
“ท่านแม่จะจัดการอย่างไร” แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วข้างหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ฟังแล้วเจือแววใคร่รู้ “ตามรายงานคุณหนูรองผู้นั้นมีคู่รักที่คบหากันแต่เด็กแล้วมิใช่หรือ”
แววตาของแม่ทัพหนุ่มที่เคยเยียบเย็นเสมอ พลันมีความนุ่มนวลปรากฏขึ้นเล็กน้อย
“ฮูหยินเฒ่ายืนกรานสลับตัวเจ้าสาว และจะบอกรองเจ้ากรมพิธีการจางห้าวเป็นนัย ๆ ว่าอนุเจ้าเล่ห์เป็นอีกาคาบข่าวมาเล่าความในให้ฟัง” รองแม่ทัพรายงานไม่ขาดตกบกพร่องสักคำเดียว
“ข้าชักอยากเห็นหน้าคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองเสียแล้ว อยากรู้นักว่าพวกนางทั้งสอง
มีนิสัยเป็นเช่นไรกันบ้าง”จู่ ๆ เฉินชิงซงก็ผุดความคิดแปลกประหลาด คิดแฝงกายเข้าไปในจวนสกุลจาง เพื่อศึกษาว่าที่เจ้าสาวก่อนให้มารดาไปอาละวาด
“จะดีหรือขอรับ”
เหงื่อชื้นผุดขึ้นเต็มหน้าผากเผิงเสียนจือ ในใจรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย สอดแนมเรือนหลังจวนขุนนาง หากถูกจับได้มีความผิดมหันต์ถึงขั้นลดขั้นตำแหน่งไปจนถึงเนรเทศ
“สือจ้าวฮ่องเต้ยังกระทำเลย” แม่ทัพหนุ่มพูดจาเสียดสี ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มมาดร้าย เขาไม่อ้อมค้อมพูดขึ้นในทันที พลอยทำให้ลูกน้องตกตะลึงตาเบิกค้างที่ได้ยิน
“ท่านแม่ทัพ! แต่พวกเราไม่เหมือนพระองค์”
เผิงเสียนจือยอกย้อนแกมประชดประชัน ขุนนางอยู่ใต้ฝ่าเท้ากษัตริย์ ไหนเลยจะสามารถเทียบเปรียบ แม้เหล่าแม่ทัพทุกค่ายรู้เต็มอก ว่าถูกสือจ้าวฮ่องเต้สอดแนมเรือนหลัง เฝ้าจับตาทุกความเคลื่อนไหวมาตลอด ทว่ามิอาจถวายฎีกาทวงถามหาความยุติธรรม
“เอาเถอะ! ไปเรียนท่านแม่ เรื่องสลับตัวเจ้าสาวหรือไม่นั้น ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
ท่านแม่ทัพรวบรัดตัดตอน ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก โบกมือไล่ลูกน้องให้ไปบอกมารดาตามที่ตกลงกันนี้
เผิงเสียนจือเหลือกตาขาวใส่เจ้านายหนุ่มหนึ่งที พลางประสานมือคารวะแล้วสาวเท้าก้าวเดินจากไป
“เดือดร้อนมา ไม่แบ่งโทษด้วยหรอก” เขาบ่นพึมพำ แม้จะรู้เต็มอกว่า หากเจ้านายโดนลงโทษลูกน้องก็ต้องโดนตาม
ณ จวนสกุลจาง
วันรุ่งขึ้นพ่อบ้านนำทาสชายราวสิบกว่าคนที่เพิ่งซื้อเข้ามาใหม่เดินแนะนำเรือนต่างๆ ภายในจวน เหตุที่จวนจางรับบ่าวไพร่เข้ามาเพิ่ม เพราะจะมีงานมหามงคลในอีกสามเดือนข้างหน้า สมรสพระราชทานมิอาจปล่อยปละละเลยให้เกิดข้อผิดพลาดด่างพร้อย เดี๋ยวคนใหญ่คนโต
จะครหาจนนายท่านจางให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเรื่องภาพลักษณ์หน้าตาระดับชนชั้นขุนนาง พึงรักษายิ่งกว่าเงินทอง งานนี้จวนจาง
ทุ่มไม่อั้น ต้องจัดออกมาให้ดี แม้จะเทียบงานอภิเษกองค์หญิงไม่ได้ แต่ก็ต้องไม่ให้น้อยหน้าจวนขุนนางสกุลอื่น“เจ้าประจำอยู่โรงครัวแล้วกัน” พ่อบ้านเฒ่าชี้ชายหลังค่อมหน้าตาอัปลักษณ์ หนึ่งในจำนวนทาสที่เนื้อตัวมอมเมาสกปรกดูน่ารังเกียจ พ่อค้าทาสยัดเยียดถือว่าตอบแทนน้ำใจลูกค้า
คราวแรกพ่อบ้านเฒ่าก็สั่นศีรษะไม่รับท่าเดียว พอถูกคะยั้นคะยอหนักข้อเข้าหน่อยเลยจำใจรับมา แต่ก็ไม่เสียหลาย โยนไปอยู่หลังโรงครัว ฝ่าฟืน ตักน้ำแลกกับข้าวสามมื้อก็แล้วกัน
“ขอรับนายท่าน” ชายหลังค่อมรับคำด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“เรียกข้าว่าท่านพ่อบ้านพอ ข้าไม่ใช่เจ้าของจวน” ถึงจะกล่าวอย่างถ่อนตน แต่ภายในใจพ่อบ้านเฒ่ากลับยืดอกภาคภูมิที่มีคนยกตนขึ้นสูงเสียอย่างนั้น
หลังจากพ่อบ้านเดินจากไป ชายหลังค่อมแสยะยิ้มมุมปาก
‘ใครบ้างไม่ชอบให้ผู้อื่นสรรเสริญกันเล่า’
ชายหลังค่อมหน้าตาอัปลักษณ์เริ่มงานทันที พ่อบ้านให้หัวหน้าโรงครัวนำเสื้อผ้าสีเทา
มาให้สับเปลี่ยน ทั้งกำชับให้ล้างหน้าล้างตา ชำระร่างกายเสียใหม่“อ๋อ! แล้วอย่าริอ่านเดินไปอยู่แถวหน้าโรงครัวช่วงยามเซิน[1]เป็นเด็ดขาด”
“ทำไมหรือขอรับ” เขาถามกลับอย่างฉงน
“เจ้านี่ก็สอดรู้เหมือนกันนะ” หัวหน้าโรงครัวเป็นชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจรำคาญ “คุณหนูรองลงครัวช่วงเวลานั้น หากเห็นเจ้าเข้ามีหวังเป็นลมตาตั้ง”
แววตาหัวหน้าโรงครัวมองมายังชายหลังค่อมเต็มไปด้วยท่าทีดูถูกเหยียดหยาม
“คนอะไรน่ากลัว” เขาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน
ชายหลังค่อมได้ยินเต็มสองหู แต่ก็ไม่คิดถือสาหาความ ก้มหน้ารับคำ ทาสมีนิสัยยกยอผู้สูงกว่า เหยียบย่ำผู้ด้อยกว่าเหมือนกันทุกคน น้อยนักจะนิสัยดีและมีเมตตาเห็นทุกคนเป็นพวกพ้องพี่น้องที่ประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน
ทาสอัปลักษณ์เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ไม่ยอมล้างหน้า เขาล้างไม่ได้เลยเพราะหน้ากากหนังมนุษย์อาจหลุดร่อน
พวกทาสทยอยจากไป ทิ้งงานหนักอย่างผ่าฟืนให้ทาสหลังค่อมเป็นผู้รับผิดชอบ ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวไม่มีใครมีน้ำใจ ขอตนเองสบาย ใครจะตายคางานหนักเกินตัวก็ช่างปะไร
เมื่อทาสที่ใคร ๆ ต่างรังเกียจได้มีโอกาสอยู่คนเดียว ก็มีเงาสีดำสองสายโฉบมาขนาบข้าง
“ผู้น้อยจะทำงานแทนเองขอรับ” เงาสองสายกลายร่างเป็นบ่าวไพร่ชุดสีเทาจับขวานมาผ่าฟืนอย่างขมีขมัน
“ขอบใจ” ทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเอ่ยเสียงเบา จากนั้นจึงสอดส่ายสายตา เมื่อไม่เห็นบ่าวไพร่คนอื่นในละแวกนี้จึงผลุนผลันออกจากหลังโรงครัวเพื่อทำภารกิจทดสอบที่ตนวางแผนไว้ในใจ
‘แผนหนึ่งภายใต้หน้ากาก’
ตามคำเล่าลือกระฉ่อนจากปากชาวบ้านชาวเมือง คุณหนูจางหลันเพียบพร้อมจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา บุคลิกอบอุ่นละมุนละไม สมถะเรียบง่าย นับว่าเป็นสตรีที่เหมาะจะเป็น
แม่ศรีเรือน[1] ช่วงเวลา 15.00 – 16.59 น.
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนที่1.1 คุณหนูรองสกุลจางแคว้นสือจ้าว…ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อยดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับแต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เส
ตอนที่1.2 คุณหนูรองสุลจางจางเหม่ยอวี้ หรือคุณหนูรอง บุตรีของขุนนางตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ถือกำเนิดจากฮูหยินสามแห่งสกุลตู้ ตอนเป็นเด็กน้อยนางช่างอาภัพน่าสงสาร เมื่ออายุย่างเข้าห้าหนาวมารดาก็สิ้นใจตาย ทิ้งเด็กน้อยไว้กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายตระกูลจางทำได้เพียงปล่อยข่าวการตายของฮูหยินสามออกไปว่าจากไปเพราะโรคประหลาดที่ยากรักษา ทั้งที่คนในจวนต่างก็ทราบดีว่ามีผู้ประสงค์ร้าย คิดสกปรกลอบวางยาในน้ำชาของนาง ทว่ายังจับมือใครดมไม่ได้ จนตอนนี้ผู้ร้ายก็ลอยนวลไปถึงเก้าปีแล้วอันที่จริงยามไร้มารดาอุ้มชูดูแล คุณหนูรองจะต้องถูกโยกย้ายเข้าไปอยู่ภายใต้ความดูแลและสั่งสอนของฮูหยินใหญ่ ทว่าด้วยชะตาฟ้ากำหนดหรือพระโพธิสัตว์เล็งเห็นแล้วเวทนาก็มิอาจทราบได้ จึงดลจิตดลใจให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตาเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วน จนถึงขั้นรับจางเหม่ยอวี้มาเลี้ยงดูด้วยตนเองรองเจ้ากรมพิธีการที่เห็นพ้อง และอยากเอาใจมารดาตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยไปส่งถึงเรือนท้ายจวน แบบชนิดที่ไม่หันมามองสีหน้าบูดบึ้งของฮูหยินใหญ่สักนิดเดียวหลังจากฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดบุตรชาย ร่างกายของนางก็เริ่มอ่อนแอ จนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ทำให้ที่คิดอยากมีบุตรสา
ตอนที่2.1ผู้บัญชาการทัพจูเชว่แม่ทัพเฉินชิงซงทอดสายตามองชาวเมืองที่ยืนสรรเสริญตนเองตลอดเส้นทาง สายตากวาดมองไปตามบ้านเรือนที่อยู่รายรอบด้วยใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง จนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ดวงตาดุจดวงดาวยามเหมันต์เป็นประกายวาววับ แยกแยะไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรท่าทางดุดันน่ายำเกรงนั่น ชวนให้ผู้คนเสียวสันหลังวาบยามเข้าใกล้ ทำเหมือนโลกทั้งใบมีเขากับม้าศึกคู่กายเพียงหนึ่ง นอกนั้นล้วนเป็นธาตุอากาศหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มปลื้มปีติกับการต้อนรับของชาวเมืองหรือไม่หรือว่าในใจเขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ล้วนคาดเดาไม่ออก ดูท่าหากภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า ท่าทีของเขาก็น่าจะยังคงเฉยชาไม่เปลี่ยน“ท่านแม่ทัพ...จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังครั้งนี้คือสิ่งใด ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ขอรับ” เผิงเสียนจือหรือรองผู้บัญชาการกองทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแม้จะมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ทว่าแววตาดำลึกล้ำกลับแฝงโทสะ แสดงให้รู้ว่ากองทัพจูเชว่มิได้เต็มใจที่จะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแม้แต่น้อยกองทัพจูเชว่คุ้มครองทิศใต้ โดยมีตระกูลเฉินดำรงตำแหน่งแม่ทัพคอยบัญชาการ บุรุษสกุลเฉินล้
ตอนที่2.2 ผู้บัชชาการทัพจูเซว่เมื่อขบวนแม่ทัพเดินทางมาถึง พวกเขามุ่งหน้าสู่ท้องพระโรง คุกเข่ากล่าวสรรเสริญฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาขุนนางที่ทอดมองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายฝ่ายพลเรือนเหยียดหยามต่างดูหมิ่นกันว่า ‘ทหารพวกนี้ ดีแต่ใช้กำลังไม่มีมันสมอง’ ขุนนางสังกัดฝ่ายพลเรือนหยิ่งผยองและจองหองพองขนนัก กดข่มฝ่ายทหารว่าโง่เขลาเบาปัญญา มองแม่ทัพเฉินราวกับเป็นสุนัขบ้าข้างทางที่มีประโยชน์ไว้กัดผู้รุกรานเท่านั้นบ้างก็เบะปากรังเกียจ บ้างก็แค่นเสียงหยัน คลี่ยิ้มแดกดัน หรือแม้กระทั่งไหวไหล่อย่างไม่สนถึงความดีความชอบตรงกันข้ามกับฝ่ายทหาร ขุนนางสวมชุดแดงปักลวดลายพยัคฆ์กลางแผ่นหลังทั้งหลาย ดวงตาลุกวาวราวเปลวเพลิง จิตใจสั่นสะท้านดั่งถูกสายฟ้าฟาดส่วนใหญ่ริษยา ส่วนน้อยศรัทธา นั่นก็เพราะบุรุษหนุ่มที่คุกเข่าเบื้องหน้า นับเป็นอัจฉริยบุคคลที่ร้อยปีจะมีสักคน เฉินชิงซงถือเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังมีความเก่งกล้า วาจาคมคาย เป็นคนเคร่งครัดในกฎและระเบียบวินัย ทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเลิศอย่างมิอาจหาจุดด้อยพบคิดดูเอาเถิด เหล่าองค์ชายของฮ่องเต้ยังไม่อาจเทียบเคียงแม่ทัพหนุ่มแห่งสกุลเฉินได้แม้เพียงเสี้ยวขุนนางฝ
ตอนที่ 3.1 เผือกร้อนยามโหย่ว[1]แล้ว ดวงอาทิตย์ทอแสงสีทองส่องประกายในยามพลบค่ำ ดวงจันทร์ลอยต่ำอยู่บนท้องฟ้าเตรียมส่องแสงสว่างแทนที่ดวงอาทิตย์ ความอึกทึกวุ่นวายเฉกเช่นยามกลางวันจางหายผู้คนที่เคยเดินกันขวักไขว่เริ่มบางตา เพราะต่างกลับบ้านเรือนกันไปเหลือเพียงพ่อค้าแม่ขายที่กำลังเก็บข้าวของ บ้างบ่นขายไม่ดี บ้างหัวเราะร่ากำไรเต็มท้อง บรรยากาศกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัดจางเหม่ยอวี้พูดคุยอยู่กับชายคนรักครู่ใหญ่ ก่อนจะโบกมือลาจากก็อวยพรกันและกันด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม“ขอพี่เต๋อตั้งใจอ่านตำรา ปีหน้าการสอบสมหวัง”ใบหน้าจางเหม่ยอวี้แดงก่ำด้วยความขวยเขิน ภายในใจอบอวลไปด้วยความหอมหวานสุขล้น“สมหวังเมื่อใด ชุดเจ้าสาวที่อาอวี้ตัดไว้ต้องได้ใส่แน่นอน”กัวจิ้นเต๋อลูบศีรษะคนรักเบาๆ อารมณ์ของเขาในยามนี้มีแต่ความรู้สึกไม่อยากลาจาก เสียงหวานดั่งระฆังแก้วใสของนาง ราวกับยาปลุกกำหนัด พลันให้คิดลึกสกปรกหากร่วมเรียงเคียงหมอนเมื่อใด ลีลารักของอาอวี้น้อยผู้นี้จะพลิ้วไหวหรือเร่าร้อน เขาปรารถนาที่จะได้รู้เหลือเกิน ดวงตาคู่คมจับจ้องสตรีตรงหน้า รอยยิ้มงามล่มเมืองเหมือนบุปผาที่กำลังเบ่งบานชวนให้รู้สึกหวงแหน“ให้พี่ไป
ตอนที่3.2 เผือกร้อนจางหลันร้องโหยหวนน้ำตาร่วงพรู เสียงร้องไห้แหลมเล็กกรีดร้องทำลายความสงบในเรือนท้ายจวนเสียสิ้น พี่สาวตัวร้ายสะอึกสะอื้นจนตัวสั่นสะท้าน พร่ำพูดไม่เป็นประโยค ข้างกายยังมีอนุหลินตาบวมเป่งเป็นลูกท้อ มองก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก สองแม่ลูกที่คอยหาเรื่องจางเหม่ยอวี้ วันนี้กลับไม่สนใจนาง เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งเพิ่มความใคร่รู้ในใจของคุณหนูรองเป็นเท่าทวี“ท่านย่า เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” จางเหม่ยอวี้นั่งลงข้างกายท่านย่า ยื่นมือกอบกุมมือเหี่ยวย่นตามวัยเบาๆ ราวกับหวงแหนเป็นที่สุดฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานสาวคนโปรด แล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนเล่าเรื่องเผือกร้อนที่ตกใส่ศีรษะคุณหนูสี่จางหลัน แล้วพอท่านย่าเล่าจบอนุหลินก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้นไหว“ท่านแม่เจ้าคะ ให้หลันเอ๋อร์แต่งกับแม่ทัพป่าเถื่อนไม่ได้นะเจ้าคะ”ใบหน้านางเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร“หรือไม่พวกเราแต่งตั้งสาวใช้ขึ้นมาเป็นคุณหนู แล้วแต่งออกไปก็ได้นี่เจ้าคะ ทำไมต้องให้หลันเอ๋อร์ไปตกระกำลำบากด้วย”เมื่อจางเหม่ยอวี้ได้ฟังคำตัดพ้อของอนุหลิน จึงเข้าใจได้ทันทีว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ตอนนางยังอยู่ข้างนอก ได้ยินว่
ตอนที่ 4 .1 ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินนับแต่วันที่ได้รับราชโองการสมรสพระราชทานก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ทำให้ในสกุลจางต่างวุ่นวายเรื่องการเชื้อเชิญเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลมาร่วมงานญาติสายรอง สายสามที่แยกไปตั้งหลักปักฐานต่างเมืองก็ถูกเชิญกลับมาร่วมพิธีมงคลสมรสสำคัญในครั้งนี้ด้วยสีหน้าเหล่าญาติพี่น้องย่อมแตกต่างกันออกไป บ้างยินดีราวกับรับโชคใหญ่ หวังพึ่งพาเกาะเกี่ยวบารมีหลานเขยที่มีบรรดาศักดิ์ขั้นปั๋ว บ้างก็มีสีหน้าย่ำแย่โดยเฉพาะระดับผู้อาวุโสซึ่งถือกฎตระกูล หัวคิ้วผู้เฒ่าขมวดมุ่นคล้ายวิตกกังวลตลอดเวลา แววตาผิดหวังท้อแท้ ท่าทางห่อเหี่ยวหดหู่ นึกขุ่นเคืองฝ่าบาทที่ตัดสินพระทัยโดยไม่ปรึกษาสักคำพลันนึกคิดในใจว่าอย่างไรจางห้าวก็ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองเจ้ากรมพิธีการขั้นสี่ แม้จะมีอำนาจไม่มากเท่าเจ้ากรมทั้งหกหรือผู้บัญชาการสามสำนักแต่ก็นับได้ว่ามีผลงานอยู่ไม่น้อยเลย ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของตระกูลจาง แต่กลับมิใช่ขุนนางคนสำคัญพอให้ฝ่าบาทตรึกตรองใส่ใจ“ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่” ผู้อาวุโสเฒ่าผมขาวโพลนถือไม้เท้านั่งบ่นประโยคนี้ตั้งแต่บ่ายยันเย็น แววตาเป็นประกายกร้าวขึ้นทุกคราด้วยความไม่พอใจ
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี